
มาแล้วกรณีตัวอย่าง! เปิดคำพิพากษาฉบับเต็มคดี ‘กัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี -เบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล’ 2 ผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด ชลบุรี ฮั้วลงคะแนนเลือก สว. สั่งเพิกถอนสิทธิสมัคร 10 ปี ละเอียดยิบ ส่งข้อความสนทนาในไลน์ ‘จู –หมอJeab^-^Bj’ “เราเป็นเนื้อคู่ กันแน่เลยค่ะ มาจับคู่เลือกกันนะคะอาทิตย์นี้” - “ยินดี ค่ะ จับมือกันแน่นะคะ” อ้างยกเลิกหลังทราบในกลุ่มว่ากระทำผิด พยานหลักฐานมัดฟังไม่ขึ้น ชี้ไม่สุจริตเที่ยงธรรม
เมื่อวันที่ 5 เดือน สิงหาคม 2568 ศาลฎีกา มีคำพิพากษา ความคดีเลือกตั้ง ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง นางสาวกัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี ผู้คัดค้าน ที่ 1 นางสาวเบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล ที่ 2
เรื่อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
กรณี ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนคะแนนกันหรือสมยอมกัน ในการลงคะแนนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นการแนะนำตัวที่มิได้เป็นการปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการเลือกตั้งกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 1 และผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 8 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 นางสาวฉันทนีย์ ตั้งธนปารมีย์ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 4 ให้ถ้อยคำว่า มีการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งใช้ชื่อว่า “G 4/8 กัญจน์ปรียา” กับผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งใช้ชื่อว่า “หมอJeab^-^Bj” โดยผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ว่า “จูยังไม่มีคู่ ขอแนะนำตัวค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 1 ว่า “หมอกำลังหา อยู่พอดีเลยค่ะ” “ขอโทษที่ตอบไลน์ช้า พอดีติดธุระอยู่ค่ะ” “เราเป็นเนื้อคู่กันแน่เลยค่ะ มาจับคู่เลือกกันนะคะ... อาทิตย์นี้” ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ว่า “ยินดีค่ะ จับมือแน่นะคะ” บทสนทนาดังกล่าวเป็นการจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้คัดค้านทั้งสอง เป็นการสมยอมลงคะแนนให้แก่กันโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยมิได้ลงคะแนนเลือกกันเองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 107 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 11 และมาตรา 13 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ซึ่งกำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้การเลือกกันเองเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ศาลวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการกระทำอันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี อันทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนางสาวกัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี ผู้คัดค้านที่ 1 และนางสาวเบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นระยะเวลา 10 ปี นับแต่ วันที่มีคำพิพากษา สำนักข่าวอิศรานำคำพิพากษามารายงานดังนี้
@ เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม
คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ลต สว 1 /2568 คดีหมายเลขแดงที่ ลต สว 47/2568 ศาลฎีกา วันที่ 5 เดือน สิงหาคม พุทธศักราช 2568 ความคดีเลือกตั้ง
ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง
นางสาวกัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี ผู้คัดค้าน ที่ 1 นางสาวเบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล ที่ 2
เรื่อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า สืบเนื่องมาจากมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ให้ไว้ ณ วันที่ 24 เมษายน 2567 และผู้ร้องได้มีประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เรื่อง กำหนดวันเลือกและวันรับสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา กำหนดวันเลือกระดับอำเภอวันที่ 9 มิถุนายน 2567 วันเลือกระดับจังหวัดวันที่ 16 มิถุนายน 2567 และวันเลือกระดับประเทศวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 1 และผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 8
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ก่อนประกาศผลการเลือก ผู้ร้องได้รับคำร้องว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนคะแนนกันหรือสมยอมกัน ในการลงคะแนนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นการแนะนำตัวที่มิได้เป็นการปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการเลือกตั้งกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567
ผู้ร้องไต่สวนแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 นางสาวฉันทนีย์ ตั้งธนปารมีย์ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 4 ให้ถ้อยคำว่า มีการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งใช้ชื่อว่า “G 4/8 กัญจน์ปรียา” กับผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งใช้ชื่อว่า “หมอJeab^-^Bj” โดยผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ว่า “จูยังไม่มีคู่ ขอแนะนำตัวค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 1 ว่า “หมอกำลังหา อยู่พอดีเลยค่ะ” “ขอโทษที่ตอบไลน์ช้า พอดีติดธุระอยู่ค่ะ” “เราเป็นเนื้อคู่กันแน่เลยค่ะ มาจับคู่เลือกกันนะคะ... อาทิตย์นี้” ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ว่า “ยินดีค่ะ จับมือแน่นะคะ”
ซึ่งจากการไต่สวนผู้คัดค้านทั้งสองให้ถ้อยคำรับว่า บทสนทนาดังกล่าวเป็นการจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้คัดค้านทั้งสอง เป็นการสมยอมลงคะแนนให้แก่กันโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยมิได้ลงคะแนนเลือกกันเองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 107 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 11 และมาตรา 13 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ซึ่งกำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้การเลือกกันเองเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยผู้สมัครสามารถกระทำได้เกี่ยวกับการแนะนำตัวว่า ตนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานในด้านที่สมัครตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ผู้สมัครนำข้อมูลดังกล่าวไปประกอบการตัดสินใจลงคะแนน โดยให้ใช้วิธีลงคะแนนลับ มิใช่การสมยอมกันจับคู่หรือการแลกเปลี่ยนคะแนนดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำอันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว เมื่อพิจารณาภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์การสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างผู้คัดค้านทั้งสอง และถ้อยคำของนางสาวปริยากร ศิวิวงศ์ ว่า นางสาวปริยากรพิมพ์ข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์ของผู้คัดค้านที่ 1 ว่า “พัส เป็นคนพิมพ์ นะค่ะ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอบคุณนางสาวฉันทนีย์ เพราะเข้าใจว่านางสาวฉันทนีย์ลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ในการลงคะแนนเลือกผู้สมัครกลุ่มเดียวกัน และเป็นการขอโทษที่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้ลงคะแนน ให้แก่นางสาวฉันทนีย์ เนื่องจากผู้คัดค้านที่ 1 เจรจากับผู้สมัครอื่นทุกคนแล้ว ประกอบกับคำพิพากษา ศาลฎีกาที่ 5217/2562 วินิจฉัยว่า การแลกเปลี่ยนคะแนนให้แก่กัน ถือได้ว่าเป็นการแนะนำตัว ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 36 วรรคหนึ่ง และมาตรา 70 วรรคหนึ่ง และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ข้อ 57 ข้อ 64 และ ข้อ 132 การกระทำดังกล่าวทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 และมาตรา 62 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 11 (1) (6) ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือกอันทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 62 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัว ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 11 (1) (6)
@ยื่นคัดค้านอ้างข้อความในไลน์ แค่สนทนาปกติอย่างคนรู้จัก โดยเสน่หา บริสุทธิ์ใจ
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36, 62, 70 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งใช้ชื่อบัญชีว่า “G 4/8 กัญจน์ปรียา” สนทนากันทางแอปพลิเคชันไลน์กับผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งใช้ชื่อว่า “หมอJeab^-^Bj” เวลา 14.23 นาฬิกา ถึง เวลา 15.53 นาฬิกา ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งรูปภาพเอกสารใบแนะนำตัว สว.3 และโปสเตอร์แนะนำตัว แล้วส่งข้อความว่า “จูไม่มีคู่ ขอแนะนำตัวค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ส่งข้อความว่า “สวัสดีค่ะ...คุณจู” “หมอกำลังหา อยู่พอดี” “ขอโทษที่ตอบไลน์ช้า พอดีติดธุระอยู่ค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ส่งรูปภาพเอกสารใบแนะนำตัว สว.3 และโปสเตอร์แนะนำตัว ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความว่า “สวัสดีค่ะคุณหมอ ดีใจจังค่ะ” และผู้คัดค้านที่ 2 ส่งข้อความว่า “เราเป็นเนื้อคู่ กันแน่เลยค่ะ มาจับคู่เลือกกันนะคะอาทิตย์นี้” ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความว่า “ยินดี ค่ะ จับมือกันแน่นะคะ”
การสนทนาระหว่างผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการพูดคุยสื่อสารกันตามปกติอย่างคนรู้จักกันโดยเสน่หาและบริสุทธิ์ใจ ไม่มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาเป็นการแนะนำตัวในฐานะผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ผู้สมัครอื่นรู้จัก การที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 3 บทนิยามคำว่า “แนะนำตัว” และข้อบัญญัติ ที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการและเงื่อนไขในการแนะนำตัวและข้อห้ามในการแนะนำตัวของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ส่งผลให้การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสอง ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่กำหนดให้การกระทำนั้นเป็นความผิดไว้โดยชัดแจ้งหรือการแนะนำตัวลักษณะใดเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 ประกอบมาตรา 70 ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจึงมีสิทธิเสรีภาพที่จะแนะนำตัวรวมถึงสนทนากันตราบเท่าที่ไม่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลย่อมเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “...การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมี เสรีภาพที่จะทำการนั้นได้...” ดังนั้นเมื่อไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการ และข้อห้ามเกี่ยวกับการแนะนำตัวของผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาไว้โดยชัดแจ้ง การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่ใช่การกระทำที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นความผิด ดังนั้นเมื่อศาลปกครองกลางพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ข้อ 7 และ ข้อ 8 ทำให้การตกลงแลกเปลี่ยนหรือตกลงเลือกกันและกันของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดห้ามปฏิบัติหรือฝ่าฝืนไว้โดยชัดแจ้ง และไม่เป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 11 (1) (6) การที่ผู้ร้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านทั้งสองสมยอมลงคะแนน ให้แก่กันโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนน เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยมิได้เป็นไป ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 107 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 11 และ มาตรา 13 ไม่ถูกต้อง เนื่องจากบทบัญญัติของหลักการหรือกระบวนการขั้นตอนไม่ใช่ข้อห้ามให้การตกลงแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นความผิดไว้โดยชัดแจ้ง จึงไม่สามารถนำเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวมาเป็นฐานความผิดได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองมีเพียงการสนทนากันโดยความเสน่หา โดยไม่ปรากฎหลักฐานว่า มีการตกลงเรียกรับผลประโยชน์ในทางทรัพย์สินกัน จึงถือไม่ได้ว่า การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการ ดังกล่าวเพราะเชื่อโดยสุจริตว่า การตกลงแลกเปลี่ยนคะแนนกันไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย และเมื่อไม่มีการให้เงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนในทางทรัพย์สิน จึงไม่ใช่การกระทำอันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ภายหลังจากศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 แล้ว นายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊กเผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 ต่อกรณีศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนระเบียบ คณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ข้อ 7 และข้อ 8 โดยสรุปว่า การแนะนำตัวแบบขอคะแนนหรือแลกเปลี่ยนคะแนนจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 ส่วนการใช้อำนาจตามมาตรา 77 ไม่ใช่กฎหมายที่กำหนดเรื่องการฮั่ว การจัดตั้ง หรือแนะนำตัวในกฎหมายไว้โดยตรง วันที่ 2 มิถุนายน 2567 โดยสรุปว่า เมื่อระเบียบเกี่ยวกับนิยามแนะนำตัว ถูกเพิกถอน (เป็นเครื่องมือที่ สนง.ออกแบบมาเพื่อใช้ในการดูแลแนะนำตัว และการเลือกสว. ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเสมอภาคกัน ระหว่างผู้สมัครตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ผู้สมัครจะแนะนำตัวเองได้ตามที่นิยามไว้ ถ้าเกินกว่านั้น ก็จะถือเป็นการแนะนำตัวไม่เป็นตามกฎมายและระเบียบ อาทิ การจัดตั้ง การฮั้วการขอคะแนน การแลกคะแนน ถือว่าเป็นการแนะนำตัวไม่เป็นไปตามระเบียบ ก็จะเป็นความผิด) ผู้สมัครก็สามารถแนะนำตัวเท่าที่ไม่ขัดตามข้อกฎหมายได้ เมื่อไม่มีเครื่องมืองานเรายากขึ้นแน่ แต่เราจะทำให้ดีที่สุด วันที่ 13 มิถุนายน 2567 นายแสวงตอบคำถามสื่อมวลชนว่า ในการเลือก สว. เดิมเรามีกฎหมายที่จะดำเนินการ 2 ฉบับ คือกฎหมายเลือก สว. และระเบียบที่อยู่ในนิยามของการแนะนำตัวได้เท่านั้น ถ้าเกินกว่านี้ไม่ได้ เพราะศาลฎีกาวางแนวทางเอาไว้แล้วว่า การขอคะแนน แลกคะแนนทำไม่ได้ แต่ระเบียบนี้ถูกยกเลิกไป เหลือเพียงกฎหมายที่จะเอามาบังคับได้อย่างเดียว คือมาตรา 77 ต้องให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ถึงจะเข้าเงื่อนไขกฎหมาย ซึ่งถ้าดูตามพฤติการณ์ที่ผ่านมา ชักชวนกันมา แนะนำตัวเพื่อให้เขาเลือก สามารถทำได้แล้ว เพราะนิยามการแนะนำตัวตามระเบียบฯ มันถูกยกเลิกไป หลังจากนั้นประมาณ วันที่ 20 และวันที่ 21 มิถุนายน 2567 นายแสวงให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนว่า การขอคะแนนและการแลกเปลี่ยนคะแนนไม่เป็นความผิดว่าด้วยการแนะนำตัวอีกแล้ว ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาสามารถทำได้
@หลังทราบ เป็นความผิด โทร.ไลน์ยกเลิกแลกเปลี่ยนคะแนน ถือเป็นเจตนาบริสุทธิ์กลับใจไม่กระทำผิด - ขอให้ยกคำร้อง
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทราบจากไลน์กลุ่ม ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาว่า การแลกคะแนนเป็นความผิด ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 โทรศัพท์ทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อขอยกเลิกการตกลงแลกเปลี่ยนคะแนนกัน โดยเจตนาบริสุทธิ์ที่จะยับยั้งกลับใจไม่กระทำสิ่งที่เข้าใจว่ายังเป็นความผิดอยู่ ข้อความที่นางสาวปริยากร ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่และบัญชีแอปพลิเคชันไลน์ของผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความให้นางสาวฉันทณีย์ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง การตกลงเลือกผู้สมัครคนหนึ่งและแจ้งต่อผู้สมัครคนนั้นว่าตนจะเลือก โดยไม่ได้มีการเรียกรับผลประโยชน์ในทางทรัพย์สิน แม้เป็นการแจ้งให้ทราบ ก่อนวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาในระดับอำเภอและ/หรือระดับจังหวัดไม่ทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภา เป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยตามสมควรให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า ไม่ได้กระทำการทุจริตการเลือก อันทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภามิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 ขอให้ยกคำร้อง
@ใช้บัญชีไลน์คนอื่นส่งข้อความจับคู่
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ให้ไว้ ณ วันที่ 24 เมษายน 2567 และผู้ร้องได้มีประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เรื่อง กำหนดวันเลือกและวันรับสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา กำหนดวันเลือกระดับอำเภอวันที่ 9 มิถุนายน 2567 วันเลือกระดับจังหวัดวันที่ 16 มิถุนายน 2567 และ วันเลือกระดับประเทศวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 1 และผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 หมายเลข 8
ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งใช้ชื่อว่า “G 4/8 กัญจน์ปรียา” กับผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งใช้ชื่อว่า “หมอJeab^-^Bj” สนทนากันทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ว่า “จูยังไม่คู่ ขอแนะนำตัวค่ะ” ผู้คัดค้านที่ 2 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 1 ว่า “หมอกำลังหา อยู่พอดีเลยค่ะ” “ขอโทษที่ตอบไลน์ช้า พอดีติดธุระอยู่ค่ะ” “เราเป็นเนื้อคู่กันแน่เลยค่ะ มาจับคู่เลือกกันนะคะ...อาทิตย์นี้” ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ว่า “ยินดีค่ะ จับมือแน่นะคะ” ตามภาพถ่าย ข้อความการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 108 ถึงหน้าที่ 113
และ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567 นางสาวปริยากร ศิวิวงศ์ ใช้บัญชีแอปพลิเคชันของผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงนางสาวฉันทนีย์ ตั้งธนปารมีย์ว่า
“พัส เป็นคนพิมพ์นะค่ะ สวัสดีค่าคุณหมอ จูกลับมาแล้ว หลับไปเลย จูป่วยมากเพราะทำงานหนักเกือบทุกคืน อาทิตย์ที่ผ่านมาเรื่องแนะนำตัวกับทุกคน จนไข้ขึ้น 38.3 องศา เมื่อคืนนอน 03.30 - 05.30 น. จึงกลับมาหลับทันที พอจูตื่นแล้วเล่าว่า คุณหมอมอบให้ 1 แต่ไม่แน่ใจว่า คุณหมอโกรธที่จูไม่ได้มอบให้คืนหรือเปล่า ขออธิบายว่า วันที่เราคุยกัน 12/6/24 เหมือนคุณหมอยังไม่ได้ตกลงใจ พอวันต่อมาก้อได้ทักแนะนำตัวกับคุณหมอเจี๊ยบ พอดีไปขอเบอร์หมออนันต์มา เพิ่งส่งมาวันที่ 13/6/2024 เพิ่งได้แอดไลน์แล้วคุยแนะนำตัวมา แล้วหมอเจี๊ยบก้อต้องการเป็นบัดดี้พอดีจึงตกลงกันทันที พอมาวันนี้จึงไม่แน่ใจว่า คุณหมอจะโกรธจู หรือป่าว พอดีคุณหมอยังไม่ได้คุยเรื่องนี้แบบจริงจังกับจู พัสจึงอยากชี้แจงเรื่องราวค่ะ ถ้าทำให้เข้าใจผิด ต้องขออภัย แต่ถ้าคุณหมอยินดีมอบให้ ขอบคุณมากค่ะ เราแบกความหวัง และเจตนารมณ์ของคุณหมอไปด้วยค่ะ และจะพยายามทำให้เต็มที่ ที่สุดค่ะ ขอบคุณค่ะ” ตามเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 59
@ศาลตั้งประเด็นวินิจฉัย ผู้คัดค้าน สมยอม จับคู่ แลกเปลี่ยนคะแนนกันจริงไหม?
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกัน เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่
ทางไต่สวนได้ความจากนายณัฐกรณ์ บัลนาลังค์ พยานผู้ร้องว่า พยานได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ตามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 15 ถึงหน้าที่ 18 ว่า หลังจากสืบสวนและไต่สวนพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้วได้ความว่า
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็นวันก่อนวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ จับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกับผู้คัดค้านที่ 2 ตามภาพถ่ายข้อความการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 108 ถึงหน้าที่ 113 และวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ภายหลังจากการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรีเสร็จสิ้นแล้ว นางสาวปริยากร ศิวิวงศ์ ใช้บัญชีทางแอปพลิเคชันไลน์ของผู้คัดค้านที่ 1 พิมพ์ข้อความสนทนาส่งไปหานางสาวฉันทนีย์ ตั้งธนปารมีย์ ตามเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 59 จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้คัดค้านทั้งสองมีพฤติการณ์สมยอมจับคู่ แลกคะแนนกันเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 62 และมาตรา 70 ตามรายงานการสืบสวนและไต่สวนเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 182 ถึงหน้าที่ 198
ส่วนผู้คัดค้านทั้งสองอ้างตนเองเป็นพยานเข้าไต่สวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนากันทางแอปพลิเคชันไลน์โดยผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความ ถึงผู้คัดค้านที่ 2 ตามภาพถ่ายข้อความการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 108 ถึงหน้าที่ 113 จริง แต่เป็นการสนทนาจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันระหว่างผู้คัดค้านทั้งสองโดยสุจริตเพราะเข้าใจว่าไม่เป็นความผิดต่อกฎหมาย เนื่องจากนายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณชนว่า การขอคะแนนหรือแลกคะแนนเลือกกันและกัน ไม่เป็นความผิดตามที่มีคำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีหมายเลขแดงที่ 971-972/2567 พิพากษาให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ข้อ 7 และข้อ 8 กรณีจึงไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดองค์ประกอบหรือเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติในการแนะนำตัว ทั้งข้อความที่ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนากันทางแอปพลิเคชันไลน์ดังกล่าว เป็นการสนทนากันตามปกติ ไม่ได้มีเจตนาหรือวัตถุประสงค์ที่จะแนะนำตัว เพราะการแนะนำตัวเสร็จสิ้นไปแล้ว นับแต่ผู้คัดค้านทั้งสองส่งเอกสารแนะนำตัวทางแอปพลิเคชันไลน์ เมื่อไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า มีการตกลงเรียกรับผลประโยชน์ทางทรัพย์สิน ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนากันโดยเสน่หาไม่อาจตีความว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62
@พยานหลักฐานมีน้ำหนักมาก มีเหตุอันควรเชื่อ สมยอม จับคู่ แลกเปลี่ยนคะแนนกัน
เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนากันทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความถึงผู้คัดค้านที่ 2 ตามภาพถ่ายข้อความการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 108 ถึงหน้าที่ 113 และได้ความจากทางไต่สวนของผู้ร้องว่า นางสาวฉันทนีย์เคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ผู้คัดค้านที่ 1 ส่งข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์ขอนัดสนทนาเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน 2567 นางสาวฉันทนีย์พบกับผู้คัดค้านที่ 1 ที่ร้านอาหารชื่อ “บอกต่อ” วันดังกล่าวผู้คัดค้านที่ 1 เดินทางมากับ นางสาวปริยากร นางสาวฉันทนีย์พูดคุยกับผู้คัดค้านที่ 1 ทำนองว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ขอให้นางสาวฉันทนีย์ ไปพูดคุยกับนาวาเอกถาวร น้อยธิ เพื่อขอให้ลงคะแนนเลือกผู้คัดค้านที่ 1 และนางสาวฉันทนีย์ คนละ 1 คะแนน แต่นางสาวฉันทนีย์ปฏิเสธ ต่อมาวันที่ 16 มิถุนายน 2567 นางสาวปริยากรส่งข้อความสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ถึงนางสาวฉันทนีย์ตามเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 59 พร้อมส่งภาพถ่ายการสนทนาระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ทางแอปพลิเคชันไลน์เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 23 ถึง หน้าที่ 25 ให้แก่นางสาวฉันทนีย์ตามบันทึกถ้อยคำผู้ร้องเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 38 ถึงหน้าที่ 41 เจือสมกับข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านที่ 1 และนางสาวปริยากรเคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่า นางสาวปริยากรเป็นผู้บันทึกภาพหน้าจอการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ของผู้คัดค้านทั้งสอง ในวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แล้วส่งภาพการสนทนาดังกล่าวให้นางสาวฉันทนีย์ดู ซึ่งบทสนทนาดังกล่าวเป็นการพูดคุยกันเพื่อสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกัน ตามบันทึก ถ้อยคำผู้ถูกร้องเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 79 หน้าที่ 129 ถึงหน้าที่ 131
อีกทั้งผู้คัดค้านทั้งสอง เบิกความรับว่า การสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ตามภาพถ่ายดังกล่าวเป็นการตกลงสมยอม โดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกัน แม้ในชั้นพิจารณานางสาวฉันทนีย์มิได้เข้าเบิกความเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตาม แต่ไม่ได้ทำให้พยานหลักฐานของผู้ร้องถึงขนาดรับฟังไม่ได้
นอกจากนี้ ยังได้ความจากนายณัฐกรณ์พยานผู้ร้องว่า การสมยอมจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้ผลประโยชน์เป็นคะแนนเพื่อทำให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ยิ่งทำให้ พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองสมยอม โดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันในการลงคะแนน เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัดจังหวัดชลบุรี กลุ่ม 4
@ ชี้ยกเลิกสมยอมจับคู่ แลกเปลี่ยนคะแนน กล่าวอ้างลอย ๆ
ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสองโต้แย้งในคำคัดค้านและนำสืบอ้างว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 นายอานันท์ อินทรารักษ์สกุล พี่ชายของผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ดูแลแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มชื่อ “ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี” ให้ความรู้ว่าห้ามแลกเปลี่ยนคะแนนกัน ห้ามหาเสียง ห้ามขอคะแนน ห้ามบอกนโยบายที่จะเข้าไปทำหากได้รับเลือก ผู้คัดค้านทั้งสองจึงโทรศัพท์ทางแอปพลิเคชันไลน์พูดคุยกันว่า จากการที่นายอานันท์พูดเมื่อคืนการแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นความผิด ดังนั้นเราอย่าทำแบบนั้นเลย ที่ตกลงกันขอให้ยกเลิกนั้น
เห็นว่า ที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่า ได้มีการยกเลิกการสมยอมจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ทั้งได้ความตามทางไต่สวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านที่ 2 ลงคะแนนให้ผู้คัดค้านที่ 1 ยิ่งเป็นการสนับสนุนทำให้พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักเชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองลงคะแนนให้กันและกันตามที่สมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันตามที่ตกลงกันไว้
ที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่าเป็นการลงคะแนนภายหลังจากผู้คัดค้านทั้งสอง ยกเลิกการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันแล้วและเป็นการตัดสินใจเลือกกันโดยอิสระและพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสำคัญนั้น เป็นการง่ายต่อการกล่าวอ้าง ข้ออ้างดังกล่าว จึงเป็นพิรุธไม่สมเหตุสมผล ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกัน เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี
@พฤติการณ์ชัด ฮั้วลงคะแนน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 หรือไม่
ผู้ร้องมีนายณัฐกรณ์ บัลนาลังค์ ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดชลบุรี ดำเนินการอบรมให้ความรู้แก่ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี ที่โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ โดยมีการให้ข้อมูลว่า ศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยว่า การแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นการกระทำอันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และจากการรวบรวมพยานหลักฐานในชั้นคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีเหตุอันควรเชื่อว่า การสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันของผู้คัดค้านทั้งสองทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับคะแนนซึ่งกันและกันเป็นผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี กลุ่มที่ 4 แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแต่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีความเห็นว่า การสมยอมโดยจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการกระทำอันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามรายงานการสืบสวนและไต่สวนเอกสารหมาย ร.ค. 1 หน้าที่ 182 ถึงหน้าที่ 195 ทั้งได้ความตามทางไต่สวนว่า ในการเลือกระดับจังหวัดผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับคะแนนจากการเลือกตนเอง 1 คะแนน จากผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 1 คะแนน และจากนางสาวฉันทนีย์ 1 คะแนน รวม 3 คะแนน และผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับคะแนนจากการเลือกตนเอง 1 คะแนน และจากผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 1 คะแนน รวม 2 คะแนน เป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้ได้รับคะแนนสูงสุด เรียงตามลำดับห้าคนแรกเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มสาธารณสุข กลุ่มที่ 4 ตามประกาศ ผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี เรื่อง ผลการนับคะแนนในการลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน กลุ่มที่ 4 เอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 8 พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่า การสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรายอื่น ทำให้ผู้สมัครรายอื่นได้รับความเสียหายและไม่เป็นธรรม และทำให้เจตนารมณ์ของการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่กำหนดให้ผู้สมัครเลือกกันเองภายในกลุ่มตามวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ซึ่งต้องการคนดีและบุคคลที่เหมาะสมซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญประสบการณ์ อาชีพ หรือการทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม เพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนในวุฒิสภาเสียไป
@ทุจริตเลือก สว. ทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม
เมื่อข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางไต่สวนของผู้ร้อง ประกอบกับคำรับของผู้คัดค้านทั้งสอง และพฤติการณ์แห่งคดีดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ย่อมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า การที่ผู้คัดค้านทั้งสองสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสมาชิก ทั้งนี้การกระทำอันเป็นการทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 62 มิได้จำกัดว่าต้องเป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงการแสวงหาคะแนนจากผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยการกระทำที่มิชอบด้วยเช่นกัน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62
@ข้ออ้างคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เพิกถอนระเบียบ กกต. คนละกรณีกับการฮั้ว
ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่า คำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดง ที่ 971-972/2567 ที่ให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 11 (2) (3) การแลกคะแนนกัน จึงสามารถกระทำได้และไม่ทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมอันจะเป็นเหตุให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 36 ประกอบ มาตรา 70 ด้วย นั้น
เห็นว่า คำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีดังกล่าวให้เหตุผลในการเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ในระเบียบ ข้อ 3 ที่ให้นิยามคำว่า “แนะนำตัว” หมายความว่า การบอก ชี้แจง หรือแจกเอกสาร เพื่อให้ผู้สมัครอื่นรู้จัก ว่า คำนิยามดังกล่าวมีผลทำให้การแนะนำตัวจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยกันเอง ทั้งที่การแนะนำตัวดังกล่าวประชาชนสามารถมีส่วนร่วมรับรู้ได้ คำนิยามดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ระเบียบข้อ 7 ที่กำหนดว่า “การใช้เอกสารแนะนำตัวของผู้สมัคร ให้ใช้เอกสารไม่เกินขนาด เอ 4 (ขนาด 210 มิลลิเมตร × 297 มิลลิเมตร) สามารถระบุข้อมูลส่วนตัว ใส่รูปถ่ายของผู้สมัคร ประวัติการศึกษา และประวัติการทำงาน หรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครเท่านั้น ไม่เกินสองหน้า และวรรคสอง ที่กำหนดว่า “การแจกเอกสารแนะนำตัวตามวรรคหนึ่ง จะกระทำในสถานที่เลือกไม่ได้” และระเบียบ ข้อ 8 ที่กำหนดว่า “ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง โดยให้ใช้ข้อความตามเอกสารแนะนำตัวของผู้สมัครตามข้อ 7 และเผยแพร่แก่ผู้สมัครอื่นในการเลือกเท่านั้น” ระเบียบข้อ 7 และข้อ 8 ดังกล่าวมีผลกระทบต่อเสรีภาพในการแนะนำตัวของผู้สมัคร โดยเป็นการจำกัดจำนวนเอกสารและเนื้อหาในการแนะนำตัวได้เพียงเท่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดและมีผลต่อเสรีภาพในการแนะนำตัวของผู้สมัครโดยจำกัดการแนะนำตัวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้อยู่แต่ในเฉพาะผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยกัน จึงเป็นการสร้างข้อกำหนดที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้สมัครเกินความจำเป็นแก่การดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการแนะนำตัว เพื่อให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและไม่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ระเบียบข้อ 11 (2) ที่กำหนดว่า “นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภามีผลใช้บังคับไปจนถึงวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือก ห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยเหลือผู้สมัครซึ่งเป็นผู้ประกอบอาชีพทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ สื่อมวลชน หรือสื่อโฆษณา เช่น นักแสดง นักร้อง นักดนตรี พิธีกร เป็นต้น ใช้ความสามารถ หรือวิชาชีพดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ในการแนะนำตัว” และระเบียบข้อ 11 (3) ที่กำหนดว่า “นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภามีผลใช้บังคับจนถึงวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศผลการเลือกห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยเหลือผู้สมัครแนะนำตัวโดยแจกเอกสารเกี่ยวกับการแนะนำตัวโดยวิธีการวาง โปรยหรือติดประกาศในที่สาธารณะ” ระเบียบข้อ 11 (2) และข้อ 11 (3) ดังกล่าวมีความคลุมเครือไม่ชัดเจนและเป็นการจำกัดการแนะนำตัวของผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาให้ไม่เสมอภาคกัน ทั้งที่ผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อาจถือโอกาสที่ตนประกอบอาชีพนั้นหาเสียงได้เช่นกัน แต่กลับถูกจำกัด และทำให้ผู้สมัครที่ไม่สามารถใช้วิธีการแนะนำตัวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ไม่อาจใช้วิธีการตาม ข้อ 11 (3) ได้ จึงเป็นบทบัญญัติที่มีผลกระทบจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแนะนำตัวของผู้สมัคร เกินความจำเป็นแก่การดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการแนะนำตัว เพื่อให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และไม่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่ศาลปกครองกลางเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแนะนำตัวและวิธีการในการแนะนำตัว จึงมิได้เกี่ยวข้องกับการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันของผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา นอกจากนี้ การแนะนำตัวกับการสมยอมโดยจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันมีองค์ประกอบของการกระทำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งระเบียบดังกล่าวในข้อ 3 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 11 (2) และ (3) ที่ถูกเพิกถอนก็มิได้มี ข้อกำหนดในเรื่องการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันแต่อย่างใด คำพิพากษาศาลปกครองที่เพิกถอนระเบียบดังกล่าวจึงมิได้มีผลทำให้การสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันของผู้คัดค้านทั้งสองสามารถกระทำได้ และไม่เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมอันจะเป็นเหตุให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 ตามที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้าง
@ข้อความฮั้วในไลน์เกิดขึ้นภายหลังแนะนำตัว
เมื่อการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันมิใช่การแนะนำตัว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองจะเป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด ตามมาตรา 36 ซึ่งจะเป็นความผิดตามมาตรา 70 หรือไม่ นอกจากนี้ยังได้ความตามคำเบิกความของผู้คัดค้านทั้งสองว่า ข้อความสนทนาการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันทางแอปพลิเคชันไลน์ ระหว่างผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเหตุการณ์ภายหลังการแนะนำตัวผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาของผู้คัดค้านทั้งสองโดยผู้คัดค้านทั้งสองแนะนำตัวเสร็จสิ้นนับแต่ส่งเอกสารแนะนำตัว ได้แก่ รูปใบ สว. 3 และโปสเตอร์ พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้คัดค้านทั้งสองทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การแนะนำตัวกับการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นคนละกรณีกัน ข้อกล่าวอ้างของผู้คัดค้านทั้งสอง ในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
@ปม‘แสวง บุญมี’ เลขาฯกกต. โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว
ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัวและตอบคำถามสื่อมวลชนทำนองว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ข้อ 7 และข้อ 8 ทำให้การแนะนำตัวแบบขอคะแนนหรือแลกเปลี่ยนคะแนนไม่เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 นั้น
เมื่อพิจารณาความเห็นของนายแสวงที่ปรากฏตามภาพถ่ายเฟซบุ๊กของนายแสวงลงวันที่ 1 มิถุนายน 2567 และวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ตามเอกสารหมาย ค.13 และ ค.14 และภาพข่าวการแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชนลงวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ตามเอกสารหมาย ค.15 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 แล้ว เห็นว่า ที่นายแสวงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าวโดยสรุปว่า การกำหนดคำนิยามคำว่า แนะนำตัวเป็นเพียงเครื่องมือของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ออกแบบเพื่อใช้ในการดูแลการแนะนำตัว โดยหากผู้สมัครไม่ทำตามระเบียบดังกล่าวถือว่าเป็นการแนะนำตัวไม่เป็นไปตามระเบียบก็จะเป็นความผิด คำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าวที่ให้เพิกถอนคำนิยามดังกล่าว จะมีผลทำให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทำงานยากขึ้นเพราะขาดเครื่องมือตามมาตรา 36 ประกอบมาตรา 70 และมาตรา 77 นั้น เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวที่มีต่อคำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าวเท่านั้นประกอบกับเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางตามที่วินิจฉัยมาข้างต้นก็มิได้มีผลทำให้การสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
นอกจากนี้นายอานันท์ อินทรารักษ์สกุล พี่ชายของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ดูแลกลุ่มไลน์ชื่อ “ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชลบุรี” และเป็นผู้ให้ความรู้ทางกฎหมายกับสมาชิกกลุ่มเป็นประจำ เบิกความว่า นายอานันท์รู้อยู่แล้วว่าผู้สมัครไม่สามารถแลกเปลี่ยนคะแนนกันได้ ถึงแม้นายแสวงจะเคยให้ความเห็นว่า การแลกเปลี่ยนคะแนนสามารถทำได้ แต่นายอานันท์ก็แจ้งในกลุ่มไลน์ว่า การแลกเปลี่ยนคะแนนไม่ควรทำ เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของนายอานันท์ซึ่งเป็นพี่ชายและพักอาศัยอยู่ภายในบริเวณรั้วบ้านเดียวกันกับผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมต้องปรึกษาหารือกันฉันพี่น้อง เกี่ยวกับการที่ผู้คัดค้านที่ 2 สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ทั้งผู้คัดค้านทั้งสองก็เป็นสมาชิกกลุ่มไลน์และยังเข้าประชุมในวันที่นายอานันท์พูดห้ามแลกเปลี่ยนคะแนนกันตามที่ได้ความจากนายอานันท์ตอบศาลถามเพิ่มเติม ผู้คัดค้านทั้งสองย่อมทราบถึงการแจ้งของนายอานันท์ดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่ไต่สวนมา จึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองตัดสินใจกระทำการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกันเพราะเชื่อถือความคิดเห็นของนายแสวง สำหรับข้อต่อสู้ในประเด็นปลีกย่อยอื่น ๆ ของผู้คัดค้านทั้งสองไม่มีผลทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย -
พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการกระทำอันเป็นการทุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี อันทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดชลบุรี มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 จึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเวลา 10 ปี
พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนางสาวกัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี ผู้คัดค้านที่ 1 และนางสาวเบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นระยะเวลา 10 ปี นับแต่ วันที่มีคำพิพากษา


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา