
“…พ.ร.บ.ล้างมลทินมีผลแต่เพียงลบล้าง “โทษ” ของบุคคลที่เคยถูกลงโทษเท่านั้น แต่ “เหตุ” ของความผิดยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าจะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม แต่การกระทำความผิดของบุคคลนั้นๆ ก็ยังคงอยู่ ไม่อาจลบล้างออกไปได้ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ดังที่ปรากฏใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551…”
........................................
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ครม. มีมติรับทราบ ‘มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ’ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ
พร้อมทั้งมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ และนำกลับมาที่ประชุม ครม. ต่อไปนั้น (อ่านประกอบ :ครม.รับทราบมาตรการ‘ป.ป.ช.’ห้ามบรรจุคนเคยถูก‘ให้ออก’ฐานทุจริตฯ เข้ารับ‘ราชการ’เด็ดขาด)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอสรุปสาระสำคัญของ มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ ดังนี้
@อ้าง‘พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ’กลับ‘รับราชการ’ สุ่มเสี่ยงเรียกรับผลปย.
ความเป็นมาและความสำคัญ
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีนโยบายเร่งด่วนที่จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง แต่ปัจจุบันกลับปรากฏว่า มีผู้กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการและถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง ขอกลับเข้ารับราชการ โดยอ้างว่าได้รับการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550
ทั้งนี้ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้สนองตอบต่อนโยบายของรัฐในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กอปรกับเมื่อพิจารณาข้อมูลทางสถิติที่ได้จากการวิจัยในอดีตเกี่ยวกับกรณีผู้ซึ่งออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยไปแล้ว ต่อมาได้รับการบรรจุกลับเข้ารับราชการ มีกระทำผิดวินัยซ้ำอีก เนื่องจากติดนิสัยการกระทำผิดอยู่เป็นจำนวนมาก
ก.พ. จึงออกหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 16 ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่อง การบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ
โดยมีมติให้ส่วนราชการต่างๆ ใช้ความระมัดระวังในการพิจารณารับบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการ เพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการแล้วกลับเข้ารับราชการอีก เนื่องจากการได้รับการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินดังกล่าว ผู้ที่ได้รับการล้างมลทินได้ล้างแต่เฉพาะโทษเท่านั้น แต่หาได้ล้างพฤติกรรมการกระทำผิดวินัยด้วยไม่ ตามหลักแนวคิดที่ว่า “ลบล้างในผล แต่ไม่ลบล้างในเหตุ”
หมายถึง ให้ถือว่าบุคคลผู้เคยออกจากราชการ เพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการนั้น ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยมาก่อน แต่ผลจากการล้างมลทิน นั้น มิอาจลบล้างได้ว่า บุคคลผู้นั้นไม่เคยมีความประพฤติที่เสื่อมเสียหรือขาดคุณธรรม จริยธรรม แต่อย่างใด
แม้ว่าผู้นั้นจะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม แต่พฤติกรรมการกระทำผิดวินัยนั้น ก็อาจเป็นการบกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม อันเป็นกรณีที่มีลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 36 ข.(4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ก็ได้
(ที่มา : มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ ป.ป.ช.)
อย่างไรก็ดี มติของ ก.พ. ดังกล่าว มีผลแต่เพียงข้าราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เท่านั้น ยังมิได้มีผลถึงข้าราชการประเภทอื่น เช่น ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
ดังนั้น จึงอาจเป็นช่องทางที่มีความสุ่มเสี่ยง ให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการประเภทอื่น อาศัยอำนาจและใช้ดุลพินิจในการพิจารณาบรรจุแต่งตั้งบุคคลซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการให้กลับเข้ารับราชการ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในทางตรงและทางอ้อมจากผู้ที่ขอกลับเข้ารับราชการ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) จึงเห็นควรว่าให้นำมติ ก.พ. ดังกล่าวข้างต้น มาพัฒนาเป็นนโยบายเชิงมาตรการให้ใช้ครอบคลุมถึงเจ้าพนักงานของรัฐ หรือขยายมาตรการดังกล่าวให้เสริมและเกื้อกูลยุทธศาสตร์การป้องกันการทุจริตของสำนักงาน ป.ป.ช.
@ยก 3 กรณี ชี้‘พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ’ล้าง‘พฤติการณ์กระทำผิด’ไม่ได้
คำพิพากษาศาลปกครอง คำพิพากษาศาลฎีกา แม้ได้ลบล้างโทษตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ แต่ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐได้
กรณีที่ 1 พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ มีผลให้ถือว่าข้าราชการผู้ถูกล้างมลทินไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยในความผิดที่ได้กระทำ แต่ไม่ได้ลบล้างพฤติการณ์การกระทำผิด ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติในการรับราชการได้
โดยผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดสำนักงานประกันสังคม ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการฐานทุจริตต่อหน้าที่ ต่อมามี พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคําขอบรรจุกลับเข้ารับราชการ
แต่สำนักงานประกันสังคมมีคำสั่งไม่รับผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการด้วยเหตุผลว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการเนื่องจากเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถูกลงโทษทางวินัยและได้รับคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 มีผลใช้บังคับ
ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้อยู่ในข่ายได้รับการล้างมลทิน โดยให้ถือว่าผู้ฟ้องคดีไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยตามคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการในกรณีดังกล่าวมาก่อนตามนัยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิที่จะยื่นคำขอกลับเข้ารับราชการได้
แต่โดยที่บทบัญญัติดังกล่าว มิได้บัญญัติให้ลบล้างพฤติการณ์การกระทำผิดที่ผ่านมาของผู้กระทำผิดแต่อย่างใด เมื่อผู้ฟ้องคดีมีคำขอกลับเข้ารับราชการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (สำนักงานประกันสังคม) ต้องดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติของระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการขอยกเว้นให้เข้ารับราชการกรณีมีลักษณะต้องห้ามเป็นข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2552
ข้อ 3 และข้อ 4 ซึ่งกำหนดให้ผู้มีลักษณะต้องห้ามประการหนึ่งประการใด ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง ข. และมีความประสงค์จะเข้ารับราชการให้ยื่นคําขอตามแบบที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด พร้อมทั้งเหตุผลความจําเป็นที่จะให้กลับเข้ารับราชการต่อเลขาธิการ ก.พ. เพื่อดำเนินการต่อไป
ดังนั้น ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่จะรับผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการหรือไม่นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ย่อมมีอำนาจที่จะนำพฤติการณ์การกระทำที่ผ่านมาของผู้ฟ้องคดีมาประกอบการวินิจฉัย โดยคำนึงถึงความจําเป็นและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย
เมื่อปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีถูกดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงและได้มีการตรวจสอบพฤติการณ์การกระทำของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ฟ้องคดีซึ่งมีอำนาจพิจารณาสั่งการเกี่ยวกับคำขอรับประโยชน์ทดแทนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 พิจารณาดำเนินการอนุมัติ
และสั่งจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนในเรื่องที่ตนรู้ว่าเป็นเท็จ เพื่อให้นางสาว พ.ซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้ฟ้องคดีได้รับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรโดยมิควรได้ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่น
กรณีจึงเป็นการอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการกระทำการทุจริตต่อหน้าราชการ พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม อันมีลักษณะต้องห้ามที่ไม่อาจเข้ารับราชการได้ ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง ข. (4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ประกอบแนวทางปฏิบัติตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ น.ว.2/2504 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2504
และเมื่อพิจารณาโดยคำนึงถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่มีปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในตำแหน่ง ประเภท สายงาน และระดับเดียวกับผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีระบุเหตุผลพร้อมข้อมูลสนับสนุนการขอกลับเข้ารับราชการเพียงว่า ผู้ฟ้องคดี ไม่ได้ประกอบอาชีพใด ขอความอนุเคราะห์ให้ได้กลับเข้ารับราชการเพื่อว่าเมื่อเกษียณอายุราชการ จะได้มีรายได้จากเงินบำนาญ
โดยไม่ได้แสดงว่าจะนำความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่มีเพื่อให้เกิดประโยชน์ แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม) มีคำสั่งไม่รับผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อบ.5/2561)
กรณีที่ 2 ปี พ.ศ. 2525 ช่างรังวัดสังกัดกรมที่ดินคนหนึ่งถูกปลดออกจากราชการฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา
ต่อมาอดีตช่างรังวัดคนดังกล่าวได้ขอรับใบอนุญาตเป็นช่างรังวัดเอกชนต่อคณะกรรมการช่างรังวัดเอกชน และได้ถูกปฏิเสธ เนื่องจากเห็นว่ามีความประพฤติที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 19(7) แห่งพระราชบัญญัติช่างรังวัดเอกชน พ.ศ.2535 คือเป็นผู้ที่มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
อดีตช่างรังวัดต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงว่า เขาได้รับการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษาพ.ศ. 2530 แล้ว
เรื่องไปถึงศาลฎีกา ซึ่งได้พิพากษาว่า พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ พ.ศ. 2530 ที่เขายกขึ้นมาต่อสู้นั้น ส่งผลให้ถือว่าเขาไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยให้ปลดออกจากราชการเท่านั้น “แต่การกระทำหรือความประพฤติของโจทก์ที่ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่หรืออื่นๆ ไม่ได้ถูกลบล้างไปด้วย”
“พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษาพ.ศ.2530 มาตรา 5 ตอนท้ายที่ระบุว่า โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ
ย่อมหมายความเพียงว่า ผู้ที่ถูกลงโทษทางวินัยไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยเท่านั้น หาได้หมายความว่าความประพฤติหรือการกระทำที่เป็นเหตุให้บุคคลนั้นถูกลงโทษทางวินัยถูกลบล้างไปด้วยไม่ เพราะเรื่องความประพฤติหรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจล้างมลทินให้หมดไปได้”
สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินว่า คณะกรรมการช่างรังวัดเอกชนเห็นว่า การกระทำของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้รับการล้างมลทินและเป็นการกระทำที่ขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.ช่างรังวัดเอกชน พ.ศ. 2535 มาตรา 19 (7) และไม่มอบใบอนุญาตเป็นช่างรังวัดเอกชนให้นั้น จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว (อ่านรายละเอียดได้ที่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2539)
กรณีที่ 3 คณะกรรมการเนติบัณฑิตสภามีมติไม่รับจ่าสิบตำรวจเข้าเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตสภา เนื่องจากจ่าสิบตำรวจท่านนี้เคยถูกลงโทษทางวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ขัดกับข้อบังคับของเนติบัณฑิตสภาฯ ที่ต้องการรับบุคคลที่มีคุณธรรม มีความประพฤติเรียบร้อยและไม่เป็นบุคคลที่ควรรังเกียจแก่สังคม
จ่าสิบตำรวจฟ้องเนติบัณฑิตสภา ฐานกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยต่อสู้ว่าตนได้ได้รับการล้างมลทิน ตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 มาแล้ว
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ ลบล้างแค่โทษทางวินัยที่เคยได้รับเท่านั้น ไม่มีผลเป็นการลบล้างการกระทำความผิดทางวินัยตามความเป็นจริงแต่อย่างใด
“ผลแห่งบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีผลเพียงให้ลบล้างโทษทางวินัยที่ลงแก่ผู้ฟ้องคดีมาก่อนว่าเป็นผู้กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยในกรณีดังกล่าวมาก่อนเท่านั้น หาได้มีผลเป็นการลบล้างการกระทำผิดวินัยตามความเป็นจริงที่ผู้ฟ้องคดีได้กระทำขึ้นจริงให้หมดสิ้นไปด้วยไม่” คำพิพากษาของศาลระบุ
และได้ตัดสินว่าการที่เนติบัณฑิตสภามีสิทธิไม่รับจ่าสิบตำรวจท่านดังกล่าวเข้าเป็นสมาชิกนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ว่าตัวจ่าสิบตำรวจจะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม (อ่านรายละเอียดได้ที่ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.7/2546 คดีหมายเลขดำที่ อ.70/2545)
@‘พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ’ลบล้าง‘โทษ’ แต่‘เหตุ’ความผิดยังคงอยู่
ข้อพิจารณา
การใช้อำนาจหน้าที่และดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุแต่งตั้งข้าราชการตามกฎหมายบริหารงานบุคคล และกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานรัฐ
ในกรณีดังกล่าว ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งเจ้าพนักงานของรัฐ อาจอาศัยอำนาจ และดุลพินิจในการพิจารณาบรรจุแต่งตั้งบุคคลซึ่งเคยออกจากราชการหรือออกจากการทำงานในหน่วยงานของรัฐเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ให้กลับเข้ารับราชการหรือกลับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นช่องทางสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตจากการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้
รวมไปถึงการสั่งบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเองเครือญาติ และพวกพ้องในลักษณะที่เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์” (Patronage System) หรือเพื่อผลประโยชน์ในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
อนึ่ง มติของสำนักงาน ก.พ. ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 16 ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่อง การบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ ที่ได้กล่าวในข้างต้นนั้น เป็นเพียงมาตรการป้องปรามการทุจริตสำหรับข้าราชการพลเรือนตามอำนาจของ ก.พ. ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแล้ว พบว่ามติ ก.พ. ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับภารกิจ และยุทธศาสตร์ของสำนักงาน ป.ป.ช. ในด้านการป้องปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
ดังนั้น ควรนำมติ ก.พ. ดังกล่าวมาศึกษาประกอบข้อมูล ข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาและกำหนดเป็นนโยบายเชิงมาตรการให้ครอบคลุมไปถึงเจ้าพนักงานของรัฐ หรือขยายมาตรการดังกล่าว ให้ส่งเสริม เกื้อกูลยุทธศาสตร์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามนัยมาตรา 32 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
การศึกษาเกี่ยวกับกรณีการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเนื่องจากกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ หากพิจารณาในส่วนของข้าราชการพลเรือน พบว่า ถึงแม้ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 จะยังคงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกลงโทษเนื่องจากกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกกลับเข้ารับราชการได้
ตามที่ปรากฏในมาตรา 36 ข. วรรคสอง ความว่า
“ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้ามตาม ข. (4) (6) (7) (8) (9) (10) หรือ (11) ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้ แต่ถ้าเป็นกรณีมีลักษณะต้องห้ามตาม (8) หรือ (9) ผู้นั้นต้องออกจากงานหรือออกจากราชการไปเกินสองปีแล้ว
และในกรณีมีลักษณะต้องห้ามตาม (10) ผู้นั้นต้องออกจากงานหรือออกจากราชการไปเกินสามปีแล้ว และต้องมิใช่เป็นกรณีออกจากงานหรือ ออกจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่ มติของ ก.พ. ในการยกเว้นดังกล่าวต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสี่ในห้าของจำนวนกรรมการที่มาประชุม การลงมติให้กระทำโดยลับ”
จากบทบัญญัติดังกล่าว สามารถพิจารณาได้ว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 เปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในฐานความผิดอื่นๆ เท่านั้น
แต่มิได้ให้โอกาสแก่บุคคลที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการกลับเข้ารับราชการแต่อย่างใด หากแต่ผลจากการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ ได้ส่งผลให้บุคคลที่เคยถูกลงโทษเพราะกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้รับการลบล้างโทษเหล่านั้น และให้ถือว่าเป็นผู้ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงใดๆ รวมถึงกรณีการถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกเนื่องจากการทุจริตต่อหน้าที่
ทั้งนี้ มติของสำนักงาน ก.พ. ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 16 ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่อง การบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ ซึ่งไม่ได้กำหนด “ห้าม” มิให้พิจารณาบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ (โดยได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ ดังกล่าว) กลับเข้ารับราชการ เพียงแต่กำหนดว่า “ให้ใช้ความระมัดระวัง” ในการใช้ดุลพินิจเท่านั้น
โดย พ.ร.บ.ล้างมลทินมีผลแต่เพียงลบล้าง “โทษ” ของบุคคลที่เคยถูกลงโทษเท่านั้น แต่ “เหตุ” ของความผิดยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าจะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม แต่การกระทำความผิดของบุคคลนั้นๆ ก็ยังคงอยู่ ไม่อาจลบล้างออกไปได้ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ดังที่ปรากฏใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 36 ข. ลักษณะต้องห้าม (4) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
@แนะห้าม‘หน่วยงานรัฐ’รับคนเคยทำทุจริตกลับเข้ารับราชการ’
ข้อเสนอแนะ
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ กอปรกับอาศัยอำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ
เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามนัยมาตรา มาตรา 32 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรเสนอ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพิจารณาบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการหรือออกจากการทำงานในหน่วยงานของรัฐเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่และได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2550 กลับเข้ารับราชการหรือกลับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ
เนื่องจากมีผู้กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงขอกลับเข้ารับราชการ หรือขอกลับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ เพราะได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ. 2550 ซึ่งการได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ ล้างเฉพาะโทษเท่านั้น หาได้ล้างพฤติกรรมการกระทำผิดวินัยด้วยไม่
ดังนั้น แม้ว่าผู้นั้นจะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม แต่พฤติกรรมการกระทำผิดวินัยนั้นก็อาจเป็นการบกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม อันเป็นกรณีที่มีลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 36 ข. (4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ก็ได้
คณะรัฐมนตรีควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาเป็นบรรทัดฐาน เพื่อแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐ
โดยให้มีข้อกำหนดว่า เจ้าพนักงานของรัฐที่เคยถูกสั่งให้ออกจากราชการหรือออกจากการทำงานในหน่วยงานของรัฐเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการขอกลับเข้ารับราชการหรือกลับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ
และมิให้พิจารณารับบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการหรือบรรจุเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐโดยเด็ดขาด และกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจรับบรรจุเจ้าพนักงานของรัฐกลับเข้าสู่ระบบราชการหรือหน่วยงานของรัฐ กรณีรับผู้ที่เคยกระทำการทุจริตต่อหน้าที่กลับเข้ารับราชการหรือกลับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกประเภท และให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีควรสั่งการหรือขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานองค์กรกลางการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานของรัฐ โดยให้ใช้มติของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 16 ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่อง การบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ
เพื่อขยายไปยังตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐให้เป็นแนวทางปฏิบัติและต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณารับบรรจุผู้ซึ่งเคยออกจากราชการหรือออกจากการทำงานในหน่วยงานของรัฐ เพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่แล้วขอกลับเข้ารับราชการหรือขอกลับเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐอีก
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนหรือแนวทางการดำเนินการตามมาตรการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณา โดยให้สำนักงาน ก.พ. รายงานผลการดำเนินการตามมาตรการฯ ดังกล่าว ต่อสำนักงาน ป.ป.ช เป็นประจำทุกปี หรือตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
เหล่านี้เป็น ‘ที่มา’ และสาระสำคัญของ ‘มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ’ ที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และ ครม. มีมติมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับเรื่องนี้ไปพิจารณา ก่อนนำกลับมาเสนอ ครม.อีกครั้ง!
อ่านประกอบ :
ครม.รับทราบมาตรการ‘ป.ป.ช.’ห้ามบรรจุคนเคยถูก‘ให้ออก’ฐานทุจริตฯ เข้ารับ‘ราชการ’เด็ดขาด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา