"..ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า “วงการสงฆ์” ในปัจจุบัน ถูกมองว่ามิใช่มีสถานะเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่กลายเป็นเพียง “สัญลักษณ์” ของศาสนา เพื่อมีไว้ให้ครบองค์ประกอบ รับถวายปัจจัย งานบุญงานกุศลต่าง ๆ แฝงไปด้วยช่องทางทำมาหากินของ “บุคคลบางกลุ่ม” อีกด้วย..."
วงการผ้าเหลืองกลับมาร้อนเป็นไฟอีกครั้ง!
พลันที่ “สีกากอล์ฟ” แผลงอิทธิฤทธิ์ใส่บรรดา “พระสงฆ์” ชั้นผู้ใหญ่ ทั้งระดับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ ไล่เรียงมาถึงเจ้าอาวาสวัดดังนับสิบแห่ง หลายรูปแห่ “สึก” แบบเงียบ ๆ ก่อนเรื่องจะถูกสาวมาถึงตัว สื่อหลายสำนักหยิบเรื่องนี้ไปรายงานติดต่อกันนับสัปดาห์แล้ว
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจของเรื่อง “สีกา” รายนี้ เดินสายติดต่อ พูดคุย หรือบางครั้งร่วมหลับนอนกับ “พระชั้นผู้ใหญ่” เหล่านี้ เพื่อหวังทรัพย์สินเงินทอง หรือผลประโยชน์ต่าง ๆ หรือไม่ ขณะเดียวกันบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ข้างต้น สะสมทรัพย์สินเงินทอง ของหรูหราฟุ่มเฟือยไว้มากถึงขนาดนี้ได้หรือ?
เบื้องต้น ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า “วงการสงฆ์” ในปัจจุบัน ถูกมองว่ามิใช่มีสถานะเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่กลายเป็นเพียง “สัญลักษณ์” ของศาสนา เพื่อมีไว้ให้ครบองค์ประกอบ รับถวายปัจจัย งานบุญงานกุศลต่าง ๆ แฝงไปด้วยช่องทางทำมาหากินของ “บุคคลบางกลุ่ม” อีกด้วย
ที่ผ่านมาเกิดหลายกรณีทั้งระดับพื้นที่ เช่น การแย่งชิงผลประโยชน์กันภายในวัด ภายหลังเจ้าอาวาสมรณภาพ หรือในภาพใหญ่เช่น กรณีวัดชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเจ้าหน้าที่รัฐ บุกค้น เข้าตรวจสอบเมื่อหลายปีก่อน กรณีถูกกล่าวหาว่าใช้สถานที่วัดเป็น “แหล่งฟอกเงิน” โดยเฉพาะการรับโอนเงินมาจากคดีทุจริตสหกรณ์ชื่อดัง และที่โด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ กรณี “เงินทอนวัด” ที่เกิดการสมคบคิดกันระหว่าง “บิ๊กข้าราชการ” ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) บางคน ร่วมมือกับ “พระสงฆ์-ไวยาวัจกร-เอกชน” ทุจริตเงินหลวง นำไปใช้จ่ายส่วนตัว เป็นต้น
แต่ถ้าโฟกัสเฉพาะกรณี “สีกา” ที่เข้าพัวพันกับ “พระสงฆ์” นับนิ้วเฉพาะกรณีดัง ๆ เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) พลิกข้อมูลมาให้ทราบอีกครั้ง ดังนี้
@ อดีตพระยันตระ
ย้อนกลับไปเมื่อราว 30 ปีก่อน หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อ “อดีตพระยันตระ” (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วเมื่อต้นปี 2568) หรือชื่อจริง วินัย ละอองสุวรรณ พื้นเพเป็นชาวนครศรีธรรมราช ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง
ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พระวินัย เมื่ออุปสมบทมักใช้คำแทนตัวว่า พระยันตระ ซึ่งแปลว่าผู้ไกลจากกิเลส ที่เคยใช้มาตั้งแต่ยังเป็นฤๅษียันตระ เมื่อบวชแล้วเป็นที่รู้จักดีทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์มากมาย ทำให้เขามักแวดล้อมไปด้วยพระสงฆ์คอยอุปัฏฐากอยู่เสมอ ๆ นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายเขาหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามของเขาในต่างประเทศอีกหลายแห่ง เช่นที่ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

@พระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ
ต่อมาในปี 2537 นายวินัยได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ กับนางจันทิมา หรือแม่ ดญ.กระต่าย อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ โดยมีการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานมากมายตามสื่อต่าง ๆ เป็นข่าวโด่งดังในสมัยนั้น จนในที่สุดได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าเขาต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัยไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อต่าง ๆ ขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น ก่อนที่นายวินัยจะลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทำให้นายวินัยสามารถหลบหนีคดีความอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา กระทั่งอายุความหมดลง ได้เดินทางกลับมาไทยบ้างบางวาระ เมื่อไม่กี่ปีก่อน กระทั่งเสียชีวิตเมื่อ มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา
@ อดีตพระนิกร วัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
อีกคนที่เป็นข่าวใหญ่ในช่วงทศวรรษ 2530 คือ “อดีตพระนิกร” หรือชื่อจริง นิกร ยศคำจู พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งยุค มีลูกศิษย์ลูกหา แฟนคลับจำนวนมาก จนต้องเปิดสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศ ทว่าต่อมาได้เกิดเรื่องขึ้น เมื่อถูกกล่าวหาว่า มีความสัมพันธ์กับ นางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน

@พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที (นายนิกร ยศคำจู) วัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
อดีตพระนิกรพยายามตอบโต้ข่าวว่ามีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตน อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ก็พยายามหาหนทางตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งโดยไม่เชื่อว่า พระที่ยึดมั่นในศีลธรรมและเทศน์ได้ไพเราะจะทำตัวเช่นนั้น แม้มีหลักฐานมากมายจนถึงขั้นปาราชิก แต่พระนิกร ยังไม่ยอมถอดผ้าเหลืองและยังมีคนอีกมากมายหลงศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะเต็มไปด้วยหลักฐาน ตั้งแต่จดหมายรัก ภาพถ่าย จนถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรมและศาลสงฆ์ ซึ่งในที่สุดศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่า เป็น "ปฐมปาราชิก" คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้
กรณีของ “อดีตพระนิกร” โด่งดังมาก จนลุกลามไปทุกองคาพยพในสังคม และสุดท้ายมีการแก้ไข พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ 2535 (ฉบับที่ 2) ให้ตำรวจและหรืออัยการ จับพระสึกได้
@ อดีตพระอิสรมุนี สำนักสงฆ์ป่าละอู จังหวัดเพชรบุรี
เดิมชื่อ บรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา โดย “อดีตพระอิสรมุนี” เป็นที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” และภริยา “พจมาน ดามาพงศ์” เป็นอย่างมาก
อดีตพระอิสระมุนี เป็นอดีตพระเลขาของหลวงปู่ชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาเกิดขัดแย้งกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินของวัดจนถูกจับสึก จึงเดินทางมาที่จังหวัดเพชรบุรี ปักกลดและตั้งสำนักสงฆ์ บริเวณป่าละอู ตำบลป่าแดง อำเภอแก่งกระจาน พัฒนาจนกลายเป็นวัดธรรมวิหารี มีเนื้อที่กว่า 200 ไร่ในปัจจุบัน
คำสั่งสอนของของอดีตพระอิสระมุนี เคยเป็นที่เลื่อมใสของ “ทักษิณ” โดยอดีตนายกฯ มักนำคำสอนของอดีตพระอิสระมุนีมากล่าวอ้างอิงกับสื่อมวลชน เช่นเดียวกับคำสอนของพุทธทาสภิกขุ และเคยเดินทางมาสนทนาธรรมกับอดีตพระอิสระมุนี นอกจากนี้เมื่อ 2543 ยังให้ “พานทองแท้ ชินวัตร” บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับอดีตพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่งอีกด้วย

@ พระอิสรมุนี สำนักสงฆ์ป่าละอู จังหวัดเพชรบุรี
อย่างไรก็ดีเมื่อปี 2544 อดีตพระอิสระมุนี ปรากฏข่าวว่ามีเพศสัมพันธ์กับสีกาคนสนิท จนถูกปาราชิก โดยจากการสืบสวนของทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น อ้างอิงถึงพยานหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษ และเทปสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งอดีตพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที
@ อดีตพระภาวนาพุทโธ
เดิมชื่อ “จำลอง คนซื่อ” โดยเขาคือพระดาวรุ่งกำลังมาแรง เปี่ยมไปด้วยบารมี ได้รับความสนใจ และเรียกความศรัทธาจากสาธารณชนได้จำนวนมาก โดยเส้นทางบุญแทบทุกสายขณะนั้นล้วนมุ่งสู่ วัดสามพราน จังหวัดนครปฐม อันเป็นที่จำวัดของ “อดีตพระภาวนาพุทโธ” ส่งผลให้วัดสามพราน มีชื่อเสียงโด่งดังมาจนทุกวันนี้
โดยนอกเหนือจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พร้อมกับอบรมสั่งสอนวิปัสสนากรรมมัฏฐานแล้ว อดีตพระภาวนาพุทโธ ยังได้รับอุปการะเด็กชาวเขาจากแม่ฮ่องสอน และจากเชียงใหม่ ให้ได้รับการศึกษาเลี้ยงดู โดยนำมาพักอาศัยภายในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นเด็กผู้หญิง ก็ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแม่ชีภายในวัด

@ พระภาวนาพุทโธ(นายจำลอง คนซื่อ)
อย่างไรก็ดีเรื่องก็มาแดงขึ้น เมื่อญาติของเด็กหญิงชาวเขา ได้ร้องเรียนอดีตพระภาวนาพุทโธต่อกรมการศาสนา (หน่วยงานรัฐขณะนั้น) และตำรวจกองปราบปราม กล่าวหาว่าอดีตพระภาวนาพุทโธ ข่มขืนเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และไม่เกิน 14 ปี อย่างน้อย 6 คน เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ 2531 เป็นต้นมา ภายหลังการร้องเรียนดังกล่าว มีการสอบสวนอย่างเข้มข้นจากตำรวจ อัยการ กระทั่งมาถึงศาล โดยในปี 2538 ศาลพิพากษาจำคุก “อดีตพระภาวนาพุทโธ” หรือ “จำลอง คนซื่อ” 160 ปี แต่ตามกฎหมายจำคุกได้สูงสุด 50 ปี แม้จะมีการสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ ถึงฎีกา แต่พิพากษายืนทั้งหมด
@ อดีตเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง
กลายเป็นอีกเรื่องที่ช็อควงการสงฆ์เมื่อกลางปี 2568 ที่ผ่านมา หักหาญน้ำใจชาวพุทธจำนวนไม่น้อย หลังจาก “อดีตเจ้าคุณแย้ม” หรือชื่อเดิมแย้ม อินทร์กรุงเก่า อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง วัดชื่อดังแห่ง จ.นครปฐม เจ้าคณะภาค 14 ถูกตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) นำหมายจับจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เข้าจับกุมตัว พร้อมกับบุกค้นวัดไร่ขิง
โดย “อดีตเจ้าคุณแย้ม” ถูกกล่าวหาว่า ยักยอกเงินวัดไร่ขิงไปกว่า 300 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีการโอนอย่างซับซ้อนเพื่อหวังไม่ให้แกะรอยเส้นทางเงิน โดยโอนเงินไปพักไว้ที่ “สีกาเก็น” หรือ อรัญญาวรรณ วังทะพันธ์ อายุ 28 ปี หญิงสาวคนสนิท โดยสีการายนี้จะเติมเงินให้ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” นำไปเล่นการพนัน บาคาร่าออนไลน์ และอื่น ๆ

@ อดีตเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากคำให้การ และจากสำนวนของ บก.ปปป.พบว่า “อดีตเจ้าคุณแย้ม” ให้การยอมรับว่าโอนเงินให้ “สีกาเก็น” จริง หลายร้อยล้านบาท พร้อมกับยอมเปล่งวาจาลาสิกขาต่อหน้าพระพุทธรูปกลางดึกในสถานีตำรวจ ขณะที่ “สีกาเก็น” อ้างรู้จักอดีตพระรูปนี้เมื่อสมัยเรียน ร.ร.วัดไร่ขิง และขอยืมเงินครั้งแรก 40 ล้านบาทไปลงทุน จากนั้นได้โทรศัพท์พูดคุย และบางครั้งวีดีโอคอลหากัน โดยมีเนื้อหา “ลับเฉพาะ” แทบทุกวัน และบางครั้งส่งภาพหรือคลิปวีดีโอเปลือยให้แก่อดีตพระรูปนี้ด้วย
ความคืบหน้าล่าสุด ตำรวจยังอยู่ระหว่างสอบสวนเส้นทางการเงินต่าง ๆ ในสำนวน และได้ฝากขัง “อดีตเจ้าคุณแย้ม” โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ อนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัวแต่อย่างใด
@ อดีตเจ้าคุณอาชว์ วัดตรีทศเทพ และพระชั้นผู้ใหญ่นับ 10 รูป
เหตุการณ์ล่าสุดในปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ค.) คือกรณี “อดีตเจ้าคุณอาชว์” หรือพระเทพวชิรปาโมทย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ ที่ซุ่มเงียบลาสิกขาอย่างเป็นปริศนา กระทั่งผ่านมาราว 1 สัปดาห์ทุกอย่างก็มาถึงบางอ้อ พลันเกิดปรากฎการณ์ “สีกากอล์ฟ” เข้าไปพัวพันยุ่มย่ามกับบรรดา “พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่” จนถึงเวลานี้นับ 10 รูปเข้าไปแล้ว โดยมีถึง 3 รูปที่สึกในวันเดียวกัน จนประชาชนบางส่วนตั้งฉายาให้เธอว่า “นารีพิฆาตพระ”
โดยข้อเท็จจริงจากการสืบสวนของตำรวจ รวมถึงคำให้สัมภาษณ์ของ “พระชั้นผู้ใหญ่” บางวัดที่ไม่หลงตกเป็นเหยื่อ และสื่อหลายสำนักรายงานอ้างว่า “สีกากอล์ฟ” รายนี้มีพฤติการณ์ตีสนิทกับพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป โดยตอนแรกอ้างว่าจะโอนเงินทำบุญ โดยมีการโอนเข้ามาจริงหลักหลายพัน ถึงหลายหมื่นบาท หลังจากนั้นจะอ้างเรื่องอยากทำวัตถุมงคลให้กับวัด ต่อมาอ้างขอความช่วยเหลือต่าง ๆ หลังจากนั้นมีพระชั้นผู้ใหญ่ตกเป็นเหยื่อหลายรูป ก่อนที่จะเริ่ม “ล้ำเส้น” ทั้งเรื่องยอมหลับนอนกับพระสงฆ์ หรือเรื่องอื่น ๆ จนเรื่องมาแดงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

@ อดีตเจ้าคุณอาชว์ วัดตรีทศเทพ
ข้อมูลจาก พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) สั่งการให้ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.พร้อมทีมสืบสวน เร่งตรวจสอบและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ในคดี และหลักฐานที่ตรวจค้นได้จาก ภายในบ้านพักของสีกากอล์ฟ พร้อมเร่งผลตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ จำนวนหลายเครื่องของสีกากอล์ฟ ที่เจ้าหน้าที่ขออายัดมาตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย
เบื้องต้นตำรวจพบจีวร และประคดมากกว่า 10 ชิ้นในบ้านเช่าของสีกากอล์ฟ ตกเดือนละ 50,000 บาท ที่ปัจจุบันค้างค่าเช่ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน นอกจากนี้ยังยึดมือถือ 5 เครื่อง มาตรวจสอบ พบภาพและคลิปลับในมือถือมากกว่า 8 หมื่นไฟล์ บันทึกความสัมพันธ์ชู้สาว ระหว่างสีกากอล์ฟกับพระหลายรูป ระบุตัวตนได้ 8 รูป ทั้งพระชั้นผู้ใหญ่ ระดับเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส จนถึงพระลูกวัด บางคลิปเป็นการเสพสังวาส ทั้งผ้าเหลือง และเห็นหน้าพระชัดเจน
ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า จากการตรวจสอบเส้นเงินของ “อดีตเจ้าคุณอาชว์” มีการจ่ายเงินให้กับ “สีกากอล์ฟ” ไปหลักล้านบาท โดยเป็นเงินส่วนตัว ส่วนสาเหตุที่ยอมจ่ายไป หวังแลกกับการไม่ต้องถูกร้องเรียน แต่เรื่องกลับบานปลายและเป็นข่าวฉาวในปัจจุบัน
โดยมีพระอย่างน้อย 5 รูปที่สึกไปแล้ว และตำรวจคาดว่าเกิดจากกรณี “สีกากอล์ฟ” ได้แก่
1.เจ้าคุณอาชว์ หรือพระเทพวชิรปาโมทย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ
2.พระเทพวชิรธีราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี
3.พระเทพวชิรธีรคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กทม.
4.พระราชรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
5.พระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม จ.ฉะเชิงเทรา
อย่างไรก็ดีกรณีของ “สีกากอล์ฟ” นั้น ทางตำรวจยังมิได้ตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาแก่เจ้าคุณอาชว์ และพระชั้นผู้ใหญ่รูปอื่น ๆ ที่ถูกกล่าวหาพัวพัน รวมถึง “สีกากอล์ฟ” แต่อย่างใด โดยทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานของ บก.ปปป. ทั้งหมดจึงยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
แต่เชื่อเหลือเกินว่า ทั้ง 6 กรณีข้างต้นที่ปรากฏเป็นข่าวดังระดับชาติ และอีกหลายกรณีที่ไม่ปรากฏเป็นข่าว น่าจะมิใช่ “พระสงฆ์” รูปสุดท้ายที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้ ตราบใดที่ยังไม่มีการปฏิรูปวงการศาสนา โดยเฉพาะการเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน และบัญชี-ทรัพย์สินต่าง ๆ ของวัดอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานรัฐ
ปิดช่องทางทำมาหากิน มิให้ “เหลือบไรศาสนา” เข้าไปแฝงตัว หลอกลวงบนความเชื่อ-ศรัทธาของสังคมไทยได้อีก

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา