“สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าข้อกล่าวหาเรื่องการมีส่วนร่วมของชนชั้นนำเหล่านี้ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง และควรได้รับการแก้ไขผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่โปร่งใส” นางสุริยาเสนีกล่าวและกล่าวอีกว่าหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ อุตสาหกรรมศูนย์หลอกลวงในกัมพูชาคาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี หรือพูดอีกอย่างก็คือ ประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ
ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา แม้ว่าจะมีการทำข้อตกลงหยุดยิงกันไปแล้ว แต่ก็มีความกังวลกันว่าสถานการณ์อาจจะกลับมามีการปะทะได้อีก
ที่ผ่านมามีบทวิเคราะห์จากสถาบันในต่างประเทศ รวมไปถึงสถาบันที่ออสเตรเลียว่าต้นเหตุของความขัดแย้งนั้นมาจากการที่ทางการไทยได้ดำนเนินการปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์ริมแนวชายแดน ซึ่งสิ่งนี้อาจจะทำให้เหตุการณ์กลับมาคุกรุ่นได้อีก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
ย้อนไปเมื่อช่วงไม่กี่เดือนก่อนเหตุปะทะ ทางการไทย ได้ขู่ที่จะตัดไฟฟ้าและบริการอินเทอร์เน็ตในกัมพูชา โดยอ้างว่าเพื่อทำให้ค่ายแรงงานกลุ่มฉ้อโกงไซเบอร์ในประเทศอยู่ยากลำบากขึ้น โดยบางแห่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทซึ่งเป็นเหตุปะทะกัน
กรณีนี้ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ากัมพูชามีค่ายแรงงานทาสสำหรับการฉ้อโกงทางไซเบอร์ เพราะตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลได้ทำบันทึกไว้ว่า อาชญากรมักโฆษณาหางานที่ได้ค่าจ้างดีในเอเชีย และผู้ที่เดินทางไปทำงานมักถูกจับเป็นทาสในค่ายและถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่กับ โดยหัวข้อการหลอกลวงเรื่องความรักหรือโรแมนซ์สแกมและหลอกลวงให้มีการลงทุน องค์การสหประชาชาติคาดว่าอาจมีคนมากกว่า 100,000 คนที่ต้องทำงานหนักในค่ายเหล่านี้ ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายว่าเป็น "แหล่งรวมการหลอกลวงที่โหดร้าย" ซึ่งดำเนินงาน "โดยได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนจากรัฐบาลกัมพูชา"
สหรัฐฯ เห็นด้วยกับการประเมินของสหประชาชาติดังกล่าว และเมื่อปีที่แล้วได้ลงโทษวุฒิสมาชิกวุฒิสภากัมพูชาเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายใช้แรงงานของกลุ่มสแกมเมอร์ ตามมาด้วยการที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมทางการเงิน (FinCEN) ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดต่อ Huione Group กลุ่มบริษัทการเงินขนาดใหญ่ในกัมพูชา โดยระบุว่าเป็น “แหล่งที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงิน” ซึ่งกลุ่มบริษัทดังกล่าวนั้นก็มีนายฮุน โต ผู้ซึ่งเป็นอดีตกรรมการของ Panda Bank และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน นั่งบริหารบริษัทอยู่
สหรัฐฯคว่ำบาตร Huoine Group (อ้างอิงวิดีโอจาก Insight AI Brief)
ขณะที่ประเทศไทยได้ดำเนินการรับลูกด้วยการปราปรามค่ายของสแกมเมอร์เหล่านี้ ควบคู่กับทางประเทศจีนที่เข้ามาจัดการเพราะว่ากลุ่มอาชญากรชาวจีนได้เล็งเป้าหมายเหยื่อซึ่งเป็นคนจีน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าการดำเนินการดังกล่าวนั้นอาจจะเพิ่มความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาในอนาคต
นางแองเจลา สุริยาเสนี นักวิจัยจากศูนย์ความคิดสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย (ASPI) กล่าวว่าการปราบสแกมเมอร์ของไทยแม้จะไม่ใช่เหตุที่ทำให้เกิดการปะทะโดยตรง แต่การกระทำคู่ขนานของไทยในการต่อต้านกิจกรรมหลอกลวงทางไซเบอร์ข้ามชาติที่ดำเนินการใกล้ชายแดนอาจส่งผลต่อสภาพแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นซึ่งความขัดแย้งนี้ทวีความรุนแรงขึ้น และความพยายามปราบปรามสแกมเมอร์เหล่านี้อาจทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทั้งสองมากขึ้น
นายอดัม รูสเซลล์ นักวิเคราะห์หลักที่สถาบัน Between the Lines Research มีความเห็นคล้ายกัน โดยเขากล่าวว่า ตลอดแนวชายแดนนี้ ศูนย์กลางการฉ้อโกงที่ดำเนินการโดยชาวจีนและเงินทุนผิดกฎหมายที่พวกเขาสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของฉากหลังของความขัดแย้ง แม้ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นแรงขับเคลื่อน แต่ความสำคัญของพวกเขานั้นมากเกินกว่าที่จะเพิกเฉยได้
ที่ผ่านมา นายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านที่ลี้ภัยในต่างแดนของกัมพูชา กล่าวหานายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา ว่าแสวงหาผลประโยชน์จากค่ายผู้ของสแกมเมอร์เหล่านี้ โดยเขากล่าวผ่านเฟซบุ๊กว่าค่ายของสแกมเมอร์เป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการยุติข้อพิพาทไทย-กัมพูชา
“นายฮุน เซนโกรธเพราะอาชญากรเหล่านั้นคือผู้เลี้ยงดูเขาและระบอบการปกครองของเขา” นายสม รังสีกล่าว
ด้านนางสุริยาเสนี นักวิจัยจากศูนย์ความคิดสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย (ASPI) กล่าวว่ามีความกังวลอย่างแท้จริงว่าองค์ประกอบภายในรัฐกัมพูชาอาจยอมรับหรือได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากกิจกรรมบางอย่าง ซึ่งทำให้เครือข่ายอาชญากรเหล่านี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการตรวจสอบ
“สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าข้อกล่าวหาเรื่องการมีส่วนร่วมของชนชั้นนำเหล่านี้ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง และควรได้รับการแก้ไขผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่โปร่งใส” นางสุริยาเสนีกล่าวและกล่าวอีกว่าหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ อุตสาหกรรมศูนย์หลอกลวงในกัมพูชาคาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี หรือพูดอีกอย่างก็คือ ประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ
นายฮุน เซน ขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก อ้างว่าเพื่อปราบสแกมเมอร์ (อ้างอิงจาก Khmer Times)
หากการฉ้อโกงทางไซเบอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ก็แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมสแกมมีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตและความทุกข์ยากเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องนอกเหนือจากการหลอกลวงอันโหดร้ายที่สแกมเมอร์กระทำอยู่ทุกวัน
และก็เป็นที่น่าสังเกตุว่าในการทำข้อตกลง 13 ข้อ หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไท ย-กัมพูชา (GBC) เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีการพูดถึงเนื้อหาของการปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์แต่อย่างใด
ทำให้มีความกังวลว่าชายแดนไทยกัมพูชา อาจจะเกิดเหตุปะทะขึ้นมาอีกก็เป็นได้
เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจาก:https://www.theregister.com/2025/07/31/thai_cambodia_war_cyberscam_links,https://www.channelnewsasia.com/commentary/cambodia-scam-centre-thailand-border-crackdown-raids-5284741

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา