
“...เราอยากเห็นคนสร้างปัญหามารับผิดชอบปัญหานี้ ไม่ใช่อยากรวยก็เอาอะไรเข้ามาแล้วมาสร้างปัญหาให้กับประชาชน แล้วก็มาอ้างว่าองค์กรเราใหญ่ เราดูแลไม่ทั่วถึง ดูแลไม่ทั่วถึงแต่ยังจะโลภ เวลาชาวบ้านเดือดร้อนบอกดูแลไม่ทั่วถึง เวลาผลประโยชน์คุณดูแลทั่วถึง จริง ๆ ใครสร้างปัญหาคนนั้นต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนร่วมมือกับรัฐ แล้วเอาภาษีประชาชนไปแก้ปัญหา แบบนี้มันไม่ถูกต้อง…”
ปัญหา ‘ปลาหมอคางดำ’ ระบาด เป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและระบบนิเวศในธรรมชาติ
ในช่วงปี 2567 มีหน่วยงานหลายแห่งทั้งภาครัฐและเอกชนจัดเวทีเสวนานำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับปลาหมอคางดำ ซึ่งมีเวทีเสวนาบางแห่งนำเสนอข้อมูลการนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาครั้งแรกในประเทศ จนกลายเป็นประเด็นที่ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2567 คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.อว.) มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ โดยเมื่อช่วงปลายปี 2567 กมธ.อว. ได้เผยแพร่ รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง สาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหารวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงนำข้อมูลที่น่าสนใจจากรายงานข้างต้นมานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน มีรายละเอียดดังนี้
@ ผลการศึกษาชี้ ‘บ.เจริญโภคภัณฑ์ฯ’ เป็นเอกชนรายเดียวที่ขอนำเข้าปลาหมอคางดำ
คณะกรรมาธิการฯ ได้ดำเนินการพิจารณาศึกษาเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด 79 อำเภอในพื้นที่ 19 จังหวัดของราชอาณาจักรไทย พบว่า ปรากฏเอกชนเพียงรายเดียวที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามา ในราชอาณาจักร เมื่อปี พ.ศ. 2549 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาภายในราชอาณาจักรต่อกรมประมง โดยกรมประมงได้มอบให้ คณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ (Institutional Biosafety Committee : IBC) เป็นผู้พิจารณา ซึ่งได้มีมติอนุญาตให้บริษัทฯ นำเข้าปลาหมอคางดำได้แบบมีเงื่อนไข แต่บริษัทฯ ยังมิได้ดำเนินการนำเข้าในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อ พ.ศ. 2551 บริษัทฯ ได้ดำเนินการขออนุญาตต่อกรมประมงอีกครั้ง แต่ก็ยังมิได้นำเข้ามา
เมื่อ พ.ศ. 2553 บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการขออนุญาตต่อกรมประมงอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำเข้าปลาหมอคางดำจำนวน 2,000 ตัว จากสาธารณรัฐกานาเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยแจ้งว่ามีเป้าประสงค์เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิล ณ ศูนย์วิจัยสัตว์น้ำ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ทั้งนี้คณะกรรมการ IBC ได้อนุญาตให้บริษัทฯ นำเข้าลูกปลาหมอคางดำภายใต้ชื่อลูกปลานิล หรือลูกปลาหมอเทศข้างลาย ณ ขณะนั้น จากสาธารณรัฐกานา โดยมีเงื่อนไข 2 ประการ ได้แก่
1. ให้มีการตัดเก็บตัวอย่างครีบดองในน้ำยาเก็บตัวอย่างและส่งให้กรมประมงโดยไม่ทำให้ปลาตาย
2. เมื่อสิ้นสุดการศึกษาวิจัยให้รายงานผลการศึกษา โดยหากผลการศึกษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายและไม่ประสงค์ที่จะทำการศึกษาต่อไป ให้ทำลายปลาดังกล่าวทั้งหมด และแจ้งกรมประมง เพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบการทำลาย
@ กมธ.อว.จี้รบ.ต้องสอบหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบกรณีปลาหมอคางดำระบาด
แนวทางการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำของรัฐบาล ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 450 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด ของปลาหมอคางดำ ประจำปี พ.ศ. 2567 ถึง พ.ศ. 2570 โดยดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 7 มาตรการ (14 กิจกรรม) อาทิ การรับซื้อ การปล่อยปลานักล่า การใช้กากชาเพื่อกำจัดในบ่อเพาะเลี้ยง การใช้เครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับพื้นที่ และการปรับปรุงพันธุกรรมเพื่อลดการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำ เป็นต้น
คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า วิธีการใช้และปริมาณงบประมาณดังกล่าวอาจยังไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงและยั่งยืน กรมประมงควรเป็นเจ้าภาพและบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหลายหน่วยงาน โดยกำหนดกรอบการดำเนินงานพร้อมรายงานผลการติดตามการดำเนินงานเป็นระยะด้วย การดำเนินการทางกฎหมาย และรัฐควรดำเนินการสอบหาผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในราชอาณาจักร มีนโยบายเรียกร้องสิทธิจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประกอบอาชีพที่ได้รับความเสียหาย
เหล่านี้คือข้อมูลและข้อเสนอแนะของกมธ.อว.บางส่วนจากบทสรุปรายงานฉบับดังกล่าว ส่วนรายงานละเอียดของรายงานทั้งหมดสามารถอ่านได้ที่ www.parliament.go.th
@ กรมประมงเผยเดือน พ.ค. 68 จับปลาหมอคางดำได้ 18% จากทั้งหมด 3,000 ตัน
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดการปลาหมอคางดำว่า ภาพรวมของการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำระบาดนั้น เดิมจากที่มีการระบาดของปลาหมอคางดำใน 19 จังหวัด ปัจจุบันการระบาดก็ลดน้อยลงเหลือเพียง 16 จังหวัด ขณะนี้ได้เร่งดำเนินการในมาตรการที่สำคัญ คือ การเร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเลี้ยงปลาของเกษตรกร ซึ่งมีเป้าหมาย 3,000 ตัน หรือ 3,000,000 กิโลกรัม โดยกรมประมงได้ดำเนินการตั้งจุดรับซื้อและส่งให้การยางแห่งประเทศไทยและสถานีพัฒนาที่ดินเพื่อนำไปทำน้ำหมักชีวภาพ ขณะนี้กรมประมงเริ่มจับปลาหมอคางดำทั้งจากบ่อเลี้ยงและจากธรรมชาติ ข้อมูล ณ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 กรมประมงจับปลาหมอคางดำขึ้นมาได้แล้วทั้งหมด 546,054 กิโล ก็คือ 546 ตัน คิดเป็นร้อยละ 18 ตามเป้าหมาย โดยจับจากบ่อเลี้ยง 304 ตัน และจากธรรมชาติ 241 ตัน
“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ขณะนี้เองเราก็สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในพื้นที่ที่กำจัดปลาไปแล้ว งานวิจัยของกรมประมงที่ดำเนินการเรื่องจะทำหมันปลาหมอคางดำ ขณะนี้ศูนย์วิจัยพันธุกรรมที่เพชรบุรีในเบื้องต้นได้โครโมโซมมาแล้ว 4 ชุด อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อทำหมันเดินหน้าไปได้ด้วยดี ฉะนั้นมาตรการเร่งรัดที่ผมเรียนก็จะสามารถควบคุมปลาหมอคางดำได้ และระยะถัดไปที่จะต้องคุมอย่างเคร่งคัด คือ เรื่องที่ไม่ให้ปลาหลุดรอดเข้าไปในบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกร ทั้งนี้จะควบคุมปริมาณปลาหมอคางดำได้อย่างชัดเจนเลยคือ ปี 2570 ที่เป็นวาระแห่งชาติ” นายบัญชา กล่าว
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำตอบกระทู้ถาม เรื่อง ปัญหาการควบคุมการระบาดของสัตว์สายพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานอย่างปลาหมอคางดำมาตรการฟื้นฟูเยียวยาเกษตรกรและชาวประมง และการแสวงหาผู้รับผิดชอบ ที่นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา ยื่นถามต่อนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2567
โดยคำถามข้อสุดท้ายในกระทู้ถามว่า ‘มีมาตรการการหาคนรับผิดชอบ โดยเฉพาะผู้ก่อมลพิษจากการทำให้เกิดการทำให้แพร่ระบาดของปลาหมอคางดำอย่างไร และมีความคืบหน้าอย่างไร’
นางนฤมล ตอบคำถามว่า กรมประมงในฐานะหน่วยงานทางปกครองถูกเอกชนฟ้องร้องเป็นคดีปกครอง กรณีปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยคดีมีประเด็นการฟ้องร้องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมประมง และปัจจุบันคดียังไม่สิ้นสุด ทำให้กรมประมงยังไม่สามารถดำเนินการกับผู้กระทำความผิดได้ เนื่องจากการพิจารณาคดียังไม่ได้ข้อยุติว่าผู้ใดเป็นผู้ก่อมลพิษจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในชั้นนี้
ต่อมา เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2568 นายเทวฤทธิ์ แสดงความคิดเห็นต่อคำตอบของนางนฤมลผ่านเฟซบุ๊ก เทวฤทธิ์ มณีฉาย - Bus Tewarit Maneechai ว่า “ผมเห็นว่าคำตอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในข้อสุดท้ายนี้มีความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อหน่วยงานทางปกครองและมีหน้าที่โดยตรงในการพิสูจน์ความจริงและเยียวยาความเสียหายจากผู้ก่อมลพิษอย่างกรมประมงกลับเป็นผู้ถูกฟ้องคดีทางคดีทางปกครองเรื่องปลาหมอคางดำเสียเอง ซึ่งอาจส่งผลให้กระบวนการการพิสูจน์ความจริงและนำคนผิดมาลงโทษต้องล่าช้าออกไปและเป็นไปได้ยากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ก่อมลพิษในครั้งนี้ยังคงลอยนวลต่อไปไม่ถูกดำเนินคดี สุดท้ายนี้ผมหวังว่าภาครัฐจะสามารถนำผู้กระผิดมาลงโทษและจ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้สาสมกับที่ก่อความเสียหายอย่างมหาศาลต่อธรรมชาติ และเกษตรกรไทย ไม่ปล่อยให้ลอยนวลพ้นผิดจนต้องเอาเงินภาษีของประชาชนมาแก้ไขปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้”
ทั้งนี้อ่านราชกิจจาฉบับเต็มเพิ่มเติมได้ที่ ratchakitcha.soc.go.th
@ ตัวแทนประชาชนชี้รัฐยังแก้ปัญหาได้ไม่ต่อเนื่อง-ไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงภาพรวมการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำของรัฐบาลว่า ในช่วงที่รัฐมารับซื้อปลาหมอคางดำช่วงแรก ๆ ก็ดูเหมือนปลาหมอคางดำจะลดลงไป แต่ก็ไม่ได้สะท้อนว่ารัฐตั้งใจแก้ปัญหาจริง ๆ โดยเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่มาซื้อปลาตามจำนวนเงินที่มี ปลาจะหมดหรือไม่ไม่ได้ให้ความสำคัญ อีกทั้งพยายามตั้งกติกาให้คนที่จะนำปลาออกจากธรรมชาติเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“ให้คนที่จะเอาปลาออกจากบ่อน้ำต้องไปลงทะเบียนบ่อว่าเอา (ปลาหมอคางดำ) ขึ้นหรือไม่ ถ้าจะเอาขึ้นต้องให้เจ้าหน้าที่มาดูบ่อก่อน ต้องนัดวัน คือทุกอย่างมีระเบียบไปหมด มันไม่สะดวก จริงๆ เรื่องนี้จะต้องเป็นวาระแห่งชาติที่เขาประกาศไปแล้ว จะต้องมีวิธีที่สั้นกว่านั้น ทำยังไงถึงจะเอาปลาหมอคางดำออกจากธรรมชาติได้หมด ไม่ใช่มัวแต่รำมวยออกแขกอย่างทุกวันนี้ มันไม่ได้ผล การได้เงินมาส่วนหนึ่งแรก ๆ ก็เหมือนจะดี แต่พอหยุดซื้อ ปลาหมอมันแพร่พันธุ์ได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที มันก็กลับมาเป็นสภาพเดิมอีก ยังมีการนำงบประมาณจากการยางแห่งประเทศไทยมาใช้ดำเนินการ และการที่นำปลาหมอขึ้นจากแหล่งน้ำ เพื่อให้การยางนำไปแปรรูปเป็นปุ๋ยก็มีกระบวนการหลายขั้นตอนเกินความจำเป็น เอาปลาขึ้นมาเยอะก็ไม่ได้ ปลายทางที่เขาจะเอาไปแปรรูปเป็นปุ๋ยเขารับไหวหรือไม่อย่างไร อุปสรรคเยอะมาก ไม่ทันการเกิดของปลาหมอคางดำ” นางสาวบุญยืน กล่าว
@ ดึงมหาดไทยร่วมแก้ปัญหา-อยากเห็นคนสร้างปัญหารับผิดชอบ
นางสาวบุญยืน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของรัฐในช่วงแรก ๆ ที่นำปลาหมอคางดำออกจากธรรมชาติและบ่อเลี้ยงปลาของเกษตรกร ก็มีประสิทธิภาพแต่ไม่มีความต่อเนื่อง สิ่งที่เราต้องการ คือ เราอยากเห็นกระทรวงมหาดไทยมาร่วมรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่แค่กรมประมง หรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพียงหน่วยงานเดียว เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะต้องให้กระทรวงมหาดไทยให้ความร่วมมือว่าหมู่บ้านใด ปล่อยให้มีปลาหมอคางดำระบาด ต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วย โดยที่ต้องไม่มีเงื่อนไขมากมาย ตอนนี้ต้องลดขั้นตอนทั้งหมด
นางสาวบุญยืน กล่าวถึงสิ่งที่คาดหวังจากภาครัฐหรือหน่วยงานอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำว่า ไม่เคยคาดหวังจากภาครัฐ เพราะรัฐไม่ได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง สภาองค์กรของผู้บริโภคเสนอว่าให้กรมประมงไปหาคนผิดมา เพื่อรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติและเกษตรกร ผลปรากฏว่ากรมประมงไปทำเรื่อง CSR (corporate social responsibility : ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร) กับเอกชนแทน
“เราไม่เห็นความจริงใจของหน่วยงานรัฐอย่างกรมประมงเลย น้ำลายแก้ปัญหาปลาหมอคางดำไม่ได้ เราอยากเห็นคนสร้างปัญหามารับผิดชอบปัญหานี้ ไม่ใช่อยากรวยก็เอาอะไรเข้ามาแล้วมาสร้างปัญหาให้กับประชาชน แล้วก็มาอ้างว่าองค์กรเราใหญ่ เราดูแลไม่ทั่วถึง ดูแลไม่ทั่วถึงแต่ยังจะโลภ เวลาชาวบ้านเดือดร้อนบอกดูแลไม่ทั่วถึง เวลาผลประโยชน์คุณดูแลทั่วถึง จริง ๆ ใครสร้างปัญหาคนนั้นต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนร่วมมือกับรัฐ แล้วเอาภาษีประชาชนไปแก้ปัญหา แบบนี้มันไม่ถูกต้อง” นางสาวบุญยืน กล่าว
จากข้อมูลข้างต้นที่สำนักข่าวอิศรานำเสนอจะเห็นว่าภาครัฐยังคงไม่มีท่าทีอันเข้มแข็งในการตรวจสอบและดำเนินการจัดการต้นตอปัญหาปลาหมอคางดำระบาด แม้จะมีคำตอบว่ายังไม่ได้ข้อยุติว่าผู้ใดเป็นผู้ก่อมลพิษจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำก็ตาม แต่ในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐ เป็นที่พึ่งของประชาชนควรจะมีมาตรการและการดำเนินการต่อต้นตอของปัญหาที่เข้มงวดและดีกว่าที่เป็นในอยู่ในขณะนี้
ส่วนผลการดำเนินคดีของกรมประมงจะเป็นอย่างไรจะต้องติดตามกันต่อไป


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา