
"...หน่วยงานในสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำโครงการหรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นที่จังหวัดน่านและจังหวัดใกล้เคียง โดยนายชาตรี บุญนาค ได้จัดประชุมผู้บริหารงานส่งเสริมการเกษตรเพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายหลักของกรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานเกษตรจังหวัดน่านได้จัดทำโครงการศึกษาดูงานและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานส่งเสริมการเกษตรจังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 3 - 4 กันยายน 2558 เพื่อใช้โอกาสดังกล่าวให้ข้าราชการเดินทางไปร่วมงานทอดผ้าป่า และมีการอนุมัติให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอันเป็นเท็จ..."
กรณีการอนุมัติเดินทางและเบิกจ่ายค่าเดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ต่างจังหวัดอันเป็นเท็จ ของผู้บริหารหน่วยงานราชการ ปรากฏขึ้นให้สังคมไทยเห็นมาโดยตลอด
คดีสำคัญที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว คือ กรณี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดกรณีจัดให้มีการสัมมนา ที่ จ.น่าน วันที่ 31 ต.ค. 2546 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้นได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ที่จัดขึ้นในวันเดียวกันแล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกัน 294,440 บาท ทำให้ สตง.เสียหาย ในช่วงปี 2562 ศาลฎีกา พิพากษาแก้โทษลดโทษเหลือจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน ให้รอลงโทษเป็นเวลา 2 ปี
หรือกรณี นายมงคล ลีลาธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ (ซีอีโอ)ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยอย่างร้ายแรง กรณีการอนุมัติให้ใช้งบประมาณของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นค่าใช้จ่ายในการร่วมงานศพมารดาประธานกรรมการ ธพว. ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2560 ณ วัดแสนหลวง ต.ยางเนิ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้รอลงโทษเป็นเวลา 2 ปี
- ป.ป.ช.แถลงชี้มูลเพียบ-ฟันอดีต กก.ผจก.ธพว. 2 คดี-อนุมัติงบ จัดงานศพแม่ ปธ.ธนาคาร
- บทสรุปคดีจัดงานศพแม่ปธ.ธพว. คุก 1 ปี 4 ด. 'มงคล ลีลาธรรม' แต่รอลงอาญา
- ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด คุณหญิงจารุวรรณ -ศุภชัย โพธิ์สุ
- ฎีกาคุก 9 เดือนรอลงโทษ 2 ปี! ‘คุณหญิงจารุวรรณ’คดีจัดสัมมนาเท็จ จ.น่าน
ล่าสุด เป็นกรณีนายโอฬาร พิทักษ์ อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับพวก อนุมัติเดินทางและเบิกจ่ายค่าเดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดน่าน และจังหวัดใกล้เคียง ระหว่างวันที่ 3 - 4 กันยายน 2558 อันเป็นเท็จ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญา พร้อมส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแล้วตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา
@ พฤติการณ์การกระทำความผิด
พฤติการณ์การกระทำความผิดคดีนี้ ระบุว่า จากการไต่สวนปรากฏว่า นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายชาตรี บุญนาค ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 และนายนเรศ ฝีปากเพราะ (เสียชีวิตก่อนดำเนินการไต่สวน) เกษตรจังหวัดน่าน ได้ร่วมกันวางแผนจัดงานทอดผ้าป่าของกรมส่งเสริมการเกษตรที่จังหวัดน่าน เพื่อจัดหาทุนสมทบการพัฒนาวัดและสมทบทุนการจัดงานประกอบพิธีผูกพัทธสีมา วัดพุทธานุภาพ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กำหนดสถานที่ทอดผ้าป่าสามัคคี ณ วัดมิ่งเมือง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 3-4กันยายน 2558
โดยมีนายโอฬาร พิทักษ์อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และภรรยา เป็นประธาน
จากนั้นหน่วยงานในสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำโครงการหรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นที่จังหวัดน่านและจังหวัดใกล้เคียง โดยนายชาตรี บุญนาค ได้จัดประชุมผู้บริหารงานส่งเสริมการเกษตรเพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายหลักของกรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานเกษตรจังหวัดน่านได้จัดทำโครงการศึกษาดูงานและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานส่งเสริมการเกษตรจังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 3 - 4 กันยายน 2558 เพื่อใช้โอกาสดังกล่าวให้ข้าราชการเดินทางไปร่วมงานทอดผ้าป่า และมีการอนุมัติให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอันเป็นเท็จ ไม่มีการจัดประชุมหรือศึกษาดูงานตามโครงการที่จัดขึ้นจริง หรือมีการจัดประชุมจริงเพียงบางส่วน เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหายเป็นเงินจ านวน 108,301 บาท
@ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมพิจารณาสำนวนไต่สวนและมีมติดังนี้
1. การกระทำของนายชาตรี บุญนาค มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว ่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
2. การกระทำของนายโอฬาร พิทักษ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
3. การกระทำของผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการกอง และเกษตรจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย นางสุกัญญา อธิปอนันต์ นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม นายประสงค์ ประไพตระกูล นายพงษ์ศักดิ์ เอมดวง นายวรชันย์ หลักกรด นายไพสิฐ เกตุสถิตย์ นายโสภณ คงเทียบ นายร่มไม้ นวลตา และนายเสน่ห์ รัตนาภรณ์ รวม 9 ราย ซึ่งอนุมัติให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอันเป็นเท็จ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 และให้แจ้งกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้ สำนักข่าวอิศรา ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า อัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นสั่งฟ้องคดี หรือมีความเห็นแย้ง ต้องตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายพิจารณาความไม่สมบูรณ์สำนวนคดีหรือไม่
ขณะที่การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา