
"...ทั้งหมดคือ 4 ฉากทัศน์การเมืองไทย ภายหลัง ‘แพทองธาร’ ตกเก้าอี้จากกรณี ‘คลิปเสียง’ แต่ละสูตรในขณะนี้ ล้วนมี ‘ก๊กน้ำเงิน-ก๊กส้ม’ เป็นตัวแปรสำคัญแทบทั้งสิ้น ส่วนบทสรุปสุดท้ายโฉมหน้านายกฯ-รัฐบาลใหม่จะออกมารูปแบบไหน ต้องติดตามกันต่อไป..."
พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เป็นนายกฯคนที่ 3 จาก ‘ตระกูลชินวัตร’ ที่ต้องพ้นตำแหน่งจากการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อจาก ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ นายกฯคนที่ 26 (พ้นจากตำแหน่งเพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ) และ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ นายกฯคนที่ 28 (พ้นจากตำแหน่งเพราะคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.)

เหตุการณ์ข้างต้นเกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้นมาทันที ส่งผลกระเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล แม้ว่า ‘พรรคเพื่อไทย’ ในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะพยายามฟอร์มทีมเรียกรวมพรรคร่วมฯเดิม มาแถลงข่าวยืนยันว่าจะไปต่อ โดยการโหวต ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ แคนดิเดตนายกฯคนสุดท้ายของ ‘ก๊กแดง’ มาเป็นนายกฯคนที่ 32 ก็ตาม
ทว่าในการเรียกรวมพรรคร่วมฯเมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา กลับปรากฏภาพแค่ 5 พรรคร่วมฯเท่านั้น ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช. กลุ่มของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และเอกนัฏ พร้อมพันธุ์’) พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) และพรรคประชาชาติ ไร้เงาของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่นำโดย ‘ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า’ และพรรคชาติพัฒนาภายใต้ปีก ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’ แต่อย่างใด
ขณะที่ ‘แกนนำฝ่ายค้าน’ อย่าง พรรคประชาชน (ปชน.) แถลงข่าวทันควัน ยืนกราน 3 เงื่อนไขเดิมในการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ นั่นคือ 1.ต้องยุบสภาฯภายใน 4 เดือน 2.ต้องแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เปิดทางตั้ง สสร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 3.พรรค ปชน.จะไม่ส่งคนไปเป็นรัฐมนตรี แต่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไปจนกว่าจะยุบสภาฯ
ในช่วงเวลาเดียวกัน ‘ก๊กน้ำเงิน’ ที่ยังมีคงมากบารมีใน ‘สภาฯสูง’ ได้เดินสาย ‘ดีล’ กลุ่มขั้วการเมืองหลายแห่ง โดยมี ‘สส.ซุ้มมะขามหวาน’ แห่ง ‘พรรคพลังประชารัฐ’ เดินทางมารับประทานอาหารที่พรรคภูมิใจไทย ถัดมากับการออกแอ็คชั่นแต่งตั้ง ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ แกนนำซุ้มมะขาวหวาน มาเป็นเลขาธิการพรรค นอกจากนี้ ‘เสี่ยหนู’ ยังเดินสายไปหารือกับ ‘ก๊กส้ม’ ถึงที่ทำการพรรค ปชน.โดยมี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล-ไชยชนก ชิดชอบ-ภราดร ปริศนานันทกุล’ 3 แกนนำพรรคเดินทางไปด้วยตัวเอง สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองไปยัง ‘ก๊กแดง’ อย่างหนัก
การหารือของ ‘อนุทิน-คณะ’ กับ ‘แกนนำก๊กส้ม’ เป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง สรุปผลออกมาเป็นที่น่าพอใจทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายส้ม ยิ้มแย้มบอกว่า ‘ภูมิใจไทย’ ตอบรับทุกเงื่อนไขของพรรค ส่วน ‘เสี่ยหนู’ ยิ้มร่าออกมาทันทีหลังหารือเสร็จ โดยยืนยันพร้อมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน (ปชน.) ทุกข้อ
การแข่งขันจัดตั้งรัฐบาลระหว่าง ‘ก๊กแดง’ และ ‘ก๊กน้ำเงิน’ โดยมี ‘ก๊กส้ม’ เป็นตัวแปรสำคัญ กลับมาดุเดือดอีกครั้งในรอบ 2 ปีภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านนายกฯมาแล้วถึง 2 คนคือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯคนที่ 30 และ ‘แพทองธาร’ นายกฯคนที่ 31 มีพรรคการเมืองถูกยุบไปแล้ว 1 พรรคคือ พรรคก้าวไกล (ยานพาหนะคันเก่าของพรรค ปชน.)
กลับมาดูสมการการเมืองในสภาฯ ณ เวลานี้ พบว่า สส.ในสภาฯมีจำนวน 492 คน โดยเหลือรอเลือกตั้งซ่อม สส. 2 พื้นที่คือ สส.เชียงราย (แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พรรคเพื่อไทย อดีตรองประธานสภาฯ คนที่ 1) และ สส.ศรีสะเกษ (แทนนายอมรเทพ สมหมาย พรรคเพื่อไทย)
อย่างไรก็ดีหากแบ่งขั้วในปัจจุบัน ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดี ‘แพทองธาร’ และ ‘เพื่อไทย’ นัดรวมพลังพรรคร่วมฯเมื่อคืนวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา จะพบว่า ฝ่ายรัฐบาลเดิมเหลืออยู่เพียง 196 เสียง ได้แก่
1.พรรคเพื่อไทย 130 เสียง
2.พรรครวมไทยสร้างชาติ 18 เสียง (กลุ่ม ‘หัวหน้าพี-เลขาฯขิง’)
3.พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง
4.พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
5.พรรคประชาชาติ 9 เสียง
6.กลุ่มงูเห่าหนุน ‘ก๊กแดง’ 4 เสียง ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย 1 เสียงคือ น.ส.ประภา เฮงไพบูลย์ และจากพรรคไทยสร้างไทย 3 เสียงคือ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ นางสุภาพร สลับศรี)
ส่วนฝ่ายค้านที่มีการดีลรวมขั้วการเมืองกันใหม่ จะมี 238 เสียง ได้แก่
1.พรรคประชาชน 142 เสียง (งูเห่า 1 เสียงคือ น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี หนุน ‘กล้าธรรม’)
2.พรรคภูมิใจไทย 68 เสียง (งูเห่า 1 เสียงคือ น.ส.ประภา เฮงไพบูลย์ หนุน ‘เพื่อไทย’)
3.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 17 เสียง (งูเห่า 3 เสียงคือ น.ส.กาญจนา จังหวะ นายปริญญา ฤกษ์หร่าย และนายอนันต์ ผลอำนวย หนุน ‘ก๊กน้ำเงิน’)
4.พรรคเป็นธรรม 1 เสียง
5.พรรคไทยสร้างไทย เหลือ 1 เสียง (งูเห่า 2 ขั้ว 5 คน แบ่งเป็น งูเห่าฝ่ายเพื่อไทย 3 คนคือ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ นางสุภาพร สลับศรี งูเห่า ‘ก๊กน้ำเงิน’ 2 คนคือ หรั่ง นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ และนายหรั่ง ธุระพล)
6.กลุ่มพรรคเล็ก 4 เสียง ได้แก่ พรรคไทยรวมพลัง 2 เสียง พรรคไทก้าวหน้า 1 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง
7.กลุ่มงูเห่าหนุน ‘ก๊กน้ำเงิน’ 5 เสียงคือ จาก พปชร. 3 เสียง จากไทยสร้างไทย 2 เสียง
ฝ่ายตัวแปร (พร้อมร่วมได้หมดตามดีล) 58 เสียง ได้แก่
1.พรรคกล้าธรรม 25 เสียง
2.พรรค รทสช. 18 เสียง (กลุ่ม 18 นำโดย ‘เสี่ยเฮ้ง’ สุชาติ ชมกลิ่น)
3.งูเห่าจากพรรคเพื่อไทย 10 เสียง (กลุ่ม สส.ภาคกลาง ภาคตะวันตก)
3.พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง
4.พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
5.กลุ่มงูเห่า ‘ก๊กผู้กอง’ 1 เสียงมาจากพรรค ปชน.
สำหรับ 4 สมการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
1.กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิม 196 เสียง ยังกลับมาจูบปากกับฝ่ายตัวแปร 58 เสียง รวมเป็น 254 เสียง นั่นคือกลับไปเป็นรัฐบาลเซตเดิมเหมือนในยุค ‘แพทองธาร’ โดยเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ สุ่มเสี่ยงสภาฯล่มได้ตลอดเวลา และโหวตเลือก ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ แคนดิเดตเพื่อไทยคนสุดท้ายเป็นนายกฯ

2.กลุ่มฝ่ายค้านใหม่ ที่นำโดย ‘ก๊กน้ำเงิน-ก๊กส้ม’ ดีลจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไข 4 เดือนยุบสภาฯ 238 เสียง ไปรวมกับฝ่ายตัวแปร 58 เสียง (มี ‘งูเห่า’ เพื่อไทยมาอีก 10 เสียง กลุ่ม สส.ภาคกลาง และตะวันตก) รวมเป็น 296 เสียง กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในทันที พร้อมกับสานฝันโหวต ‘อนุทิน’ นั่งเก้าอี้นายกฯ แนวโน้มนี้ กำลังเป็นกระแสมาแรงอยู่ในปัจจุบัน และ ‘ภูมิใจไทย’ ประกาศพร้อมจัดตั้งรัฐบาลไปแล้วคืนวาน (29 ส.ค.)
อนุทิน ชาญวีรกูล
ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคกล้าธรรม เมื่อ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา มติที่ประชุม เห็นชอบให้เข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทยด้วย
อย่างไรก็ดีล่าสุด ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ แถลงข่าวที่โรงแรมคอนราด Bangkok ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ขณะนี้พรรคประชาชน ยังไม่ได้ตัดสินใจไปในทางหนึ่งทางใดว่า จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะต้องใช้การตัดสินใจของผู้บริหารพรรคและ สส. โดยจะมีการประชุมกันในวันที่ 1 ก.ย.นี้
3.พรรคเพื่อไทย 140 เสียง และพรรค ปชน. 142 เสียง กลับมาดีลกันอีกครั้ง เพื่อผ่าทางตันการเมือง โดยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รวมเสียง 282 เสียง และพร้อมดึงฝ่ายตัวแปรมาเพิ่มเติมอีก โดยแนวโน้มนี้ ว่ากันว่าเริ่มมีการต่อสายดีลลับหลังม่านกันแล้วระหว่าง ‘นายใหญ่’ และ ‘ผู้นำจิตวิญญาณส้ม’ โดยมีการทวงสัญญา ‘ปฏิญญาฮ่องกง’ ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา และพรรคส้มพร้อมโหวต ‘ชัยเกษม’ เป็นนายกฯผ่าทางตันไปก่อน โดยแนวโน้มนี้มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากสัญญาณจาก ‘ก๊กแดง’ มาแรงมากในวันนี้ (30 ส.ค.) มีรายงานว่า ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ จะต่อสายคุยโดยตรงกับ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ถึงความเป็นไปได้ในการเชิญ ‘ก๊กส้ม’ มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่อาจมีเงื่อนไขยืดการยุบสภาออกไปจาก 4 เดือน เป็น 6 เดือน
ภาพนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.เพื่อไทย และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อเดือน พ.ค. 2566
4.พรรคร่วมรัฐบาลเดิม 196 เสียง ไปรวมกับฝ่ายยังไม่ตกลงกับใคร 58 เสียง และดึง พปชร. 17 เสียง ภูมิใจไทย 68 เสียง พร้อมกลุ่มงูเห่าต่าง ๆ อีก 5 เสียง รวมเป็น 344 เสียง จัดตั้งรัฐบาลโดยดันแคนดิเดตนายกฯจาก รทสช. ที่เหลือ 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค โดยการรวมขั้วครั้งนี้จะทำให้เสถียรภาพรัฐบาลกลับไปแข็งแกร่งดังเดิมเหมือนยุค ‘เศรษฐา’ อย่างไรก็ดี แนวโน้มนี้เป็นไปได้ยากมาก ยกเว้นมี ‘สัญญาณพิเศษ’ บางอย่าง
5.รักษาการนายกฯ ตัดสินใจ ‘ยุบสภาฯ’ รีเซ็ตกระดานการเมือง กลับไปเริ่มต้นกันใหม่จากการเลือกตั้ง วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีท้ายที่สุดที่ ‘ก๊กแดง’ ตัดสินใจจะทำ เนื่องจากช่วงเวลานี้ ยังไม่พร้อมทั้ง ‘กระแส-กระสุน’ ที่จะไปสู้ศึกเลือกตั้ง หากทำตอนนี้ จะเข้าทาง ‘ก๊กส้ม’ ที่กำลังกระแสสูง รวมถึง ‘ก๊กน้ำเงิน’ ที่ยังมากบารมีในท้องถิ่นอยู่
ทว่าในสูตรที่ 5 ดังกล่าว ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในเชิงนิติศาสตร์ว่า สามารถทำได้หรือไม่ เพราะบางแหล่ง เช่น ‘วิษณุ เครืองาม’ เนติบริกรระดับครุฑ เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าทำได้ แต่อีกฝ่าย เช่น ‘จรัญ ภักดีธนากุล’ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ช่ำชองกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ว่า ทำไม่ได้ เป็นต้น
แต่ต้องไม่ลืมว่า ในบรรดาสมการการเมืองข้างต้นนั้น ยังเหลือตัวแปรสำคัญอีก 1 เช่นกัน นั่นคือ 9 ก.ย. 2568 ที่ศาลฎีกา จะนัดฟังคำสั่ง กรณีบังคับโทษจำคุก ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ต้องรอดูว่าหลังจาก ‘ก๊กแดง’ ชนะ 1 (ยกฟ้องคดี ม.112 ทักษิณ) พ่าย 1 (แพทองธาร ตกเก้าอี้) เหลือคดีนี้เท่านั้นจะเป็นจุดชี้ชะตาการเมืองไทยว่าจะเดินไปทิศทางไหนต่อ
ทั้งหมดคือ 4 ฉากทัศน์การเมืองไทย ภายหลัง ‘แพทองธาร’ ตกเก้าอี้จากกรณี ‘คลิปเสียง’ แต่ละสูตรในขณะนี้ ล้วนมี ‘ก๊กน้ำเงิน-ก๊กส้ม’ เป็นตัวแปรสำคัญแทบทั้งสิ้น ส่วนบทสรุปสุดท้ายโฉมหน้านายกฯ-รัฐบาลใหม่จะออกมารูปแบบไหน ต้องติดตามกันต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา