สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีตัดความช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งนี่กลายเป็นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นปัญหาภายใต้การดำเนินการของทรัมป์ ที่จะพาสหรัฐฯกลับไปสู่แนวคิดแยกตัวมากขึ้น
หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้มีการออกคำสั่งหลายคำสั่ง แต่สิ่งที่ดูจะกระทบกับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งลามมาถึงไทยมากที่สุดก็คือกรณีการยกเลิกคำสั่งให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา
สำนักข่าวฟรอนเทียร์เมียนมาเองได้มีการทำบทวิเคราะห์เอาไว้ว่าการยกเลิกคำสั่งนี้ มีทั้งความสับสนและทำให้สถานการณ์เมียนมาเลวร้ายลงได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทวิเคราะห์ดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้ระงับความช่วยเหลือระหว่างประเทศทั้งหมดทันทีจนกว่าจะมีการพิจารณาทบทวนเป็นเวลา 90 วัน นับจากนั้นเป็นต้นมา องค์กรด้านมนุษยธรรมที่ทำงานเกี่ยวกับเมียนมา ต่างก็พยายามหาทางรับมือกับผลที่ตามมาจากการออกคำสั่งกะทันหันนี้
“ยอมรับว่าการออกคำสั่งดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่โกลาหลมาก” เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมรายหนึ่งที่ขอปกปิดชื่อกล่าวและกล่าวอีกว่าตอนนี้มีองค์กร ผู้บริจาค ผู้รับทุน และผู้รับทุนย่อยจำนวนมากที่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนต่างตื่นตระหนกและแชร์ข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด และยังไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นจริง
เจ้าหน้าที่กล่าวว่าพวกเขาเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการกลับมาจ่ายเงินช่วยเหลือ และคืนภาวะที่เป็นปกติกลับมา เพราะตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง
“หากการสื่อสารชัดเจน ปัญหาก็คงหลีกเลี่ยงได้” เจ้าหน้าที่กล่าว
อนึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ที่ทำงานในหน่วยงานด้านการพัฒนาระหว่างประเทศบางคนไม่ได้มองกระแสข่าวตัดงบว่าเเป็นปัญหา เพราะเป็นสิทธิของผู้บริจาคที่จะทบทวนนโยบายของตัวเอง แต่ว่าความรวดเร็วและขนาดของการจัดเงินทุนที่เกิดขึ้น สร้างความตกตะลึง หลายคนคิดว่าผู้ที่ทำงานมนุษยธรรม ภายใต้สัญญาที่ยังมีผลบังคับใช้ จะได้รับการคุ้มครอง หรือการตัดเงินทุนช่วยเหลือจะไม่แพร่หลายหรือรุนแรงมากขนาดนี้
ข่าวกรณีการตัดความช่วยเหลือนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม เมื่อนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯส่งโทรเลขถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อสั่งให้หยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศทั่วโลกเป็นเวลา 90 วัน โดยให้เจ้าหนี้ที่ปฏิบัติงานรอการพิจารณาทบทวน โทรเลขดังกล่าวระบุอีกว่าได้ออกคำสั่งการยกเว้นการสนับสนุนทางทหารแก่อิสราเอลและอียิปต์รวมถึงความช่วยเหลือด้านอาหารฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ อีก
ผลกระทบจากมีคำสั่งบริหารที่ให้มีการตัดงบ ตกอยู่กับกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนหรือ NGO ผู้รับเหมาช่วง และผู้รับเหมาช่วงที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ พวกเขาต้องดิ้นรนหาแหล่งสนับสนุนอื่นๆ และในขณะเดียวกันก็ต้องเลิกจ้างพนักงาน ยกเลิกบริการทางการแพทย์ และปิดสถานพยาบาล โดยองค์กรขนาดเล็กไม่แน่ใจว่าจะสามารถอยู่รอดในช่วงระยะเวลาตรวจสอบ 90 วันได้หรือไม่
อ้างอิงจากข้อมูลทางการ พบว่าประเทศเมียนมา ถือเป็นประเทศที่ขาดแคลนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามข้อมูลของคณะกรรมการช่วยเหลือระหว่างประเทศ ประชากรเมียนมาร้อยละ 35 หรือ 18.6 ล้านคนจากทั้งหมด 53.8 ล้านคน ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในแง่ของการพัฒนามนุษย์ เมียนมาอยู่ในอันดับที่ 149 จากทั้งหมด 191 ประเทศ
ทรัมป์สั่งระงับทุนการศึกษาเมียนมา (อ้างอิงวิดีโอจากอิรวดี)
การสนับสนุนด้านมนุษยธรรมต่อเมียนมา ปัจจุบันอยู่ในสถานะไม่เพียงพอเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งก่อนตอนที่ที่ทรัมป์จะตัดความช่วยเหลือก็ตาม
ตามข้อมูลของสำนักงานประสานงานกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UN พบว่าผู้บริจาคระหว่างประเทศได้ให้การสนับสนุนเมียนมาเพียง 36% ของเงินที่จำเป็นต่อความช่วยเหลือเมียนมา ซึ่งควรจะอยู่ที่ 995 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (33,876,261,430 บาท) สำหรับแผนปี 2567 ของในการช่วยเหลือเมียนมา พบว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ให้ส่วนแบ่งมากที่สุดที่ 32% หรือ 114 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3,880,844,452 บาท)
ตามรายงานของ UN รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคเงินรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยให้ความช่วยเหลือทั่วโลกเป็นมูลค่า 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2,451,456,000,000 บาท)ในปี 2566 และมีรายงานว่าสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากกว่าร้อยละ 40 ของความช่วยเหลือทั้งหมดที่ UN จัดสรรในปี 2567
ผู้สังเกตการด้านสิทธิมนุษยชนกังวลว่าการตัดความช่วยเหลืออาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของผลกระทบอันเลวร้ายที่รัฐบาลทรัมป์อาจมีต่อชุมชนด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ซึ่งการที่ทรัมป์ได้มีการตัดเงินให้ความช่วยเหลือต่างประเทศรวมไปถึงการประกาศสงครามการค้ากับประเทศต่างๆ การขึ้นภาษีกับประเทศเม็กซิโก การขึ้นภาษีกับแคนาดา เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด สิ่งนี้ก็ทำให้มีการวิจารณ์ว่าภาพพจน์ของสหรัฐฯ ดูตกต่ำลงไป
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีตัดความช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งนี่กลายเป็นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นปัญหาภายใต้การดำเนินการของทรัมป์ ที่จะพาสหรัฐฯกลับไปสู่แนวคิดแยกตัวมากขึ้น” นายฟิล โรเบิร์ตสัน นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน UN กล่าวบนทวิตเตอร์และกล่าวต่อไปว่าเนื่องจากผู้ลี้ภัยที่ยากจนบนชายแดนห่างไกลแทบไม่มีสิ่งใดที่จะมอบให้กับทรัมป์หรือทีมงานของเขาได้ เราจึงคาดหวังได้ว่าสหรัฐฯ น่าจะไม่ค่อยสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยผ่านนโยบายต่างประเทศแบบในอดีตที่ผ่านมา
ผลกระทบของนโยบายใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อเมียนมาร์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การระงับความช่วยเหลือจากทั่วโลกเท่านั้น เมื่อวันพฤหัสบดี ทรัมป์ได้ยกเลิกทุนการศึกษามูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,518,884,289 บาท) สำหรับนักศึกษาเมียนมาเพื่อศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในเอเชีย
นางไบรโอนี่ เลา รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอตช์ประจำเอเชีย กล่าวกับสำนักข่าวฟรอนเทียร์เมียนมาว่า เธอกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับผลกระทบต่อองค์กรขนาดเล็กซึ่งไม่มีกันชนที่จะรองรับการแตกของเงินทุน
“เราทราบว่าเนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงกลุ่มผู้ที่ต้องการและความพยายามของรัฐบาลทหารที่จะปิดกั้นความช่วยเหลือ ดังนั้นองค์กรนอกภาครัฐนอกเมียนมาในพื้นที่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการมากที่สุด” นางเลากล่าว
สำหรับในเมียนมาและสําหรับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศไทย ความขัดแย้ง การละเลย และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่ำเตี้ยเป็นเวลาหลายปีทําให้ทรัพยากรขาดแคลนแม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดีที่สุด ในหลายส่วนของประเทศ NGO มักเป็นแหล่งเดียวของบริการสาธารณะ ที่รัฐต่างๆ ให้บริการตามปกติ รวมถึงการดูแลทางการแพทย์และการแพทย์ การศึกษา ที่พักพิงสําหรับผู้พลัดถิ่นภายใน และความช่วยเหลือด้านอาหารฉุกเฉิน
องค์กรการกุศลและ NGO อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการระงับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ยังต้องหยุดกิจกรรมอื่นๆ เช่น การบันทึกกิจกรรมการละเมิดสิทธิมนุษยชน การปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และการสนับสนุนสื่ออิสระ ภาคประชาสังคม และสถาบันประชาธิปไตย
องค์การสิทธิมนุษยชนชินหรือ CHRO ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพเคลื่อนที่และการสนับสนุนทางจิตสังคมท่ามกลางบริการอื่น ๆ ในรัฐชินและและข้ามไปถึงประเทศพรมแดนอย่างอินเดียต้องไล่เจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านจิตสังคม 16 คนและบุคลากรทางการแพทย์ 40 คนออกเนื่องจากการสูญเสียเงินทุนสนับสนุนของสหรัฐฯ
นายซา อึก ลิง กรรมการบริหารของ CHRO ให้สัมภาษณ์กับฟรอนเทียร์ว่าเขาประเมินว่ามีประมาณ 40 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้อยู่อาศัยในรัฐชินที่เสียหายจากสงครามจนกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน และ 20 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ลี้ภัยในรัฐมิโซรัมของอินเดีย ผู้ที่ยังคงอยู่ในรัฐชินมีทางเลือกด้านการดูแลสุขภาพอื่น ๆ อย่างค่อนข้างจำกัด
“มันเหมือนกับการปล่อยให้ผู้ป่วยวิกฤตไม่มียา เขาอาจไม่ตายทันที แต่เขาจะตาย” นายซากล่าว
ผู้ลี้ภัยในเมียนมาในค่ายคะยาห์
กรรมการฯ CHRO กล่าวอีกว่าเขายอมรับว่าเขาคาดหวังว่าเมียนมาจะได้รับการยกเว้นจากการลดงบประมาณ เนื่องจากการสนับสนุนประชาธิปไตยของสองพรรคทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสภาคองเกรสสหรัฐฯ
ทางตะวันตกของประเทศไทยใกล้กับชายแดนของรัฐกะยินและคะยาห์ของเมียน สำนักข่าวมารอยเตอร์สรายงานว่ามีการปิดคลินิกทางการแพทย์ที่ให้บริการค่ายเก้าค่ายตามแนวชายแดนซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาระยะยาวประมาณ 100,000 คน ซึ่งได้รับเงินทุนและดําเนินการโดยผู้บริจาคและองค์กรระหว่างประเทศ
รอยเตอร์อ้างสมาชิกของคณะกรรมการผู้ลี้ภัยที่ค่ายแม่ลาในจังหวัดตากและครูโรงเรียนในท้องถิ่นกล่าวว่าคณะกรรมการช่วยเหลือระหว่างประเทศซึ่งได้รับเงินทุนจํานวนมากจากสหรัฐฯ ได้ปล่อยผู้ป่วยและปฏิเสธการให้ยาแก่ผู้ป่วยแล้ว รวมถึงสตรีมีครรภ์และผู้ที่หายใจลําบากที่ต้องพึ่งพาถังออกซิเจน
เมื่อที่ 29 ม.ค. นายรูบิโอได้ออกคำสั่งให้ระงับเป็นการคราวสําหรับ "ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อช่วยชีวิต" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจ่ายยาเพื่อช่วยชีวิต ความช่วยเหลือด้านอาหาร ที่พักอาศัย และการยังชีพ ตลอดจนวัสดุสิ้นเปลืองและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เหมาะสมตามความจําเป็นในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว
ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าคำสั่งยกเลิกการให้ความช่วยเหลืออาจจะมีโอกาสเปิดข้อยกเว้นให้บางอย่างในอนาคต ยกตัวอย่างเช่นคำสั่งว่าถ้าหากพันธมิตและ NGO ยังคงต้องการความหน่วยเหลือต่อไปในอนาคต หน่วยงานเหล่านี้จะต้องทำงานกับพันธมิตรของหน่วยงานสังกัดรัฐบาลสหรัฐฯ
แต่กรณีองค์กรให้ความช่วยเหลือสำหรับเมียนมา ต้องยอมรับว่าหลังจากที่ทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิก ก็ทำให้หน่วยงานเหล่านี้อยู่ในภาวะสับสนเกี่ยวกับคำสั่งบริหาร
โดยฟรอนเทียร์ได้พูดคุยกับหลายองค์กร พบว่าไม่มีองค์กรใดสามารถบอกได้ว่าโครงการของพวกเขาจะได้รับการยกเว้น หรือว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติมบ้าง ซึ่งหลังจากการมีคำสั่งยกเลิกการช่วยเหลือวันที่ 25 ม.ค. พวกเขาก็กำลังลุ้นว่าจะได้รับเงินคืนมาหรือไม่
ทั้งนี้คำสั่งให้มีการทบทวนการระงับความช่วยเหลือเดิมจะมีระยะเวลา 90 วันนับแต่ได้รับคำสั่ง โดยการทบทวนการระงับคำสั่งจะต้องทำให้เสร็จภายในวันที่ 20 เม.ย. อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการใน NGO หลายรายกลัวว่าพวกเขาอาจอยู่รอดได้ไม่นานพอที่จะเริ่มการดําเนินงานใหม่แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ความช่วยเหลือจะกลับคืนมาก็ตาม