
“…แม้ว่านายกรัฐมนตรี จะได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการจะได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์สาเหตุของอาคารตึก สตง. พังถล่ม โดยเผยแพร่ออกอากาศไปทั่วประเทศว่า เหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐาน แต่นายเอกนัฏฯ กลับให้ข้อเท็จจริงย้อนแย้งว่า ไม่ว่าผลตรวจสอบเหล็กของ สตง. จะเป็นเช่นไร ก็ไม่เปลี่ยนความจริงในการดำเนินคดีกับเหล็กไม่ได้มาตรฐานของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ที่กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการอยู่…”
.........................................
จากกรณีที่ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ผู้ประกอบการกิจการโรงงานผลิตเหล็ก ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบ ไต่สวนพฤติการณ์ และดำเนินคดีกับ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องฯ
กรณีมีเจตนาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมีอคติจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รมว.อุตสาหกรรมโดยมิชอบ สั่งปิดโรงงานเหล็กของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ทำให้บริษัทฯเสียหาย 2,640 ล้านบาท นั้น (อ่านประกอบ : ‘ซินเคอหยวน’ร้อง ‘ป.ป.ช.’ไต่สวน‘รมว.อุตฯ-พวก’ปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ทำบริษัทฯสูญ 2.6 พันล.)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอสาระสำคัญของหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฯ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ลงวันที่ 25 ส.ค.2568 ซึ่งบริษัทฯได้ยื่นถึงประธาน ป.ป.ช. มีรายละเอียด ดังนี้
@กล่าวหา‘เอกนัฏ’จงใจปฏิบัติหน้าที่ฯมิชอบ ทำ‘บริษัทฯ’เสียหาย
พฤติการณ์ร่วมกันกระทำผิดของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 28 คน
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็น รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 160 (5) บัญญัติให้รัฐมนตรีต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ
มาตรา 164 บัญญัติว่า ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ด้วย (1) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ
(3) ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งมาตรา 170 (4) บัญญัติให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4 วรรคห้า (2)
และตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 10 (1) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี คดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเฉพาะ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต.... หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
พฤติการณ์ในการกระทำความผิด กล่าวคือ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2568 เวลาช่วงบ่าย ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นเหตุให้ตึกก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง. พังถล่ม มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ในวันดังกล่าว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้มาที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งแถลงให้ข้อเท็จจริงกับผู้สื่อข่าวหลายสำนักทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ โดยประมวลข้อเท็จจริงชี้นําว่า เหตุตึกถล่มมีเพียงตึกเดียวในกรุงเทพฯ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ขออนุญาตผู้เกี่ยวข้องเข้าไปเก็บตัวอย่างเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง 6 ขนาด คือ เหล็กข้ออ้อย เหล็กกลม ส่วนใหญ่จะมาจากผู้ผลิตรายเดียว โดยมีการเก็บตัวอย่างเหล็กออกไปจากสถานที่จริงเพื่อไป ตรวจสอบคุณภาพที่สถาบันเหล็ก โดยอ้างว่าตนได้เข้าไปตรวจสอบและตั้งข้อสังเกตว่า วัสดุที่นำมาใช้ในการก่อสร้างได้คุณภาพหรือไม่ได้คุณภาพ โดยเห็นความผิดปกติบางส่วน ขนาดเหล็กเป็นอย่างไร เหล็กมาจาก ผู้ผลิตรายไหน
โดยมีการแถลงข้อเท็จจริงว่า ได้มอบหมายให้ทีมชุดสุดซอย ซึ่งเป็นคณะทำงานออกตรวจออกจับ โดยขอให้สื่อมวลชนไปดูที่ตัวเหล็กตัวอย่างเหล็กที่เก็บมา ซึ่งสาเหตุของตึกถล่มอาจจะมาได้จากหลายสาเหตุ ในส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมช่วยในการสืบหาสาเหตุได้
คือ ดูว่าตัวเหล็กเป็นไปตามสเป็คไหม มันได้ คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ไหม ซึ่งที่ผ่านมาหกเจ็ดเดือนตนได้ออกตรวจจับ ถึงจะมี มอก. บางตัวไป ตรวจแล้วก็ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งการจัดการปราบศูนย์เหรียญและสินค้าไม่ได้คุณภาพ ผมออกตรวจหกถึงเจ็ด เดือน สินค้าพวกสายไฟ ยาง เหล็ก ผมจัดการเองฯ ปรากฏตามคลิปข่าวที่ส่งมาด้วย
ต่อมานายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ให้ข้อมูลเผยแพร่ออกอากาศไปทั่วประเทศในรายการต่างๆ ดังนี้
วันที่ 3 เมษายน 2568 ได้ให้ข้อมูลในรายการโทรทัศน์คุยข้ามช็อต ช่อง PPTV 36 และเผยแพร่ออกอากาศทางสื่อออนไลน์ช่องยูทูปตลอดมาถึงปัจจุบัน โดยยืนยันข้อเท็จจริงว่า เหล็กเก็บมาจากอาคารที่ทำการก่อสร้างตึก สตง. ถล่ม มี 2 ขนาดที่ตกมาตรฐาน ซึ่งเป็นเหล็กของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ซึ่งบริษัทฯ ได้ถูกปิดไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567
ต่อมาปรากฏว่า ผลการตรวจสอบสาเหตุที่ตึก สตง. พังถล่ม ตามที่นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทอง ธาร ชินวัตร) ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบนั้น เป็นเอกภาพทุกสถาบัน มีข้อมูลสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน คือ พบความบกพร่องการออกแบบอาคารและวิธีการก่อสร้าง
โดยเฉพาะเทคนิคการก่อสร้างโครงการนี้ ผนังช่องลิฟต์ ผนังบันได หรือผนังรับแรงเฉือน ที่ทำให้เกิดตึกพังถล่มลงมา ส่วนเหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การนำมาใช้ในโครงการนี้ จะมีคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐาน ปรากฏตามภาพข่าวเอกสารหมายเลข 52 และรายงานสรุปผลการตรวจพิสูจน์ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดย นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ที่หน่วยงานราชการ (กรมโยธาธิการ)
แม้ว่านายกรัฐมนตรี จะได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการจะได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์สาเหตุของอาคารตึก สตง. พังถล่ม โดยเผยแพร่ออกอากาศไปทั่วประเทศว่า เหล็กและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐาน
แต่นายเอกนัฏฯ กลับให้ข้อเท็จจริงย้อนแย้งว่า ไม่ว่าผลตรวจสอบเหล็กของ สตง. จะเป็นเช่นไร ก็ไม่เปลี่ยนความจริงในการดำเนินคดีกับเหล็กไม่ได้มาตรฐานของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ที่กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการอยู่ ปรากฏตามคลิปและเอกสารรายงานข่าวที่ได้เผยแพร่ในสื่อสาธารณะ
พฤติกรรมดังกล่าวของนายเอกนัฏฯ จึงมีเจตนาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมีอคติจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และกฎหมายฯ โดยใช้อำนาจด้วยความไม่สุจริต
โดยมีพฤติกรรมเจตนาชี้นําให้ข้าราชการในกระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคณะทำงานทีมสุดซอยที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายเอกนัฏฯ ให้กระทำการในหน้าที่ซึ่งรับคําสั่งเชิงนโยบาย เพื่อสนองนโยบายที่มิชอบของตนเอง อันประกอบไปด้วยกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึง 26 ซึ่งรับคำสั่งเชิงนโยบายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายเอกนัฏฯ มาปฏิบัติตาม
กล่าวคือ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้มีการมอบหมายสั่งการมอบนโยบายให้คณะทำงานสุดซอย ที่ตนได้แต่งตั้ง ซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นหัวคณะทำงานทีมสุดซอย ทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด โดยมีการกลั่นแกล้ง โดยใช้ สั่งการ หรือมอบหมายให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ที่ถูกกล่าวหาร่วมกระทำผิดดังที่กล่าวมาในตอนต้นทั้งหมด ให้สนองตอบนโยบายที่ไม่ชอบ เพื่อไม่ให้โรงงานของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด เปิดการดําเนินงานโรงงานได้ตามปกติ
นอกจากนี้ นายเอกนัฏฯ ยังให้ข้อมูลเผยแพร่ข้อเท็จจริงออกสื่อสาธารณะว่า ตนจะยังคงดำเนินคดีกับบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทฯ ไม่ได้มาตรฐาน อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาพิเศษที่ต้องการให้เกิดความเสียหายกับ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด อย่างชัดแจ้ง ทั้งยังเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีอคติและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ตั้งคณะทำงานทีมสุดซอย ประกอบด้วยผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึงผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และได้มอบหมาย หรือสั่งการให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ช่วยดําเนินงานของตน ซึ่ง เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึงที่ 28 เพื่อสนองนโยบายที่ไม่ชอบดังกล่าว…
@อ้าง‘กรมโรงงาน’ออกคำสั่งสร้างเงื่อนไข-เพิ่มภาระ‘บริษัทฯ’
ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 28 คน มีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำผิด กล่าวคือ วันที่ 18 ธันวาคม 2567 มีเหตุถังก๊าซ LPG ซึ่งตั้งอยู่นอกอาคารโรงงาน รั่วไหลออกจากถังก๊าซ LPG อันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้าย ซึ่งในวันเดียวกัน อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง (นายวิเชียร ทองด้วง) อ้างว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบและอ้างเหตุเพลิงไหม้ บริเวณอาคารโรงงาน
สาเหตุสันนิษฐานเบื้องต้นอาจจะเกิดจากการระเบิดของถังก๊าซ LPG ทำให้เกิดเหตุไฟลุกไหม้ ลักษณะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหาย ความเดือดร้อนอย่างร้ายแรงแก่บุคคลหรือทรัพย์สินที่อยู่ใกล้โรงงาน จึงมีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงาน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567
ต่อมา วันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายวิเชียร ทองด้วง ได้มีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงาน (เพิ่มเติม) และให้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงโรงงาน มีรายละเอียดจำนวน 5 รายการ ปรากฏตามเอกสารหมายเลข 6 โดยบริษัทฯได้มีการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงโรงงาน 5 รายการตามคำสั่งดังกล่าว
ต่อมา 24 ธันวาคม 2567 นายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งให้บริษัทฯ หยุดประกอบการโรงงานทั้งหมด และให้ดำเนินการตามที่สั่งการจำนวน 7 ข้อ
โดยเพิ่มภาระการสั่งการนอกเหนือไปจากคำสั่งเดิมของอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง โดยมีการล้อคำสั่งเดิมมาบางส่วน ซึ่งต่อมา 27 ธันวาคม 2567 นายวิเชียร ทองด้วง ได้มีหนังสือยกเลิกคำสั่งเดิมของอุตสาหกรรม จังหวัดระยองฉบับลงวันที่ 18 และ 19 ธันวาคม 2567 จำนวน 2 คำสั่ง
บริษัทฯ ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงโรงงาน 7 รายการ ตามคำสั่งการของนายสุนทร แก้วสว่าง มาโดยตลอด แต่ระหว่างดำเนินการ ได้มีการตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตมาโดยตลอด อันเป็นการเพิ่มภาระแก่บริษัทฯ โดยเจตนาละเลยไม่พิจารณาคําขอเปิดโรงงานของบริษัทฯ ตามปกติภายในเวลาอันสมควรตลอดมา
(เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม)


(ภาพ : เหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายใน บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ตั้งอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จากการรั่วไหลของถังก๊าซ LPG ขนาด 110,000 ลิตร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ จำนวน 5 คน เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2567 ที่มา : ทำเนียบรัฐบาล)
โดยวันที่ 20 มกราคม 2568 บริษัทฯ ได้รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาทั้ง 7 รายการ โดยยืนยันว่าบริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมครบถ้วนทุกประการ จึงขอความอนุเคราะห์เปิดดำเนินกิจการต่อไปตามปกติ
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายวีระพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งแก่บริษัทฯ โดยอ้างเหตุว่า ผลการตรวจสอบข้อ 2, 3, 6, 7 ได้มีการปรับปรุงแก้ไขถูกต้องแล้ว แต่ปฏิบัติไม่ถูกต้องครบถ้วนในข้อ 1, 4 และ 5 ภายในระยะเวลาที่กำหนด (20 มกราคม 2568)
จึงมีคำสั่งให้ บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการทั้งหมดเป็นการชั่วคราวต่อไป และให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโรงงานและปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน โดยให้ขยายระเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 6 มีนาคม 2568 โดยมีการ กำหนดเงื่อนไข ขั้นตอน สร้างภาระแก่บริษัทฯเพิ่มเติม โดยพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อมีเจตนาพิเศษ ละเลย เพิกเฉยไม่สั่งให้บริษัทฯ เปิดดำเนินกิจการได้ ทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 และ วันที่ 5 มีนาคม 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงาน อุตสาหกรรม ชี้แจงการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโรงงานเพิ่มเติม ตามคำสั่งของหนังสือที่ อก 0311/917 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ของนายวีระพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย โดยรายงานว่าได้ปฏิบัติการครบถ้วนทุกประเด็นตามที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว จึงขอความอนุเคราะห์อนุมัติให้บริษัทฯ เปิดดำเนินกิจการต่อไป
วันที่ 18 มีนาคม 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ขอทราบผลความคืบหน้า ในการอนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการ เนื่องจากตามคำสั่งของหนังสือที่ อก 0311/917 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ของนายวีระพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 จึงขอความอนุเคราะห์อนุมัติให้ บริษัทฯ เปิดดำเนินกิจการต่อไป
@ขอเปิดดำเนินการ‘โรงงาน’หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาตฯ
วันที่ 28 มีนาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยนายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมาย ได้มีหนังสือแจ้งบริษัทฯ เรื่องขยายระยะเวลาปฏิบัติตามคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว
โดยได้พิจารณาการดำเนินการของบริษัทฯ ทั้งหมดแล้วเห็นว่า บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของหนังสือที่ อก 0311/917 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ของนายวีระพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย ทั้งหมดครบถ้วนแล้ว เว้นแต่ในส่วนของการรับรองรายละเอียดกระบวนการทำงานฯ จากวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมาย
จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการหยุดประกอบกิจการโรงงาน เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งฯออกไปอีกระยะหนึ่ง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 เมษายน 2568
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ขอรายงานกระบวนการผลิตเพิ่มเติม โดยรายงานว่าได้ปฏิบัติการครบถ้วนตามที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว จึงขอความอนุเคราะห์อนุมัติให้บริษัทฯ เปิดดำเนินกิจการต่อไป
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 มีเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ประกอบไปด้วยผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 ถึง 23 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 25 ได้ร่วมกันเข้าตรวจค้นโรงงานของบริษัทฯ
พร้อมกับตรวจยึดทรัพย์สินของบริษัทฯ หลายรายการ ประกอบไปด้วย กล่องเซิฟเวอร์กล้อง ฮาร์ดดิสก์ ห้องไอทีซัพพอร์ต (ห้องเซิฟเวอร์), แฟ้มเอกสารการจัดซื้อวัตถุดิบภายในประเทศ และจากต่างประเทศ, สมุดรายวันการขาย เดือนธันวาคม 2567 เดือนมกราคม ถึง เดือนมีนาคม 2568
แฟ้มบันทึกการผลิตโรงหลอม, แฟ้มบันทึกการทำงานของเตาหลอม, แฟ้มบันทึกส่วนผสมของสารเคมี น้ำเหล็กประจำวัน ฯลฯ แฟ้มเอกสารงบการเงินปี 2554 ถึง 2567, สมุดบัญชีธนาคาร, บันชีต้นทุน, บัญชีรายการวัสดุของผู้รับเหมา, สัญญาซื้อเครื่องจักร, บันทึกการประชุมปี 2022, ยอดผลิตเหล็กเส้น ,ตารางวิเคราะห์ต้นทุน 2024, เอกสารแสดงสินค้า (โบชัวร์)
โดยในวันที่ 11 เมษายน 2568 วันเดียวกันกับวันที่ตรวจยึด กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยนายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ เรื่อง ขอเชิญให้มาชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 21 เมษายน 2568 แต่บริษัทฯ ไม่สามารถขอเลื่อนการชี้แจง
กระทั่งวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ขอให้ส่งคืนเอกสารหลักฐาน จำนวน 92 รายการ ที่ยึดไปเพื่อตรวจสอบ เนื่องจากอุตสาหกรรมจังหวัดระยองให้ชี้แจง เรื่อง ฝุ่นแดง และให้จัดส่งเอกสารเพิ่มเติม แต่เอกสารที่จะต้องชี้แจงได้ถูกยึดอายัด โดยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมไปหมดแล้ว และถ้าโรงงานไม่มีข้อมูลชี้แจงทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ก็จะแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทฯ
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งตามข้อสั่งการครบถ้วนแล้ว จึงขอความอนุเคราะห์อนุมัติให้บริษัทฯ เปิดดำเนินกิจการต่อไป
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยนายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งบริษัทฯ ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารเพิ่มเติม ภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2568
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยนายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งบริษัทฯ โต้แย้งเรื่องส่วนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ แม้จะอยู่ภายนอกบริเวณอาคารโรงงาน แต่ส่วนที่เกิดเพลิงไหม้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตเหล็กเส้นกลมและเหล็กข้ออ้อย โดยอยู่ในส่วนของการให้ความร้อนแก่เหล็กแท่ง เพื่อนําไปสู่การรีดเหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อย
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ชี้แจงข้อเท็จจริงแจ้งว่า ได้ตอบข้อสงสัยข้อซักถามที่ให้ชี้แจงเพิ่มเติมตามข้อสั่งการครบถ้วนแล้ว จึงขอความอนุเคราะห์อนุมัติให้บริษัทฯ เปิดดำเนินกิจการต่อไป
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยนายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งบริษัทฯ ขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเตา ช่วงเวลาการติดตั้งการใช้งานฯ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยนายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหนังสือแจ้งบริษัทฯ ขอตรวจโรงงานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ในวันที่ 17 มิถุนายน 2568 โดยต่อมามีรายละเอียดบันทึกผลการตรวจสอบโรงงานของบริษัทฯ ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2568
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีหนังสือถึงนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ขออุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้เปิดการประกอบกิจการโรงงาน และขอโต้แย้งคําชี้แจงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
ในวันเดียวกัน (24 มิถุนายน 2558) บริษัทฯ ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม 2 ฉบับ เรื่องขอให้มีคำสั่งให้บริษัทเปิดประกอบกิจการโรงงานตามปกติ โดยนัดหมายให้มีการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบพิจารณายกเลิกคำสั่งให้บริษัทหยุดประกอบกิจการทั้งหมดชั่วคราว ที่โรงงานของบริษัทฯ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น.
แต่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับหนังสือแล้ว ไม่มาตรวจสอบตามกำหนดนัด โดยส่งหนังสือลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 แจ้งว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณา หากผลการพิจารณาเป็นประการใดจะแจ้งให้บริษัททราบต่อไป ซึ่งบริษัทได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 2 กรกฎาคม 2558 เวลา 13.00 น. และบริษัทฯ ยังได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่องขออุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้เปิดการ ประกอบกิจการโรงงาน และขอโต้แย้งคําชี้แจงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
@ชี้‘ห้องปฏิบัติการ’ไม่มีศักยภาพตรวจ‘โบรอน’ตาม‘มอก.’กำหนด
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 กองตรวจการมาตรฐาน 1 (สมอ.) ซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 เป็นผู้อํานวยการ ได้ขอรับบริการนําส่งเหล็กเข้าศูนย์ทดสอบสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย โดยนําเหล็กเส้นคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย ชื่อขนาด DB 25 และ DB 32 ของบริษัทฯ เข้าทำการทดสอบเพื่อหาค่าทางเคมีของโบรอนว่าเกินมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งตามข้อกําหนดของ สมอ. ค่ามาตรฐานของโบรอนต้องน้อยกว่า 0.0008%
แต่ขณะที่ห้องปฏิบัติการของสถาบันเหล็กฯดังกล่าวที่ใช้ตรวจสอบ แม้จะได้รับการรับรองตาม มอก. 17025 จากราชการก็ตาม แต่ช่วงความสามารถในการทดสอบโบรอนของสถาบันดังกล่าวอยู่ระหว่าง 0.0009%-0.0025% เท่านั้น ซึ่งห้องปฏิบัติของสถาบันเหล็กฯดังกล่าว จึงไม่มีขีดความสามารถตามที่ สมอ. กำหนดในการตรวจโบรอน
โดยจะมีสัญลักษณ์ *(symbol) ปรากฏในตารางรายการตรวจส่วนประกอบทางเคมี ผลตรวจจึงไม่มีผลทางกฎหมาย และไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า เหล็กของบริษัทฯไม่ผ่านมาตรฐาน ปรากฏตามผลตรวจสอบหาค่าโบรอน (เอกสารหมายเลข 53)
ต่อมาภายหลังจากตึก สตง. ถล่ม เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยนายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อํานวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 ได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ อ้างว่า จากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการเข้าเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 จากสถานที่เกิดเหตุ
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ตรวจพบบางส่วนในที่เกิดเหตุเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นของบริษัทฯ จึงขอความร่วมมือให้บริษัทฯ แจ้งข้อมูล ข้อเท็จจริง และจัดส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อย ขนาด DB 20 และ DB 32 ที่จําหน่ายให้โครงการข้างต้นฯ ปรากฏตามหนังสือสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (เอกสารหมายเลข 54)

(ทีมตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ร่วมกับ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 ที่มาภาพ : กระทรวงอุตสาหกรรม)
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 บริษัทฯ ได้ทำหนังสือชี้แจงสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรณีให้แจ้งข้อมูล ข้อเท็จจริง ตามหนังสือลงวันที่ 1 เมษายน 2568 โดยแจ้งว่าบริษัทฯ ไม่ได้เป็นผู้จําหน่ายเหล็กให้กับโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. ดังกล่าวแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ขอให้แจ้งข้อมูล ปรากฏตามหนังสือของบริษัทฯ (เอกสารหมายเลข 55)
ภายหลังจากบริษัทฯ ได้ตอบชี้แจง ตามหนังสือเอกสารหมายเลข 55 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยนายปรเมศวร์ ปาสิงห์ ผู้รับมอบอำนาจ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 28 ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับบริษัทฯ กล่าวหาว่า
บริษัทฯขัดขวางพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ปรากฏตามหมายเรียกผู้ต้องหา เอกสารหมายเลข 56 ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากบริษัทฯ ได้ตอบชี้แจง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้วว่า บริษัทฯไม่ได้เป็นผู้จําหน่ายเหล็กให้กับโครงการก่อสร้าง อาคาร สตง. จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 28 จึงเป็นการกระทำเพื่อสนองตอบคำสั่งของ นายนนทชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 ผู้อํานวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 ซึ่งได้รับมอบหมายให้นําเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวให้กับผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เพื่อนําไปเผยแพร่ในสื่อช่องทางต่างๆ เพื่อให้เกิดความเสียหายกับบริษัทฯ
วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 กรมโรงงานอุตสาหกรรมโดยนายสุนทร แก้วสว่าง (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ) ได้มีคำสั่งแจ้งให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดต่อไป อีกทั้งยังมีคำสั่งใหม่เป็นการสั่งให้ดำเนินการเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยให้ปรับปรุงระบบบําบัดมลพิษอากาศให้มีประสิทธิภาพฯ และให้ปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเติมเครื่องจักรฯ
@อ้างคำพูด‘แพทองธาร’ชี้ตึก‘สตง.ถล่ม’ไม่เกี่ยวกับ‘เหล็ก’
การร่วมกันกระทำผิดดังกล่าวข้างต้นของผู้ถูกล่าวหาที่ 1 ถึงผู้ถูกล่าวหาที่ 28 มีลักษณะร่วมกันเป็นกระบวนการ เป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน โดยแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วย วิธีอื่นใด
โดยมีนางสาว ฐิติภัสร์ (โอ๋) โชติเดชาชัยนันต์ กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้ถูกล่าวหาที่ 1 กับผู้ถูกล่าวหาที่ 3 ถึงที่ 28 ได้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดดังที่กล่าวมา แม้ผู้กระทำความผิด จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม
จากการร่วมกระทำความผิดดังที่กล่าวมา ต่อมาวันที่ 11 เมษายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยนายนฤชา ฤชุพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 27 รองเลขาธิการปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้มีหนังสือที่ นร 1301.05/498 เรื่องแจ้งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เป็นการชั่วคราว
โดยอ้างว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตรวจสอบพบว่า บริษัทฯมีพฤติกรรมฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 และ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีคำสั่งให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว
สำนักงานฯจึงแจ้งว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จึงมีมติให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์เป็นการชั่วคราว นับ แต่วันที่ 11 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยคำสั่งดังกล่าว ได้อาศัยมติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไม่ได้มีการไต่สวน และไม่ให้โอกาสบริษัทฯ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหา
แต่กลับมีมติให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์เป็นการชั่วคราว โดยอาศัยเพียงคำสั่งของรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ยังมีการโต้แย้งคำสั่งนั้นอยู่ การร่วมกระทำของนายนฤชา ฤชุพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 27 และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นการร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน โดยแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอนกับผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้งหมดข้างต้น
จากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อมวลชนในรายการคุยข้ามช็อต (วันที่เผยแพร่ 3 เมษายน 2568) ชื่อตอน “Exclusive talk เอกนัฏ อ่านแชท กลางรายการถูกขู่ข่มตรวจสอบเหล็ก/รายการคุยข้ามช็อต” ว่า มีวัสดุก่อสร้างที่เป็นกิจการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญที่มี มอก. แต่ไม่มีคุณภาพ
นอกจากนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวพีพีทีวี HD 36 โดยใช้ปกคลิปว่า “แค่เห็นก็อึ้งแล้ว เอกนัฏ ตรวจซากตึก สตง.พบเหล็กใช้ก่อสร้างผิดปกติ” (วันที่เผยแพร่ 30 มีนาคม 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ให้ข้อมูลในรายการเฮดไลน์ทูเดย์ กับสำนักข่าวทูเดย์ (วันที่เผยแพร่ 30 พฤษภาคม 2568) ชื่อตอน “มั่นใจไม่ได้ เหล็กไทยทุนจีน ผิดมาตรฐาน ต้องรื้อระบบราชการ ไทยเทา ทำชาติเละเทะ"โดยใช้ชื่อปกคลิปว่า “ไทยเละเทะ เหล็กจีนทะลัก”
โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กล่าว ในรายการว่า” ซินเคอหยวน ผมไปปิดตั้งแต่เดือนธันวาคม จนกระทั่งตึกถล่ม ก่อนตึกถล่มอีก ผมเริ่มสู้รบกับ พวกโรงงานที่ผลิตเหล็กโดยเฉพาะการผลิตเหล็กจากเตาที่เราเรียกว่า เตาไอเอฟ เป็นเทคโนโลยีที่ทางประเทศ จีนไม่เอาแล้วถูกเตะออกมาแล้วย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในไทยฯ” ปรากฏตามคลิปวีดีโอพยานวัตถุหมายเลข 1 และ คําถอด
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ให้ข้อมูลในรายการ เที่ยงทันข่าว กับสำนักข่าว PPTV HD36 (วันที่เผยแพร่ 1 กรกฎาคม 2568) โดยใช้ชื่อปกคลิปว่า “เอกนัฏ ลุยปราบเหล็กไร้มาตรฐานต่อ”
รายการข่าวเช้าหัวเขียว สำนักข่าวไทยรัฐ TV32 (วันที่เผยแพร่ 1 กรกฎาคม 2568) โดยใช้ชื่อปกคลิป ว่า “เหล็กไม่ผิด ผลสอบตึก สตง.ถล่ม ออกแบบก่อสร้างผิด โดยมีเนื้อหาข่าว”...จากแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม ท่านนายกแพทองธาร ตั้งคณะกรรมการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงผลออกมาแล้ว
โดยผลการสืบสวนสอบสวนจาก 4 สถาบันมีสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มาหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความเห็นในทิศทาง เดียวกันว่า ที่ตึก สตง. แห่งใหม่ถล่มเกิดจากความบกพร่องในการออกแบบและวิธีการก่อสร้างฯ”
จากเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ทางรัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เผยผลสอบข้อเท็จจริง โดยสรุปสาเหตุตึก สตง. ถล่ม ว่า การออกแบบและการก่อสร้างไม่ถูกกฎหมาย คอนกรีตไม่ได้มาตรฐาน พบคอนกรีตไม่ได้มาตรฐาน ส่วนเหล็กและวัสดุอื่นไม่เกี่ยวข้อง มอบดีเอสไอและตำรวจสอบสวนหาคนรับผิดชอบ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อมวลชนตลอดมาว่า ปิด บริษัท ซินเคอหยวน ถาวร ขอ 1 เดือนเลิก มอก. เหล็ก IF โดยอ้างว่าได้สั่งการให้ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กรอ.) จัดประชุม กมอ. ให้เร็วที่สุดฯ
โดยจะหารือในวาระยกเลิกมาตรฐานเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตา IF ตามกระบวนการการยกเลิก มอก. ดังกล่าวจะต้องนําเข้าสู่คณะกรรมการวิชาการพิจารณาก่อน และนำกลับเข้า กมอ. ซึ่งอาจใช้เวลา 2 ถึง 3 เดือน อย่างไรก็ดี อาจดำเนินการโดยใช้มาตรา 17 ตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อให้ขั้นตอนเร่งด่วนโดยไม่ต้องเข้าคณะกรรมการวิชาการ ซึ่งจะต้องใช้เวลาเหลือเพียง 1 เดือนเท่านั้น
(น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีอาคารที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2568 ที่มา : นายกฯ รับรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีอาคาร สตง.ถล่ม รายงานพบมีปัญหาด้านการออกแบบ และวิธีการก่อสร้าง สั่งการเอาผิดเต็มที่)
@ปิด‘โรงงาน’7 เดือนเสียหาย 2.6 พันล.-ราคา‘เหล็ก’ในปท.พุ่ง
ลักษณะความเสียหายที่เกิดขึ้น
การร่วมกระทำความผิดของผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 28 คน ดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ และ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด อย่างใหญ่หลวง เนื่องจากก่อนที่โรงงานของ บริษัทฯ จะถูกสั่งปิด (18 ธันวาคม 2567) ราคาเหล็กเส้นอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 16 บาท ขณะที่ราคาวัตถุดิบอย่างเศษเหล็กกลับปรับตัวลดลงจาก 12 บาทต่อกิโลกรัม เหลือเพียง 9 บาท ต่อกิโลกรัม เมื่อโรงงานของบริษัทฯถูกสั่งปิด
สถานการณ์ดังกล่าวกระทบโดยตรงต่อการก่อสร้างภายในประเทศทั้งระบบ โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการหลายรายที่ทำสัญญาไว้ในช่วงที่ราคาเหล็กยังอยู่ในราคาเดิมที่ต่ำกว่า โดยในขณะนี้ได้เผชิญกับต้นทุนราคาเหล็กที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยบางรายไม่สามารถแบกรับภาระได้ ทำให้โครงการก่อสร้างหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการไปชั่วคราว
ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กไทยหลังเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม ได้มีการสร้างข้อมูลสู่สาธารณะ ซึ่งมีนักวิชาการ ได้อธิบายถึงสถานการณ์และสภาวะของวงการอุตสาหกรรมเหล็กไว้ ว่า ได้มีการเริ่มต้นจากการ share ข้อมูลเหล็กตัว T ซึ่งมีมาตรฐานรับรอง มอก.21-2549 ในโครงการก่อสร้าง อาคาร สตง. และกลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็วมาก
หลังการโพสต์ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตได้เริ่มเข้าเก็บตัวอย่างเหล็ก และพบว่าเหล็กส่วนใหญ่ผลิตจากเตา IF ซึ่งในช่วงก่อนปี 2558 ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนเหล็กเส้น เนื่องจากโรงงานผลิตมีไม่เพียงพอต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์
จึงมีการขยายการผลิต โดยอนุญาตการใช้เตาหลอม Induction Furnace (IF) ภายใต้มาตรฐาน มอก. 24-2559 ที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม และการต้องขึ้นทะเบียนเศษเหล็กที่เข้าเตาหลอมอย่างเคร่งครัด ซึ่งหลังจากที่มีการตั้งโรงงานใหม่ ใช้เตาหลอมแบบ IF จำนวนมาก ปัญหาการขาดแคลนเหล็กเส้นในประเทศก็ลดลง ราคาเหล็กเส้นคงตัวตลอดจากปี 2558 จนถึงปี 2568 โดยประเทศไทยสามารถลดการนําเข้าจากต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก
แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568 ทำให้ตึก สตง.ถล่ม มีกลุ่มบุคคลที่เป็นวิศวกร ได้ให้ข้อมูลว่าเหล็กตามมาตรฐาน มอก. 24-2559 (ซึ่งมีการใช้งานโดยเฉพาะเหล็ก T มาเกือบ 20 ปี) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการพังถล่มของอาคาร
จึงเป็นผลให้ภาครัฐ นําโดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวก ได้ร่วมกันตรวจสอบ และพบว่าเหล็กเส้นในโครงการดังกล่าวผลิตจากเตาหลอม IF ส่งผลให้เกิดกระบวนการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
และมีคำสั่งปิดโรงงานผลิตเหล็ก IF อย่างน้อย 11 แห่ง โดยเหตุผลต่างๆ แม้ว่าเหตุผลหลักในการปิดไม่เกี่ยวกับกําลังของเหล็กเส้นก็ตาม รวมทั้งโรงงานของบริษัทฯด้วย ซึ่งโรงงานเหล่านี้สามารถผลิตเหล็กกว่า 1,600,000 ตันต่อปี ทำให้สูญเสียกําลังผลิต อันเนื่องมาจากการสื่อสารดังกล่าวที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในสื่อโซเชียลและสื่อต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคสูญเสียความเชื่อมั่นในเหล็ก IF ผลิตภัณฑ์ IF และเหล็ก T
โรงงานที่เหลือจึงหยุดหรือชะลอตัวการผลิต ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนเหล็กเส้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2568 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็ก อสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้างในวงกว้าง
ความเข้าใจผิดและการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เป็นผลจากการกระทำของกลุ่มที่อาจจะเล็งเห็นประโยชน์ในตลาด เหล่านักลงทุนบางกลุ่มในอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งหวังในประโยชน์ส่วนตนผลักดันข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับมาตรฐานของเหล็ก IF เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันจากเตาหลอม EAF ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง
รวมถึงประชาชนต้องเผชิญกับความสับสนและความไม่แน่นอน ทำให้เหล็กที่มีผู้ตั้งใจกักตุนไว้ในความสับสนนี้ ถือโอกาสขึ้นราคาซื้อจากตันละ 18,000-20,000 บาทเป็น 22,000 -24,000 บาท และยังจะขึ้นราคาต่อเนื่องขณะนี้ ส่งผลให้มีผู้ทํากําไรจากเหตุการณ์นี้ โดยออกข่าวที่สับสนกับตลาดกว่า 400-600 ล้านบาท
เหตุการณ์นี้ จึงส่งผลตามมาให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังทำให้โครงการหลายแห่งต้องชะลอการดำเนินการหรือเลื่อนโครงการออกไป ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในวงกว้าง
อีกทั้งยังทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างรอดูสถานการณ์การปรับตัวของราคา วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นตามมา เนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความไม่มั่นคงในตลาด ปรากฏตามข้อความโพสต์ในเฟสบุ๊ค (เอกสารหมายเลข 52)
นักลงทุนบางกลุ่มในอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว เป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนักการเมือง ที่สามารถให้คุณและโทษแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กที่ใช้เตาหลอม IF ที่ได้รับมาตรฐาน มอก. ปรากฏตามข้อมูล เผยแพร่สื่อออนไลน์ เอกสารหมายเลข 59
จากคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานของบริษัทฯทั้งหมดนับจากวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เรื่อยมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 7 เดือนเศษ โดยบริษัทฯได้พยายามแก้ไขปัญหาตามที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ร่วมกันสร้างเงื่อนไข สั่งการเพิ่มภาระ เพิ่มขั้นตอน ให้บริษัทฯจําต้องปฏิบัติตามโดยไม่จําเป็นเรื่อยมา
แต่หน่วยงานราชการและกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ยังไม่อนุญาตให้บริษัทฯเปิดดำเนินกิจการโรงงานได้ตามปกติ โดยอ้างเหตุที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โต้แย้งคําขออนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการโรงงานของบริษัทฯตลอดมา บริษัทฯได้รับความเสียหายและขาดประโยชน์อันควรได้ในเชิงพาณิชย์ ดังมีรายละเอียด ดังนี้
1) ปี 2567 ราคาขายเฉลี่ยเหล็กเส้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 18.51 บาท โดยมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 18.20 บาท คิดเป็นกําไรสุทธิต่อกิโลกรัมอยู่ที่ 0.31 บาท
2) บริษัทฯ มียอดขายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 65,000 ตัน = 65,000,000 กิโลกรัม มีกําไรสุทธิเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 20,000,000 บาท
3) บริษัทฯ ได้รับคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดนับจากวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ถึงปัจจุบันเป็น เวลา 7 เดือนเศษ บริษัทฯ ต้องสูญเสียรายได้จากการประกอบการ (กําไรสุทธิ) ประมาณ 140,000,000 บาท
4) ราคาตลาดปัจจุบัน ราคาวัตถุดิบ (เศษเหล็ก) ลดลงจากราคาเฉลี่ยปี 2567 กิโลกรัมละ 13 บาท เหลือ 9 บาท แต่ราคาขายเหล็กเส้นเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 18.51 เป็น 20 บาท คิดเป็นกําไรต่อกิโลกรัมเพิ่มขึ้น 5.5 บาท
5) บริษัทฯ จึงขาดโอกาสในการประกอบการเชิงพาณิชย์ในช่วง 7 เดือน ที่ต้องหยุดประกอบกิจการโรงงาน ทั้งหมดตามคําสั่งดังกล่าว โดยอ้างอิงยอดขายเฉลี่ยเดิม 65,000 ตัน = 65,000,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 2,500,000,000 บาท
6) สรุปภาพรวมความเสียหายที่บริษัทฯได้รับทั้งสองส่วน คิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 2,640,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมเหล็กได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมากเหลือคณานับ ซึ่งข้อเท็จจริงจากการประกอบกิจการโรงงานของบริษัทฯ ตั้งแต่เริ่มประกอบกิจการจนถึงวันที่กลุ่มผู้ถูกกล่าวหาได้ร่วมกันออกคำสั่งให้บริษัทฯหยุดประกอบกิจการทั้งหมดเป็นการชั่วคราวนั้น
หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบและให้การรับรองการประกอบกิจการของบริษัทเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ตลอดมาถึงวันเกิดเหตุที่ถังแก๊สรั่วไหล (18 ธันวาคม 2567)
ไม่เคยปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการผลิตของโรงงานบริษัทฯไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย กฎระเบียบ ที่กำหนด ไว้แต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เคยได้รับแจ้งว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ภายใต้เครื่องหมายการค้า SKY ไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการผลิตไม่ถูกต้อง
บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด จึงขอร้องทุกข์กล่าวโทษให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้โปรดไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง28 คน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อการไต่สวนไปถึงและได้พบการร่วมกระทำผิดด้วย
เหล่านี้เป็นสาระสำคัญของหนังสือคำร้องขอความเป็นธรรมฯของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จํากัด ซึ่งได้ยื่นถึงประธาน ป.ป.ช. และต้องติดตามกันต่อไปว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่?
อ่านประกอบ :
‘ซินเคอหยวน’ร้อง ‘ป.ป.ช.’ไต่สวน‘รมว.อุตฯ-พวก’ปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ทำบริษัทฯสูญ 2.6 พันล.
'เอกนัฏ' ไม่สนผลสอบกรมโยธา เดินหน้าจัดการ 'ซินเคอหยวน' โดนตั้งข้อหา 1,016 คดี
DSI คาดอีก 1-2 สัปดาห์ได้รับรายงานผลตรวจฝุ่นแดง 'ซินเคอหยวน' บริษัทขายเหล็กก่อสร้างตึก สตง.
ซิน เคอ หยวน แถลงข่าวโต้ ก.อุตฯ ยันเหล็กสร้างตึก สตง.ได้คุณภาพ ชี้เหตุถล่มมาจากปัญหาอื่น
กระทรวงอุตฯเตรียมส่งคดี บ.ซินเคอหยวนให้ DSI หลังเอกชนแจงไม่ได้ขายเหล็กให้โครงการตึก สตง.
ส่องซัพพลายเออร์ บ.ซิน เคอ หยวน สตีล พบเคยสั่งเศษเหล็กจากปานามา-แคนาดา รวมนับล้าน กก.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา