
“…‘วิษณุ เครืองาม’ รองนายกรัฐมนตรี เนติบริกร 10 รัฐบาล 10 นายกฯ เคยให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ปม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปีแล้วหรือไม่ว่า จะไม่ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่จะได้รับเงินเดือนรมว.กลาโหมเท่านั้น-เช่นกัน รักษาการนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มทุกอย่าง สามารถปรับครม.และยุบสภาได้...”
1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีนัดประชุมปรึกษาคดี และพิจารณาว่าจะ ‘รับคำร้อง’ กรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ และสั่งให้ ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
‘วิษณุ เครืองาม’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี-เนติบริกร 10 รัฐบาล 10 นายกฯ เคยให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปีแล้วหรือไม่ ว่า จะไม่ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังได้รับเงินเดือนในตำแหน่งรมว.กลาโหมอยู่เท่านั้น
กรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งนางสาวแพทองธารให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่ เทียบเคียงได้กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฎิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรสอง ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง ปรากฎเหตุอันควรสงสัย ว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ขณะที่ในกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ความเหมือบกันในกรณีของนางสาวแพทองธาร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จตามคำร้อง ‘ปรากฎเหตุอันควรสงสัย’ ว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่กรณีของนายเศรษฐา ไม่มีคำว่า ‘ปรากฎเหตุอันควรสงสัย’ ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง บัญญัติว่า เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณาหาก ‘ปรากฎเหตุอันควรสงสัย’ ว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้อง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยและเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง
@ 9 อำนาจ แพทองธาร หลังถูกสั่ง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) พาไปสำรวจอำนาจและหน้าที่กรณีนางสาวแพทองธาร หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและสั่งให้ ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ ในเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 11 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
1.กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อการนี้จะสั่งให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่น ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติของคณะรัฐมนตรีก็ได้ และมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น
2.มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการของกระทรวงหรือทบวงหนึ่งหรือหลายกระทรวงหรือทบวง
3.บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม
4.สั่งให้ข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม ให้ได้รับเงินเดือนในสำนักนายกรัฐมนตรีในระดับและขั้นที่ไม่สูงกว่าเดิม
5.แต่งตั้งข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งไปดำรงตำแหน่งของอีกกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง โดยให้ได้รับเงินเดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม ในกรณีเช่นว่านี้ให้ข้าราชการ ซึ่งได้รับแต่งตั้งมีฐานะเสมือนเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตนมาดำรงตำแหน่งตำแหน่งนั้นทุกประการ แต่ถ้าเป็นการแต่งตั้งข้าราชการตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป ต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
6.แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา หรือคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี หรือเป็นคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติราชการใด ๆ และกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้ง
7.แต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ปฏิบัติราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี
8.วางระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
9.ดำเนินการอื่น ๆ ในการปฏิบัติตามนโยบาย
นอกจากอำนาจที่เสียไปแล้ว ‘แพทองธาร’ ยังพลาดที่จะได้ไปชี้แจง ‘นัดหมายสำคัญ’ นอกจากการประชุมครม.ทุกวันอังคาร เช่น ไม่ได้ไปชี้แจงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับฮุน เซน เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างบุคคลเสียงคล้ายฮุน เซน สั่งนายเคลียง ฮวด ไล่ล่าผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทย ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568

@ ‘รักษาการนายกฯ’ มีอำนาจเต็ม ปรับครม.-ยุบสภาได้
พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฯ หมวด 6 การรักษาราชการแทน มาตรา 41 กำหนดไว้ว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายเป็น ‘ผู้รักษาราชการแทน’
ทั้งนี้ มาตรา 48 ให้ ‘ผู้รักษาราชการแทน’ มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี (ตัวจริง)
‘วิษณุ-เนติบริการ’ คนเดิม เคยให้สัมภาษณ์ไว้เช่นกัน รักษาการนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มทุกอย่าง สามารถปรับครม.และยุบสภาได้
เมื่อวันที่ 17 กันยาน 2567 ครม.มีมติกรณีนายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 313/2567) ดังนี้
ลำดับ 1 นายภูมิธรรม เวชยชัย
ลำดับ 2 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ลำดับ 3 นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ลาออก)
ลำดับ 4 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
ลำดับ 5 นายพิชัย ชุณหวชิร
ลำดับ 6.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง

ทั้งนี้ ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน
@ นายกฯรักษาการ พาวเวอร์ฟูล นั่งหัวโต๊ะ คุมตำรวจ - ซอฟต์พาวเวอร์
ถึงแม้ว่า ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 313/2567 ก่อนโปรดเกล้าฯครม.ชุดใหม่ มอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปฏิบัติหน้าที่ รักษาการนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจากความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรมสิ้นสุดลง ภายหลังมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ให้นายภูมิธรรม พ้นจากความเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
ถึงแม้ว่าในเวลาเดียวกันให้แต่งตั้งนายภูมิธรรม เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย แต่เนื่องจากยังไม่ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน (ถวายสัตย์ฯวันที่ 3 ก.ค.68) จึงยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ สถานะ รักษาการนายกรัฐมนตรี จึงตกไปอยู่ที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ในฐานะได้รับมอบหมายให้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีลำดับที่สอง รองจากนายภูมิธรรม
อย่างไรก็ดี คำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับใหม่-มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ได้ถูก ร่างคำสั่ง ไว้เตรียมรองรับกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งถูกชะลอไว้ก่อน-ไม่เข้าครม.วันอังคารที่ 1 ก.ค. ช่วงเช้า เพื่อรอดูผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงบ่าย
ในช่วงสุญญากาศหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรี 1 ก.ค.68 จนถึงก่อนเข้าถวายสัตย์ฯ ในวันที่ 3 ก.ค.68 จึงเป็นนายสุริยะ ที่จะเป็นเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
เปิดช่องให้ ผู้มีอำนาจตัวจริง-มือที่มองไม่เห็น แปลงสารคำสั่งเดิมที่ให้นายภูมิธรรม เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลำดับ 1 เปลี่ยนเป็นนายสุริยะ ผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 2 หรือรองนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ทั้ง นายพีระพันธ์ุ นายพิชัย และนายประเสริฐ ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ที่จะเป็น ผู้ถูกเลือก และเป็น ผู้ไว้ใจ (ที่สุด) ให้เป็นกุมอำนาจรักษาการนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่นางสาวแพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่
ประกอบกับนายภูมิธรรม ยังมีคดีในศาลรัฐธรรมนูญ เป็น ชนักปักหลัง กรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นคำร้องกรณีใช้อำนาจแทรกแซง-ครอบงำคณะกรรมการการเลือกตั้ง และใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเครื่องมือแทรกแซงการตรวจสอบการเลือกสว. เพื่อกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู สว. เป็นการขัดหลักการแบ่งแยกอำนาจ จึงถือว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรรมอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
ที่คิดกันไว้ว่านายภูมิธรรมจะ นอนมา นั่งรักษาการนายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อาจจะต้องคิดหลายชั้น-หลายต่อ ข้ามช็อตไปถึง กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนางสาวแพทองธาร เป็นลบ ส่งผลให้ ผู้ที่จะมานั่งรักษาการนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ใช่เพียงจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แต่อาจจะล่วงเลยไปถึงการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือเมื่อถึงคราวคับขันอาจจะต้องทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น ไพ่ใบสุดท้าย ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
สุดท้ายผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็น รักษาการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่แทน แทนนางสาวแพทองธาร ที่อยู่ระหว่างหยุดปฏิบัตินหน้าที่ นอกจากมีอำนาจเต็ม สามารถปรับครม. หรือแม้กระทั่งยุบสภาได้แล้ว จะได้เป็นประธานคณะกรรมการระดับชาติ อาทิ
-
ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
-
ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)
-
ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
-
ประธานคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
-
ประธานคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ของประเทศไทย
วันนี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ ‘แพทองธาร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ ‘รักษาการนายกรัฐมนตรี’ ในทางการเมืองอาจจะต้องได้รับการไว้วางใจมากที่สุด แม้กระทั่งเชื่อฟังมากที่สุดก็เป็นไปได้


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา