
"...กูรูการเมืองหลายคนประเมินว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือจุดวัด ‘ชี้ขาด’ ว่า ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ยังได้รับ ‘ใบอนุญาต’ ให้จัดตั้งรัฐบาลอีกหรือไม่ ถ้าหากผลออกมาเป็นลบ อาจทำให้ต้อง ‘เซตซีโร่’ ทางการเมืองอีกครั้งก็เป็นไปได้ โดยมีปัจจัยสำคัญอย่าง ‘ฝ่ายค้าน’ เข้ามาแทรกแซงคือ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่ประกาศพร้อมช่วยโหวต ‘นายกฯเฉพาะกาล-รัฐบาลเฉพาะกิจ’ เพื่อผ่าทางตันให้ประเทศไปต่อ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้มี สสร.มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนยุบสภาฯ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งภายในไม่เกิน 6 เดือน..."
ควันหลงสถานการณ์ทางการเมือง ท่ามกลางฝุ่นควันเหตุปะทะกันดุเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สถานการณ์ยังคงลุกลามบานปลาย มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต โดยฝ่ายไทยเรียกร้องให้กัมพูชา ถอยทัพ ละจากการยื่นฟ้องศาลโลก และให้กลับเข้าโต๊ะเจรจาระหว่าง 2 ประเทศโดยทันที
อดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ตอนนี้เรียกตัวเองเป็น ‘เสมียนประเทศ’ หรือ ‘สทร.’ หรืออีกบทบาทหนึ่งคือ ‘พ่อนายกฯ’ กลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางความเคลื่อนไหวของไทย ทวิตแนวทางการสู้รบของไทยผ่านโลกออนไลน์หลายครั้ง โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดคือนัดหมาย 26 ก.ค. ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบไทย-กัมพูชา พร้อมรับฟังปัญหาและให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่

ทักษิณ ชินวัตร
ขณะที่ ‘นายกฯ’ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวอย่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ยังคงนิ่ง ไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ ปล่อยให้ ‘บิ๊กอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ดำเนินการ
ประเด็นที่น่าสนใจในช่วงก่อนความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ‘ทักษิณ’ โผล่มาร่วมงาน ‘ดินเนอร์’ พรรคร่วมรัฐบาล ภายใต้มอตโต้ ‘สามัคคีประเทศไทย ปกป้องอธิปไตย แก้ปัญหาเพื่อประชาชน’ โชว์สัญญะทางการเมืองค่อนข้างชัดเจนว่า เขายังคงเป็น ‘ศูนย์กลาง’ ในการขับเคลื่อนรัฐบาลชุดนี้
โดยภายในงานตอนหนึ่ง ‘ทักษิณ’ ร่ายมนต์สะกดแก่บรรดานักการเมือง-หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือว่า ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป แม้เสียงจะ ‘ปริ่มน้ำ’ แต่ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลเดินหน้า แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มุ่งแก้ไขปัญหาของประเทศ พร้อมหยอดว่า ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ก็พร้อมกอดคอล่มหัวจมท้ายไปกับ ‘พรรคร่วมฯ’ ชุดเดิม
นอกจากนี้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกฯ และบุตรี ยังสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มเติม ด้วยการยืนยันว่า พร้อมกับมาทำหน้าที่นายกฯอีกครั้ง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ‘เป็นบวก’ โดยมั่นใจว่ากรณี ‘คลิปเสียง’ ที่คุยกับ ‘ฮุน เซน’ เป็นเจตนาบริสุทธิ์ ต้องการรักษาไว้ซึ่งชีวิตพี่น้องประชาชน ทหาร และยึดหลักสันติวิธีเป็นสำคัญ โดยหวังว่าเจตนาเหล่านี้จะสามารถพิสูจน์ในเรื่องของกระบวนการต่าง ๆ ได้
“ดิฉันจะได้มีโอกาสกลับมาทำเพื่อพี่น้องประชาชน รับใช้พี่น้องประชาชน รับใช้สถาบัน และได้มีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกับทุกท่านอีกครั้ง” แพทองธาร ระบุ

พลันที่ ‘นายใหญ่-นายน้อย’ ออกปากเช่นนี้ เรียกความมั่นใจให้แก่บรรดา ‘พรรคร่วมฯ’ ได้ไม่มากก็น้อยว่า จะประคับประคอง ‘รัฐนาวาชินวัตร’ ได้ไปต่อ ทั้งในสมัยนี้ และสมัยหน้า เพราะต้องไม่ลืมว่า ในบรรดาพรรคร่วมฯปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.ขั้วสีแดงเลือดแท้ ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ และพรรคกล้าธรรม ซึ่งมีเสียงรวมกันเกิน 200 เสียง
2.ขั้วอนุรักษนิยม ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งทั้ง 2 พรรคดังกล่าว ยังต้องต่อสู้ตัดแต้มกันเองอีก ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป โดยเฉพาะในสมรภูมิพื้นที่ปลายด้ามขวาน
ส่วนที่เหลือคือ 3.ขั้วปลาไหล ส่วนใหญ่เป็นพรรคขนาดเล็ก ไม่เกี่ยงพร้อมไปกับทุกพรรคเพื่อเป็นรัฐบาล
ประเด็นที่น่าสนใจการจัดดินเนอร์พรรคร่วมฯ ในวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ ‘นายใหญ่-นายน้อย’ ประกาศ ‘ปฏิญญาไปต่อ’ ย้อนไป 2 ปีที่แล้ว เป็นวันเดียวกันกับที่ ‘พรรคเพื่อไทย’ เขี่ยทิ้ง ‘พรรคก้าวไกล’ ประกาศ ‘ปฏิญญาช็อคมินต์’ จัดตั้งรัฐบาลกับขั้วอนุรักษนิยม สร้างความเจ็บแสบ และบาดแผลทางใจแก่ ‘พรรคส้ม’ เป็นอย่างมาก
ทว่าผ่านมา 2 ปีหลังจากนั้น ‘ก๊กแดง’ เลิกใช้วิธี ‘รบไป-คุยไป’ ประกาศแตกหักกับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ เขี่ย ‘พรรคภูมิใจไทย’ ออกจากสมการพรรคร่วมฯ แม้ว่าจะเสียงของฝ่ายรัฐบาลจะลดลงจน ‘ปริ่มน้ำ’
แต่ยี่ห้อ ‘ทักษิณ’ ยังมั่นใจว่า จะสามาถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้จนครบเทอม ผ่านบทเพลง “หนูเปล่านะ เขามาเอง” บนเวที ’55 ปีเนชั่น’ เมื่อ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา
ที่สำคัญไม่ใช่แค่ ‘ทักษิณ’ แต่อีกหลายองคาพยพในสังคมยังเชื่อว่าประเทศยังไม่ถึงทางตันทางการเมือง ต่อให้ ‘แพทองธาร’ เจออุบัติเหตุทางการเมืองจนต้องพ้นเก้าอี้ก็ตาม
เพราะยังเหลือแคนดิเดตนายกฯในกรุคือ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ มือกฎหมายลายครามประจำพรรค เป็นตัวเลือกสุดท้าย ดังนั้น เสถียรภาพรัฐบาลในปัจจุบัน ยังคงมีเหลือเฟือ
อย่างไรก็ดี กูรูการเมืองหลายคนประเมินว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือจุดวัด ‘ชี้ขาด’ ว่า ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ยังได้รับ ‘ใบอนุญาต’ ให้จัดตั้งรัฐบาลอีกหรือไม่
ถ้าหากผลออกมาเป็นลบ อาจทำให้ต้อง ‘เซตซีโร่’ ทางการเมืองอีกครั้งก็เป็นไปได้
โดยมีปัจจัยสำคัญอย่าง ‘ฝ่ายค้าน’ เข้ามาแทรกแซงคือ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่ประกาศพร้อมช่วยโหวต ‘นายกฯเฉพาะกาล-รัฐบาลเฉพาะกิจ’ เพื่อผ่าทางตันให้ประเทศไปต่อ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้มี สสร.มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนยุบสภาฯ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งภายในไม่เกิน 6 เดือน
นี่ยังไม่นับคดีบังคับโทษจำคุก ‘ทักษิณ’ หรือที่เรียกกันว่า ‘คดีชั้น 14’ และคดีส่วนตัวที่กล่าวหาว่า ‘สทร.’ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่จะมีจุดไคลแม็กซ์ในช่วงเดือน ส.ค.นี้เช่นกัน
หากผลออกมาเป็นลบ ย่อมสะเทือนถึงรัฐบาลเพื่อไทยแน่นอน
ดังนั้น จุดชี้ชะตาประเทศไทยในขณะนี้ คาดว่าจะมีบทสรุปสุดท้ายภายใน ส.ค. ไม่ว่าจะเรื่อง ‘ชายแดน-นิติสงคราม’
ส่วนจะออกมาหน้าไหน คงต้องรอลุ้นกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา