“...กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ อีกทั้งในการปรับโครงสร้างที่มี สคทช. มีอยู่แล้ว แต่กฎหมายที่มีอยู่ไม่ได้มอบเครื่องมือในการกำกับดูแล ฉะนั้นฝ่ายนิติบัญญัติต้องไปแก้กฎหมายให้ สคทช.มีอำนาจในการจัดสรร จัดการ และบริหารที่ดิน และสิ่งสุดท้าย คือ เรื่อง One Map เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องเร่งทำให้เสร็จ เมื่อกระบวนการเหล่านี้เสร็จสิ้น ทาง สคทช. ก็จะมีข้อมูลที่ดินทั้งประเทศและจะสามารถกำกับจัดการที่ดินทั้งประเทศได้…”
ปัญหาคนต่างชาติจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท/นิติบุคคลไทยขึ้นเพื่อถือครองที่ดินแทน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานหลายปี โดยทางภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหา แต่จนกระทั่งปัจจุบันปัญหานอมินีก็ยังแก้ไขไม่ได้ยังคงพบปัญหานอมินีเป็นระยะ ดังที่ในช่วงต้นปี 2568 ปรากฏข่าวว่ามีทุนจีนกว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อทำสวนทุเรียน และกว้านซื้อที่ดินในเขต EEC เพื่อตั้งโรงงานขนาดใหญ่ ทำให้มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ นอกจากนี้ปัญหาคนต่างชาติถือครองที่ดินประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่ออนาคตที่จะทำให้คนไทยไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ซึ่งในปัจจุบันประชาชนชาวไทยส่วนมากก็ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง การที่มีการนอมินีที่ดินจะยิ่งทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น
นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี
นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยวิธีการแก้ไขปัญหาคนไทยถือหุ้นหรือถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) กับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ดังนี้
@ วิธีแก้ปัญหานอมินีที่ดิน
นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาต่างชาติถือครองที่ดิน ทางคณะกรรมาธิการได้รับเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2566 แล้วก็ลงพื้นที่ไปตรวจสอบไปแล้วอย่างน้อยใน 3 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตราด และยะลา ซึ่งทั้งสามจังหวัดมีปัญหาลักษณะคล้าย ๆ กัน คือ ปัญหาอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการกำกับและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตนเองมองว่าไม่ใช่แค่ปัญหาของที่ดินแต่เป็นปัญหาทางระบบของการบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย เมื่อกระบวนการใช้กฎหมายอ่อนแอจึงส่งผลถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าไล่ดูกฎหมายจะพบว่ามีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมในด้านการให้สิทธิ์ต่างชาติมาถือครองที่ดินอยู่แล้ว
ที่ดินส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาการถือครองเป็นที่ดินที่อยู่ภายใต้นโยบายของภาครัฐในอดีตเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินให้ชุมชน ในลักษณะที่เป็นแปลงรวมแต่ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ โดยพื้นที่ที่มีการจัดสรรเป็นพื้นที่มีความคาบเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ เช่น ป่าสงวน ป่าอุทยาน เป็นต้น จึงเป็นที่มาของเงื่อนไขที่คณะกรรมการจัดการที่ดินแห่งชาติต้องเข้ามากำหนดหลักเกณฑ์ให้ราษฎรเข้ามาถือครองที่ดินได้ตามความเหมาะสมโดยไม่เกินคนละ 20 ไร่
“แต่ปัญหาที่พบตอนนี้คือกรณีของทุนจีนที่กว้านซื้อที่ดิน 20 ไร่ ไม่พอปลูก จึงต้องกว้านซื้อเพื่อทำเป็นแปลงปลูกพืชแปลงใหญ่ จึงทำให้เห็นเป็นปัญหาอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ ในส่วนของการตรวจสอบก็ค่อนข้างยากคณะกรรมาธิการพยายามเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่เหล่านี้ พอไปตรวจสอบเรื่องของแปลงโฉนดก็ลำบาก เนื่องจากปัญหาเอกสารสิทธิ์”
นายพูนศักดิ์ อธิบายว่า เอกสารสิทธิ์ที่ดินมี 2 ประเภท ได้แก่ 1.เอกสารสิทธิ์ประเภทโฉนด ซึ่งสามารถเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ได้ แต่ไม่สามารถให้คนต่างชาติเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ โดยปัญหาที่พบจากเอกสารสิทธิ์ประเภทนี้ จะเป็นปัญหาว่าเอกสารสิทธิ์ที่ดินยังเป็นชื่อของคนไทยแต่ทางพฤตินัยเป็นคนต่างชาติเป็นเจ้าของ ซึ่งกรณีนี้ตรวจสอบได้ยากมาก
2.ที่ดินที่ไม่มีโฉนด เช่น ที่ดินป่าสงวนแต่อาจมีการจัดสรรที่ดินให้เข้ากับโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) โดยที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนจะอยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ เมื่อมีการจัดทำ คทช. เรียบร้อยแล้ว ก็จะจัดสรรที่ดินให้ประชาชนไม่เกิน 20 ไร่ เข้ามาทำกิน แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ต่อมาทุนจีนอยากได้ที่ดิน 100 ไร่ จึงติดต่อประชาชนที่มีสิทธิ์ คทช. 5 คน เพื่อได้สิทธิ์ในที่ดินผืนใหญ่ ซึ่งปัญหาที่เจอในตอนนี้
@ เริ่มแก้จากโครงสร้าง
นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาที่กล่าวมาในข้างต้นเป็นปัญหาที่มาจากโครงสร้างกฎหมายหรือโครงสร้างการบริหารราชการ โดยการจะแก้ปัญหานั้นต้องอาศัยการกำกับการใช้กฎหมายที่เข้มงวด ร่วมกับการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง ยกตัวอย่าง คทช. บริเวณพื้นที่ป่าสวน จะอยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ กรมป่าไม้จะเป็นผู้ออกเอกสารสิทธิ์ คทช. ให้ประชาชน แต่ถ้ากรมป่าไม้ปิดตาข้างหนึ่งโดยอาจได้รับผลประโยชน์ ยินยอมให้ประชาชนเข้าไปจัดสรรที่ดิน ไปร่วมมือกับทุนต่างชาติ ก็จะไม่มีหน่วยงานใดที่ไปจัดการต่อ
ตนเองมองว่าลำดับแรกต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ โดยปัจจุบันเรื่องของที่ดินมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ที่มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เป็นผู้กำกับดูแลการเกี่ยวกับที่ดินในประเทศ ตนเองมองว่าควรจะดึงเรื่องการจัดการที่ดินทั้งระบบมาอยู่ภายใต้ สคทช. โดยให้อำนาจ สคทช. มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการกำกับดูแล
(โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) และคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ใช้ตัวย่อ คทช.เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อป้องกันความสับสนเมื่อมีการกล่าวถึงคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ จะใช้ตัวย่อ สคทช.แทน)
@ ตามด้วยใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบ
นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ลำดับที่สองเป็นเรื่องของการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถแก้ได้จากการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ โดย สคทช. อาจจะประสานงานกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : GISTDA เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลของที่ดินในประเทศไทย เมื่อมีการใช้เทคโนโลยีที่สามารถเห็นสภาพที่ดินทุกแปลงได้ ถ้าพื้นที่ใดมีการบุกรุกป่าหรือมีสภาพเปลี่ยนแปลง ก็จะมีการแจ้งเตือน จากนั้นก็ส่งหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีอีกหน่วยงาน (หน่วยงานในพื้นที่) ตรวจสอบซ้ำ แต่ปัจจุบันยังไม่มี เพราะในปัจจุบันนี้มีเพียงกรมป่าไม้ที่สามารถรวจสอบพื้นที่ป่าได้ ซึ่งข่าวที่ปรากฏว่าชาวบ้านขายที่ดินให้ต่างชาติส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ คทช.
“อีกทั้งจากการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการที่ดิน พบว่า การจัดสรรที่ดินตามนโยบายของรัฐ (คทช.) ปัจจุบันกว่า 80% ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ หมายถึงว่าประชาชนที่อยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวกับพื้นที่ป่าแล้วยื่นขอที่ดินทำกิน หรือยื่นขอ คทช. ไว้ ยังทำไม่เสร็จก็รอต่อไปอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ระหว่างเราก็มีนายทุนคนใหม่เข้ามาสวม มีนายทุนคนใหม่ขยายพื้นที่ อันนี้ทำมานานก็ไม่เสร็จ จึงเป็นช่องทางช่องว่าง ผมเชื่อว่ามีเรื่องของผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง” นายพูนศักดิ์ กล่าว
@ ยังคงต้องแก้กฎหมาย
“ที่ระบุไปข้างต้นคือ การพูดให้เห็นภาพว่าโครงสร้างของการบริหารยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ เรายังคงต้องการหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล ก็คือ สคทช. มาทำหน้าที่ควบคุมนโยบายและควบคุมการตรวจสอบอย่างเบ็ดเสร็จ นี่คือข้อแรกที่ถ้าเราอยากจะแก้ แต่กฎหมายในปัจจุบันยังไม่สามารถดำเนินการตามที่ผมพูดไปแล้วได้ เพราะพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562 ระบุให้ สคทช. ทำหน้าที่ในการดูแลนโยบายเกี่ยวกับการจัดการที่ดินในภาพรวมทั้งหมด ซึ่งตอนนี้กฎหมายฉบับนี้ยังมีส่วนที่ขาดอยู่ คือ ยังไม่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จการจัดการที่ดินของประเทศ ตามแนวทางที่ผมกล่าวไปแล้วข้างต้น” นายพูนศักดิ์ กล่าว
นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ขั้นที่สองต้องมาดูว่าจะแก้กฎหมายอย่างไร ปัจจุบันนี้ก็เห็นว่า สคทช. ยังไม่สามารถเป็นหน่วยงานกำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินได้ ฉะนั้นจึงต้องหาเครื่องมือเพื่อให้ สคทช. มีอำนาจในการลงโทษและกำกับดูแล เช่น สคทช.จะต้องมีอำนาจในการตรวจสอบและลงโทษผู้ที่กระทำความผิด เป็นต้น และสิ่งที่ควรดำเนินการ คือ ควรให้ สคทช. ทำโครงการ One Map ที่เป็นการจัดการพื้นที่ทับซ้อนของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นที่ดินป่าสงวน ที่ดินอุทยาน ที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ให้ไม่มีการทับซ้อนกัน ให้เป็นแผนที่เดียว
“ตอนนี้ทำมา 4 กลุ่มแล้ว กลุ่มที่ 5 กำลังรอครม.อนุมัติ ส่วนอีก 2 กลุ่มกำลังเร่งทำให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เมื่อทำแล้วเสร็จทั้งหมดจะมี 7 กลุ่ม ประเทศไทยจะเคลียร์ปัญหาการทับซ้อนที่ดินได้ โดยขั้นตอนของการทำ One Map มี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 หน่วยงานรัฐทุกหน่วยงานที่ทำโครงการ one map ประชุมร่วมกันรับรองแนวเขตของแต่ละหน่วยงาน ขั้นตอนที่ 2 ให้ครม.รับรอง ขั้นตอนที่ 3 ให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องยืนยันแนวเขตของหน่วยงานตนเอง ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้มีปัญหา คือ มีหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องไม่รับรองแนวเขตของตนเอง หนึ่งในนั้นมีกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ที่ไม่รับรองแนวเขตของตนเอง พอไม่รับรองแนวเขตการประกาศใช้ก็ไม่สมบูรณ์ ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเราต้องเร่งให้รัฐบาลลดขั้นตอนการทำงานลง จากเดิมมี 3 ขั้นตอน ให้ตัดขั้นตอนที่ 3 ออก โดยให้ในขั้นตอนที่ 1 ก็ให้หน่วยงานรัฐรับรองแนวเขตให้เรียบร้อย แล้วส่งให้ครม.รับรอง เมื่อครม.รับรองก็ถือว่าจบ ผมว่าอันนี้ต้องเร่งทำ”
@ จะแก้นอมินีที่ดินได้ ต้องแก้กฎหมายให้ สคทช. มีอำนาจจัดการที่ดิน+มี ONe Map ใช้
นายพูนศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ อีกทั้งในการปรับโครงสร้างที่มี สคทช. มีอยู่แล้ว แต่กฎหมายที่มีอยู่ไม่ได้มอบเครื่องมือในการกำกับดูแล ฉะนั้นฝ่ายนิติบัญญัติต้องไปแก้กฎหมายให้ สคทช.มีอำนาจในการจัดสรร จัดการ และบริหารที่ดิน และสิ่งสุดท้าย คือ เรื่อง One Map เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องเร่งทำให้เสร็จ เมื่อกระบวนการเหล่านี้เสร็จสิ้น ทาง สคทช. ก็จะมีข้อมูลที่ดินทั้งประเทศและจะสามารถกำกับจัดการที่ดินทั้งประเทศได้
“กลับมาคำถามที่ว่า แล้วจะจัดการพื้นที่ที่มีนอมินีอย่างไร ใครที่ถือข้อมูลอยู่ในมือก็จะสามารถตรวจสอบร่วมกับเทคโนโลยีที่มี เช่น GISTDA ถ้ามีพื้นที่ไหนรุกป่าก็จะรู้ ก็จะสามารถทำหน้าที่ในการตรวจสอบหน่วยงานรัฐ ทีนี้หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน เช่น กรมป่าไม้ ก็จะถอยหลังกลับไป ไม่ควรต้องมายุ่งเกี่ยวกับกฎหมายที่ดิน ก็จะกลับไปทำหน้าที่หลัก คือ ดูแลป่า อันนี้คือแนวทางสุดท้าย การที่มีนอมินีเข้ามาปลูกทุเรียนในพื้นที่ป่าเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
หมายเหตุ: One Map เป็นปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินเพื่อให้มีแนวเขตที่ดินของรัฐที่ถูกต้อง ทันสมัย อยู่บนมาตรฐานแผนที่มาตราส่วน 1 : 4000 เพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนกันของที่ดินของรัฐโดยมีเป้าหมายการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละ 11 จังหวัด ดังนี้
กลุ่มที่ 1 นนทบุรี นครปฐม อ่างทอง สิงห์บุรี สมุทรสงคราม กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร สุพรรณบุรี
กลุ่มที่ 2 จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด นครนายก นครสวรรค์ ระยอง ลพบุรี ศรีสะเกษ และสระบุรี ยกเว้นกรณี พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด
กลุ่มที่ 3 นครราชสีมา บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ สระแก้ว สุรินทร์ อุบลราชธานี เพชรบูรณ์ และเลย (ยกเว้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในพื้นที่นครราชสีมาและปราจีนบุรี)
กลุ่มที่ 4 กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม บึงกาฬ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอุดรธานี
กลุ่มที่ 5 สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กลุ่มที่ 6 เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา
กลุ่มที่ 7 เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และอุทัยธานี
นอกจากนี้สำนักข่าวอิศรายังสืบค้นและรวบรวมข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับกรณีคนไทยถือหุ้นหรือถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว (Nominee) จากการสืบค้นพบว่าในช่วงปี 2561 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะเรื่องการครอบครองที่ดินของคนต่างด้าว ต่อครม. มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
@ ปี 2561 ป.ป.ช. เคยมีข้อเสนอแนะแก้ปัญหานอมินีที่ดิน
สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เสนอข้อเสนอแนะเรื่องการครอบครองที่ดินของคนต่างด้าว ไปยังคณะรัฐมนตรี โดยมีข้อเสนอแนะ 2 ประเภท ได้แก่
1.ข้อเสนอเร่งด่วน มีใจความสำคัญ 3 ประการ
1.1.ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนดแนวทางปฏิบัติในการรับจดทะเบียนก่อตั้งนิติบุคคลที่มีคนต่างด้าวถือหุ้น โดยให้สอบสวนให้ทราบแหล่งที่มาของเงินที่นำมาลงทุนของผู้ถือหุ้นทุกคนก่อนรับจดทะเบียน และดำเนินการตรวจสอบงบการเงินที่นิติบุคคลต้องยื่นต่อกรมทุกปี หากพบว่านิติบุคคลนั้นมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเนื่องมาจากการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหรือเพิ่มทุนในนิติบุคคลจนเปลี่ยนสภาพเป็นนิติบุคคลต่างด้าว ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงนิติบุคคลนั้น เป็นนิติบุคคลต่างด้าว และแจ้งกรมที่ดินเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
1.2.ให้กรมที่ดินมีหน้าที่ตรวจสอบการซื้อขายที่ดินในเขตเศรษฐกิจ แหล่งท่องเที่ยว หรือบริเวณชายแดน ว่าผู้ซื้อมีฐานะทางเศรษฐกิจหรือความสามารถในการซื้อที่ดินนั้น จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงผู้มีชื่อครอบครองที่ดินแทนคนต่างด้าว โดยให้มีการตรวจสอบฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ซื้อที่ดินย้อนหลัง 3 ปี นอกจากนี้ให้มีการดำเนินคดี เพื่อลงโทษตามกฎหมายสำหรับผู้มีชื่อครอบครองที่ดินแทนคนต่างด้าวในลักษณะนี้ด้วย มิใช่เพียงแต่ไม่รับ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เท่านั้น
1.3.ให้กรมที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการข้อมูลการครอบครองที่ดิน การซื้อขายที่ดิน และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีบุคคลต่างด้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย ราชการบริหารส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลกับกรมที่ดิน
2.ข้อเสนอระยะยาว มีใจความสำคัญ คือ แก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน และพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยเพิ่มอัตราโทษสำหรับบุคคลที่ครอบครองที่ดินในฐานะเป็นตัวแทนของคนต่างด้าว ควรมีโทษทั้งจำทั้งปรับในอัตราที่สูง และแก้ไขคำนิยามคำว่า “คนต่างด้าว” รวมถึงกำหนดให้มีหลักเกณฑ์และกระบวนการในการตรวจสอบการดำเนินการที่ครอบคลุมการทำธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
โดยเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2561 ครม.มีมติรับทราบข้อเสนอแนะข้างต้น และกรมที่ดินและกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับที่จะนำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปเป็นกรอบแนวทางการปฏิบัติราชการ โดยบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดให้มีศูนย์ข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ช่องว่างของกฎหมายในการถือครองที่ดินและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
@ ข้อเสนอแนะอาจมีช่องโหว่
แต่อย่างไรก็ดีตั้งแต่ปี 2561 จนกระทั่งปี 2568 ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานอมินีที่ดินได้ สะท้อนให้เห็นว่าอาจมีช่องโหว่ในข้อเสนอแนะของป.ป.ช. ที่อาจทำให้การแก้ไขปัญหาไม่บรรลุเป้าหมาย
นางสาวลัดดา เดือนสว่าง
นางสาวลัดดา เดือนสว่าง ผู้อำนวยการสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราเกี่ยวกับช่องโหว่ดังกล่าวว่า ลักษณะการเสนอแนะของ ป.ป.ช. ไม่ได้มีสภาพบังคับเหมือนกฎหมายที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็ผิดกฎหมาย ยกตัวอย่างกรณีคดีจำนำข้าวที่ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล ถ้ารัฐบาลทำตามข้อเสนอแนะก็จะดี แต่จะไม่ทำก็ได้ ซึ่ง ป.ป.ช. ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นข้อเสนอแนะส่วนใหญ่ที่เสนอไปส่วนใหญ่ ครม.จะรับทราบและมอบหมายหน่วยงานแต่ละหน่วยงานไปดำเนินการ โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ต้องติดตามผลและขับเคลื่อนผลักดัน แต่ไม่มีอำนาจไปสั่งบังคับให้ดำเนินการ จะมีช่องโหว่ตรงนี้อยู่ที่เสนอแนะได้แต่จะไม่ฟังก็ได้
แต่เมื่อปรากฏข่าวว่ามีทุนจีนกว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อทำสวนทุเรียน และกว้านซื้อที่ดินในเขต EEC เพื่อตั้งโรงงานขนาดใหญ่ หน่วยงานที่ต้องรับผิดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ออกมาแถลงข่าวและเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบว่ามีแนวทางดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไร
@ การดำเนินการแก้ปัญหาของภาครัฐในปี 2568
ในเดือน มี.ค. 2568 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมที่ดินได้ดำเนินการตรวจสอบ กำชับเจ้าหน้าที่ และขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกีายวข้องเพื่อแก้ปัญหานอมินีที่ดิน โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยงจะเป็นนอมินี โดยเน้นในธุรกิจที่ดินเพื่อการเกษตร ในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงทั้งจันทบุรี และระยอง พบว่า ในจังหวัดจันทบุรี มีนิติบุคคล 462 ราย ซึ่งกรมได้ส่งให้กรมที่ดินตรวจสอบต่อ ในเบื้องต้นกรมที่ดินได้ตรวจสอบเฉพาะอำเภอเมืองก่อน พบว่า ใน 462 รายนี้ มี 11 ราย ที่ถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรจริง โดยมี 3 รายทำธุรกิจซื้อขายผัก ผลไม้ และส่วนที่เหลืออีก 8 ราย ทำธุรกิจอื่น เช่นค้าขายอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
ส่วนกรมที่ดินได้กำชับเจ้าหน้าที่ต้องสอบสวนให้ปรากฏชัดเจนว่านิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยมิได้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว โดยสอบสวนรายได้ของผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย และสอบสวนที่มาของเงินที่นำมาซื้อหุ้น รวมไปถึงสอบสวนที่มาของเงินซึ่งบริษัทนำมาซื้อที่ดิน โดยให้รายงานให้กรมที่ดินทราบทุกสามเดือน ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป เพื่อกรมที่ดินจะได้นำข้อมูลดังกล่าวดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ และมีหนังสือขอความร่วมมือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในการแจ้งและเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวกับนิติบุคคลที่มีเหตุสงสัยว่า จะมีพฤติการณ์นอมินีเพื่อจะได้นำข้อมูลดำเนินการตรวจสอบต่อไป
หากตรวจพบว่ามีคนไทยถือหุ้นหรือถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ไว้แทนคนต่างด้าว กรมที่ดินจะดำเนินการบังคับใช้มาตรการการลงโทษโดยเด็ดขาด โดยการบังคับให้จำหน่ายที่ดินและพิจารณาดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคนต่างด้าว บริษัทนอมินี และคนไทยผู้ซึ่งถือหุ้นหรือได้มาซึ่งที่ดินในฐานะเป็นตัวแทนของคนต่างด้าว ในความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 111 มาตรา 112 และมาตรา 113 ตลอดจนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 ซึ่งมีทั้งโทษปรับและโทษจำคุกต่อไป
นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร
นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศราว่า ที่ผ่านมากรมที่ดินก็ได้มีหนังสือเน้นย้ำเรื่องนิติบุคคลที่จะมาซื้อที่ดินที่มีโฉนดจะต้องเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยตามที่กฎหมายกำหนด ถือว่ามีสิทธิ์จะถือครองที่ดินได้ แต่เมื่อซื้อที่ดินไปแล้วก็ไปเพิ่มทุนเพิ่มหุ้นทำให้กลายเป็นนิติบุคคลต่างด้าว ซึ่งไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดิน เมื่อมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นทางกรมที่ดินก็ขอความร่วมมือจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อส่งข้อมูลมาที่กรมที่ดิน เพื่อจำหน่ายที่ดิน
นอกจากนี้มองว่าสำหรับนโยบายที่จะแก้ปัญหานอมินีให้หมดไปนั้น ยังไม่ทราบว่าจะต้องทำยังไง เพราะในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ได้เป็นเพียงเรื่องกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ คือ ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงการถือครองที่ดินถ้ามีคุณสมบัติตามที่กำหนด
“ยกตัวอย่างในกรณีที่บุคคลธรรมดามาซื้อที่ดิน ถ้ากรมที่ดินตรวจอบแล้วว่าเป็นคนไทยจริง ไม่มีคู่สมรสต่างชาติ เดิมเราก็ถือว่าเขามีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่จะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ เราก็จะจดทะเบียนให้เขาไปตามที่มีสิทธิ์ แต่พอช่วงหลังมากลายเป็นว่าคนไทยเหล่านี้ส่วนใหญ่ทุนที่นำมาซื้อเป็นทุนต่างด้าวซึ่งก็เป็นลักษณะของการนอมินี กรมที่ดินก็มีนโยบายจากเดิมที่ดูแค่ว่าเป็นคนไทยมีสำเนาทะเบียนบ้าน ไม่ได้มีคู่สมรสต่างชาติ เราทำให้เขาเลย แต่ในปัจจุบันเพื่อป้องกันการนอมินี กรมที่ดินจึงเข้มข้นในเรื่องการตรวจสอบที่มาของเงินที่นำมาซื้อที่ดิน คือ ดูว่านำเงินจากไหน ถ้าตอบไม่ได้ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นนอมินี เช่นในกรณีซื้อเงินสดไม่ได้จำนอง ที่จะดูว่าบุคคลนั้นมีรายได้มาจากอะไรเรามีเงินจำนวนนี้มาซื้อที่บุคคลนั้นนำเงินมาจากที่ไหน โดยในส่วนนี้กรมที่ดินได้มีหนังสือสั่งการเน้นย้ำให้สำนักงานที่ดินทั่วประเทศถือปฏิบัติ” นางพนิตาวดี กล่าว
นางพนิตาวดี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ในกรณีของนิติบุคคลที่มาซื้อที่ดินในตอนแรกเป็นสัญชาติไทย แล้วพอได้ครอบครองที่ดินก็เปลี่ยนเป็นนิติบุคคลต่างด้าว กรณีเช่นนี้ถ้ากรมที่ดินไม่ดำเนินการก็จะถือว่าละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ดังนั้นเพื่อที่จะแก้ปัญหากรณีนี้ จึงมีความร่วมมือระหว่างกรมที่ดินกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อไปตรวจสอบนิติบุคคลที่เข้าข่ายเป็นนอมินี
เหล่านี้คือแนวทางการแก้ไขปัญหานอมินีและการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นของภาครัฐ ซึ่งจะเห็นว่าในมุมมองของฝ่ายนิติบัญญัติมองว่า การจะแก้ไขปัญหานอมินีให้หมดไปได้ต้องแก้ไข พ.ร.บ.คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562 โดยมอบอำนาจให้ สคทช. เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดสรร บริหาร และจัดการที่ดิน และต้องดำเนินโครงการ One Map ให้แล้วเสร็จเพื่อที่ภาครัฐจะได้มีข้อมูลในการดำเนินการบริหารและจัดสรรที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา