
“...ภายหลังฝุ่นหายตลบ บุคคลที่ถูกพาดพิงในคลิปเสียงสนทนา ทั้งที่เป็น ผู้ล่า-ผู้ตกเป็นเหยื่อ-ผู้ที่ใจไม่แข็งพอ ออกมาแก้ต่าง-แก้ตัว ตกผลึกได้ในเบื้องต้นว่า เป็นการ ‘จัดฉาก’ เพื่อสร้างหลักฐานใหม่ ซึ่งมีมูลเหตุจูงใจเพื่อนำมาใช้ประโยชน์กลับคำพิจารณา โดยมีคดีใหญ่ในองค์กรตรวจสอบเป็น ‘เดิมพัน’...”
เอฟแฟกต์เสียงสนทนาระหว่าง 3 ผู้ยิ่งใหญ่ 1 ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ 1 ประธานองค์กรอิสระ กับอีก 1 อดีตนายพลบิ๊กสีกากี เคยได้รับฉายาว่า เป็น ‘แมวเก้าชีวิต’ เขย่าแวดวงการเมือง-องค์กรปราบโกง
ภายหลังฝุ่นหายตลบ บุคคลที่ถูกพาดพิงในคลิปเสียงสนทนาทั้งที่เป็น ผู้ล่า-ผู้ตกเป็นเหยื่อ-ผู้ที่ใจไม่แข็งพอ ออกมาแก้ต่าง-แก้ตัว ตกผลึกได้ในเบื้องต้นว่า เป็นการ ‘จัดฉาก’ เพื่อสร้างหลักฐานใหม่ ซึ่งมีมูลเหตุจูงใจเพื่อนำมาใช้ประโยชน์กลับคำพิจารณา โดยมีคดีใหญ่ในองค์กรตรวจสอบเป็น ‘เดิมพัน’
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ไล่ ‘ไทม์ไลน์’ ตั้งแต่ ‘พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล’ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่่งชาติ ยื่นคำร้องพร้อมแนบรายชื่อประชาชน สสองหมื่นชื่อ ต่อ ‘วันมูหะมัดดนอร์ มะทา’ ประธานสภา กล่าวหา ‘สุชาติ ตระกูลเกษมสุข’ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปจนถึงหนังสือของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ส่งหนังสือ ‘ยุติเรื่อง’ ตลอดจน ‘ฉากทัศน์’ หากประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาให้ตั้ง ‘คณะไต่สวนอิสระ’ ไต่สวน
@ ไทม์ไลน์ปลด สุชาติ ก่อน นั่งประธาน ป.ป.ช.
สืบเนื่องจากกรณีว่าที่ร้อยตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือลงวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ถึง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 24,085 คน ถึงผลการพิจารณาคำร้องของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา กล่าวหานายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 236 ประกอบมาตรา 234 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติ 5 ต่อ 2 เสียง เลือก นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ โดยเป็นการลงคะแนนลับ พร้อมเสนอชื่อให้ประธานวุฒิสภานําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นทางการ
อ่านประกอบ : ลงคะแนนลับ! ป.ป.ช.มติ 5 : 2 เลือก 'สุชาติ ตระกูลเกษมสุข' ปธ.คนใหม่
หลังจากนั้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 มีการเผยแพร่คลิปในรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์’ โดยเป็นการนำเสนอภาพและเสียงสนทนาของ ‘บิ๊กการเมือง-บิ๊กองค์กรอิสระ’ เมื่อ ‘ต้นเดือนธันวาคม’ ซึ่งมีเนื้อหาสนทนาในทำนองให้ขอถอนคำร้องของ ‘อดีตบิ๊กตำรวจคนดัง’ ที่เคยยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา กรณีร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงฯ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567
เมื่อช่วงดึกของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 มีผู้นำหนังสือของ พลตํารวจเอก สุรเชษฐ์ ที่ทำถึงประธานรัฐสภา เพื่อขออุทธรณ์คัดค้าน การพิจารณาประเด็นข้อกล่าวหานายสุชาติ พร้อมขอให้มีการสอบสวนใหม่ โดยเรียกพยานบุคคล และสอบที่มาพยานเอกสาร และส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกา เพื่อตั้งคณะไต่สวนอิสระเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง มาส่งแชร์ต่อในโลกอินเทอร์เน็ต
อ่านประกอบ : หนังสือ'บิ๊กโจ๊ก' ว่อนเน็ต! ขอปธ.รัฐสภาฯ ทบทวนผลพิจารณาข้อกล่าวหา กก.ป.ป.ช.ทุจริต
เช้าของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 นายมงคง สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสือแจ้งถึง นายสุชาติ ให้รับทราบว่า ขณะนี้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ นายสุชาติ เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.2568 เป็นต้นไป
อ่านประกอบ : โปรดเกล้าฯ 'สุชาติ' ปธ.ป.ป.ช.คนใหม่แล้ว-วุฒิสภา แจ้งเป็นทางการ มีผล 11 ก.พ.68
@ ‘วันนอร์’ แจง คลิปสนทนาล็อบบี้ ถอนคำร้อง
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์สื่อเครือเนชั่น ‘เปิดใจ’ เล่าที่มา-ที่ไปของเหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวว่า ตนจำได้ว่าเป็นช่วงใกล้วันปีใหม่ น่าจะหลังปีใหม่ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ได้ติดต่อมา แจ้งว่าจะขอเข้าพบเพื่ออวยพรปีใหม่ ตนบอกว่า ไม่จำเป็นต้องมาพบ เพราะไม่ค่อยให้ใครเข้าอวยพร แต่ทาง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ อ้างว่าจะมาคุยเรื่องสมาคมปักษ์ใต้ และเรื่องการเมือง ตนยังถามกลับไปว่า การเมืองเรื่องอะไร เพราะตนเป็นกลางทางการเมือง พลตำรวจเอก สุรเชชษฐ์ ก็อ้างว่าตัวเขาจะลงเล่นการเมือง เพราะถูกกลั่นแกล้งมาก
“ตนเห็นว่าเป็นคนรู้จักกัน และ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ พยายามย้ำว่า จะมาคุยเรื่องสมาคมปักษ์ใต้ ซึ่ง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ เป็นนายกสมาคมปักษ์ใต้อยู่ และตนก็เป็นคนปักษ์ใต้ จึงนัดกัน แต่ครั้งแรกตนไม่ว่าง ทาง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ก็ขอนัดครั้งที่ 2 ตนยังถามว่ามาถูกหรือ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ก็บอกว่าจะให้ตำรวจบางใหญ่พาไป สุดท้าย พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ก็มาพบถึงบ้าน”
“ตอนนั้นมาเกือบ 1 ทุ่มแล้ว แค่พอมาถึง ไม่ได้มาคนเดียว พาอีกคนมาด้วย บอกว่าอยากให้รู้จักท่านสุชาติ (สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ขณะนั้นเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช.) ผมยังถามว่าเป็นอย่างไรกัน ตกลงกันได้แล้วหรือ เพราะทราบดีว่า มีเรื่องที่บิ๊กโจ๊กยื่นถอดถอนคุณสุชาติเอาไว้ ปรากฏว่าทาง บิ๊กโจ๊กบอกว่ามาขอถอนเรื่อง”
“ผมยังบอกว่า ถอนคงลำบาก เพราะตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่ผมดูแล้วรู้สึกเรื่องมันไม่มีมูล ทางบิ๊กโจ๊กยังบอกว่าดีๆ ส่วนทางท่านสุชาติก็นั่งเฉยๆ”
@ กางกฎหมาย ตั้งลูกสอบ ‘องค์กรอิสระ’
นายวันมูหะมัดนอร์ เล่าว่า หลังจากคุยเรื่องนายสุชาติจบ ก็คุยกันเรื่องอื่นๆ เช่น จะเลือกประธาน ป.ป.ช.กันเมื่อใด กรรมการมีกี่คนแล้ว จากนั้นก็ลากลับ ตนยังอวยพรปีใหม่ ขอให้มีสุขภาพดี ก็เท่านั้น
นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวถึง ขั้นตอนการตรวจสอบเรื่องการถอดถอนกรรมการองค์กรอิสระ เช่น กรรมการ ป.ป.ช.ว่า รัฐธรรมนูญเขียนให้ประธานสภาทำได้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ตรวจสอบรายชื่อประชาชนครบ 20,000 ชื่อ หรือไม่ 2.เนื้อหาคำร้องเป็นอย่างไร และ 3.ข้อกล่าวหามีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็นไปตามที่กล่าวหาหรือไม่
“ตนได้ตรวจสอบแล้ว คำร้องมี 3 ข้อหา คือ หนึ่ง ทุจริต ประพฤติมิชอบ ซื้อรถยนต์ให้บุคคลอื่น ในชื่อคนอื่น แต่เป็นเงินของท่านสุชาติ ตรวจสอบแล้วไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่าง ไม่มีหลักฐานการโอนเงิน และประเด็นนี้เคยร้องใน ป.ป.ช.มาแล้ว และถูกตีตกไปแล้ว สอง เรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตรวจสอบแล้วก็ไม่พบว่าสามารถเอาผิดได้ และ สาม เรื่องจริยธรรมร้ายแรง ประเด็นนี้ก็ไม่ได้มีพยานหลักฐานอะไร”
“หน้าที่ของผมมีแค่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารที่ส่งมา ถ้าเอกสารมีมูลเพียงพอที่จะส่งให้ศาลฎีกาได้ ก็ส่งไป ถ้าไม่มีมูลพอที่จะส่งได้ ประธานก็ไม่ส่ง ถือว่าจบ”
อ่านประกอบ : “วันนอร์”แจงปมคลิปหลุด ซัด“โจ๊ก”เสียมารยาท ขอพบแต่แอบอัดเสียง
รัฐธรรมนูญ ปี 60 ส่วนที่ 4 ว่าด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา 236 ให้ สส. สว. หรือ สส.และสว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ทั้งสองสภา หรือ ‘ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง’ จำนวน ‘ไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน’ มีสิทธิเข้าชื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา พร้อมหลักฐาน กล่าวหาว่า กรรมการป.ป.ช. ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หากประธานรัฐสภาเห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้ง ‘คณะผู้ไต่สวนอิสระ’ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริง
@ ขั้นตอนตั้ง ‘คณะไต่สวนอิสระ’
โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 หมวด 4 การดำเนินคดีต่อกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา 49 กำหนขั้นตอนการพิจารณาข้องกล่าวหากรรมการ ป.ป.ช.ที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และเมื่อประธานรัฐสภาเห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการกระทำตามที่ถูกกล่าหาให้เสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกา และให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาตั้ง คณะผู้ไต่สวนอิสระ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริงและทำความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236
สำหรับ ‘คณะผู้ไต่สวนอิสระ’ ที่ประธานศาลฎีกาแต่งตั้ง มีจำนวนไม่น้อยกว่า 7 คน คัดเลือกจากผู้มีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประกอบด้วย
1.ข้าราชการอัยการที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีอัยการ หรืออัยการอาวุโสที่เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี หรือ อัยการอาวุโสที่เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีอัยการมาแล้วไม่ร้อยกว่า 5 ปีอย่างน้อย 1 คน
2.ผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 51 ดังนี้
(1) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษาหรืออธิบดีอัยการมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
(2) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
(3) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
(4) ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์
(5) เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อ และได้รับการรับรองการประกอบวิชาชีพจากองค์กรวิชาชีพนั้น
(6) เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ทางด้านการบริหาร การเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่ต่ำกว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจำกัดมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี
(7) เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (6) รวมกันไม่น้อยกว่าสิบปี
ทั้งนี้ การนับระยะเวลาให้นับถึงวันที่ได้รับแต่งตั้ง
@ ไม่มีลักษณะต้องห้าม 16 เรื่อง
3.ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 52 ดังนี้
- ติดยาเสพติดให้โทษ
- เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
- เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
- อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่
- วิกลจริตหรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบ
- อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
- ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
- เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
- เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือ หรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
- อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
- เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ้าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
- เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
- เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการแต่งตั้ง
@ อำนาจ-หน้าที่ ‘คณะไต่สวนอิสระ’
คณะไต่สวนอิสระ มีระยะเวลาไต่สวนและชี้ขาด ต้องแล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ยื่นคำขอต่อประธานศาลฎีกาเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลา ตามที่เห็นสมควร
ทั้งนี้ คณะไต่สวนอิสระ มีหน้าที่และอำนาจเช่นเดียวกับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยอนุโลม
นอกจากนี้ยังมีอำนาจสั่งให้ กรรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นผู้ถูกกล้าวหาแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อประกอบการไต่สวน ภายในระยะเวลา ไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน
เมื่อคณะผู้ไต่สวนอิสระไต่สวนเสร็จ สามารถดำเนินการได้ดังต่อไปนี้
- ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้สั่งยุติเรื่อง และให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด
- ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย
- ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และไม่ใช่การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้ส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล
อย่างไรก็ตามเมื่อนายวันมูหะมัดนอร์ ‘ตีตก’ คำร้องของพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ จนนำไปสู่การทำหนังสือยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยใหม่ โดยต้องเริ่มต้นนับ 1 ขั้นตอนการยื่นคำร้องใหม่ หมายถึงต้องรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นรายชื่ออีกครั้ง
@ กระทบภาพลักษณ์ ‘ขุนค้อน’ - ‘องค์กรตรวจสอบ’
จากประมวลคำสัมภาษณ์ของนายวันมูหะมัดนอร์ในเรื่องของไทม์ไลน์การ ‘นัดแนะ-เข้าพบ’ ของบุคคลคนในคลิปภาพ-เสียงสนทนา-คนอัดคลิป ในช่วง ‘หลังปีใหม่’ เป็นช่วง ‘คาบเกี่ยว’ กับวันที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงนามในหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบ ‘ไม่มีมูล’ ให้กับพลตำรวจเอก สุรเชชษฐ์ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567
อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปฟังบทสนทนาในคลิปสามารถช่วงที่กล่าวถึงการ ‘ขอถอนเรื่อง’ ถอดรหัสได้ว่า พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ ได้รับหนังสือจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่นายวันมูหะมัดนอร์ก็ยังไม่ทราบว่า เรื่องถูก ‘ตีตก’ ไปแล้วอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นการพบกันของบุคคลทั้ง 3 ในคลิป อนุมานได้ว่า เกิดขึ้นหลังวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรส่งหนังสือถึงพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ และเป็นการพบกันก่อนที่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเลือกนายสุชาติเป็น ประธาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568
อย่างไรก็ตามจากปรากฎการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของนายวันมูหะมัดนอร์ ในฐานะที่เป็นประธานรัฐสภา ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในคณะกรรมการสรรหา-ตรวจสอบองค์กรอิสระ จึงต้องเคลียร์ตัวเองต่อสาธารณะให้ชัดเจน รวมถึงนายสุชาติ ที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบ และให้คุณ-ให้โทษ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ข้าราชการระดับสูงที่ทุจริตและประพฤติมิชอบ
ยิ่งในปัจจุบันนายสุชาติดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้น นายสุชาติจึงต้องพิสูจนตัวเอง ด้วยการทำงานอย่างตรงไปตรงมา และการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ต้องไม่สนใจนักการเมืองใหญ่-ผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะการเคลียร์คดีใหญ่ของคนที่มีอำนาจทางการเมือง-อำนาจทุน และคดีค้างซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมาก รวมถึงต้องแถลงต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา