
“...หัวหน้าอนุทินไม่พลาดการเดินสายพบปะสังสรรค์ ไปร่วมทั้งงานมงคล งานศพ อย่างไม่เคยบกพร่อง งานวันเกิดพรรคการเมืองต่างๆ ก็จะเดินทางไปแสดงความยินดีด้วยตัวเอง แม้พรรคการเมืองจะให้ราคาต่ำกว่าด้วยการส่งระดับเลขาธิการหรือกรรมการบริหารมาอวยพรพรรคภูมิใจไทย แต่หัวหน้าอนุทินก็ไม่แคร์ เพราะถือว่าเกินดีกว่าขาด และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสร้างแนวร่วมสะสมแต้มสร้างบารมีทางการเมืองต่อไป ภายใต้หลักการง่ายๆ ที่ใครก็รู้มานานว่า นกต้องมีขน คนต้องมีเพื่อ...”
อาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ตั้งตระหง่านย่านอโศก เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
ก่อร่างสร้างตัวโดย ‘ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล’ ลูกจีนกวางตุ้งโพ้นทะเล ผ่านขวากหนามต่างๆมากมาย จนฝ่าฟันเข้าไปเป็น 1 ในบิ๊กโฟร์บริษัทรับเหมาก่อสร้างของประเทศไทยในปัจจุบัน (อิตาเลียนไทย-ช.การช่าง-ยูนิค-ซิโนไทย)
ใครจะคิดว่า จำเนียรกาลผ่านมา บุตรชายคนโตของครอบครัว ‘ชาญวีรกูล’ อย่าง ‘อนุทิน’ เด็กหนุ่มที่ทำงานรับเหมามาแทบครึ่งค่อนชีวิต จะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่บ้านนรสิงห์ ประทับตรานายกรัฐมนตรีคนที่ 32 อย่างเป็นทางการด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เปิดประวัติและเส้นทางนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 คนนี้กัน
@โปรไฟล์
นายอนุทินเกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2509 เป็นบุตรชายคนโตของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STECON) มีน้องอีก 2 คน ได้แก่ นายมาศถวิน ชาญวีรกูล กรรมการบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และนางอนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ กรรมการ บริษัท เอสที พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University) รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อปี พ.ศ. 2532 และจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Mini MBA) เมื่อปี พ.ศ. 2533
ชีวิตส่วนตัว สมรสครั้งแรกกับสนองนุช (สกุลเดิม วัฒนวรางกูร) เมื่อปี พ.ศ. 2533 มีบุตร 2 คน คือ นัยน์ภัค และเศรณี ชาญวีรกูล ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 หย่ากับสนองนุช และสมรสใหม่กับศศิธร (สกุลเดิม จันทรสมบูรณ์) รองกรรมการผู้จัดการ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ ปากช่อง ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 นายอนุทินได้หย่ากับศศิธร ก่อนที่อีก 3 ปี จะเปิดตัวคบกับสุภานัน นิรามิษ (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ธนนนท์")
ที่มา: หนังสือมีรู...มีหนู โดย ราม ปั้นสนธิ
@รับช่วงต่อ ‘ซิโนไทยรุ่น 2’
ในหนังสือ มีรู…มีหนู อนุทิน ชาญวีรกูล เขียนโดยนายราม ปั้นสนธิ ได้บันทึกเรื่องราวของนายอนุทินช่วงที่ทำงานกับ ‘ซิโนไทย’ ไว้ว่า หลังจากเรียนจบเมื่อปี 2532 นายอนุทินทำงานที่แรกในตำแหน่ง Production Engineer กับบริษัท Mitsubishi Corporation ที่มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้น 1 ปีจึงเริ่มเข้ามาทำงานที่บริษัทซิโนไทย ก่อนที่ในปี 2535 จะเข้ามาทำงานในบริษัทแม่ และในที่สุดนายอนุทินก็เข้าตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 2538
“ คุณพ่อให้ผมไปทำงานที่หน่วยงานไหน หน่วยงานนั้นจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนจากอ่อนแอเป็นแข็งแรง จนผมก้าวขึ้นมาคุมบริษัทผมก็เปลี่ยนทั้งบริษัท ตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้นำองค์กร ผมพยายามใช้การบริหารในสไตล์ของตัวเองหรือโมเดิร์น หลีกเลี่ยงการทำงานในแบบธุรกิจครอบครัว เลี่ยงที่จะมองพนักงานแบบลูกหลาน เพราะการบริหารยุคใหม่ต้องเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อองค์กร แล้วไปมองในเรื่องของผลตอบแทน เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่พนักงานสิ่งที่พวกเขาต้องแลกคือการทำงานอย่างมีคุณภาพให้แก่องค์กรกลับมาเช่นกัน” นายอนุทินกล่าวในหนังสือตอนหนึ่ง
ในช่วงที่นายอนุทินบริหารองค์กร ก็มีบางจังหวะที่บริษัทเข้าสู่วิกฤติโดยเฉพาะจากเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 ที่ครั้งนั้น ซิโนไทย ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศ โดยกู้ไปถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เป็นหนี้สินกว่า 5,000 ล้านบาท สุดท้ายนายอนุทินเลือกนำบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการผ่านศาลล้มละลาย และใช้วิธีบริหารเงินสดจนในที่สุด ซิโนไทยสามารถออกจากการฟื้นฟูกิจการได้ในปี 2543 หลังจากนั้น นายอนุทินได้ใช้เวลาอีกประมาณ 4 ปีสำหรับวางระบบงานต่างๆ จนกระทั่งวันที่ 30 มิ.ย. 2547 นายอนุทินจึงลาออกจากกรรมการและกรรมการผู้จัดการของบริษัท เหลือสถานะผู้ถือหุ้นไว้
ที่มา: หนังสือมีรู...มีหนู โดย ราม ปั้นสนธิ
@เข้าสู่วงจร ‘มนุษย์การเมือง’
หากไม่นับช่วงที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศยุคของ ‘ประจวบ ไชยสาส์น’ หลังจากลาออกเมื่อปี 2547 แล้ว นายอนุทินภายใต้การชักชวนของ ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’ ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีสมัยแรกในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จนกระทั่งปี 2549 เมื่อเกิดการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพรรคไทยรักไทยถูกยุบในปีเดียวกันนั้น นายอนุทินซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปด้วย 5 ปี
หลังจากพ้นโทษแบน นายอนุทินกลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย ร่วมกับนายเนวิน ชิดชอบ ก่อนจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคในปี 2555 และในอีก 7 ปีต่อมาพรรคภูมิใจไทยก็ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลครั้งแรกในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนายอนุทินได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีกระแสวิจารณ์นายอนุทินในการให้สัมภาษณ์ถึงการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลายโอกาส โดยเฉพาะการกล่าวว่าเป็น ‘โรคกระจอก’ รวมถึงคำถามเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีน หน้ากากอนามัย รวมถึงการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ค่อนข้างล่าช้ากว่าที่ควร
“กระจอกที่หมายถึงคือ ไวรัสมันทำอะไรคนไทยไม่ได้ หากทุกคนเข้าใจและเรียนรู้ในการดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี รู้ว่าจะรับมือโควิดอย่างไร มันก็จะเป็นโรคกระจอก” นายอนุทินกล่าว (อ้างอิง: เว็บไซต์ Hfocus.org)
ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2566 นายอนุทินก็เข้าร่วมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนกระทั่งมาถึงยุคนายน้อย - แพทองธาร ชินวัตร ก็บังเกิดกระแสข่าวความขัดแย้งภายในรัฐบาล ซึ่งว่ากันว่า ผู้มีบารมีนอกพรรคต้องการกระทรวงมหาดไทยกลับมาเป็นโควต้าของพรรคเพื่อไทย เพราะนโยบายหลายอย่างต้องขับเคลื่อนผ่านกระทรวงนี้ ทำให้ในที่สุด นายอนุทินพาพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
และเมื่อ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สะดุดขาตัวเองจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จนทำให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอนุทินชิงเดินเกมเร็วเข้าเจรจาพรรคประชาชน รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน ปูทางสู่การยุบสภาตามที่ได้รู้กัน
@นกต้องมีขน คนต้องมีเพื่อน
ในหนังสือมีรู…มีหนู ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตถึงนายอนุทินในการเปลี่ยนตัวเองจาก ‘เสี่ย’ มาเป็น ‘หัวหน้าพรรค’ไว้ว่า ไม่ยอมเป็นนอมินีใคร ปรับการพูดให้จริงจังมากขึ้น รวมถึงการสร้างสัมพันธ์กับสื่อมวลชนทั้งภาคสนาม ระดับบรรณาธิการ และสร้างเครือข่ายกับทุกพรรคการเมือง กลุ่มมวลชนสีเสื้อทุกสี ข้าราชการทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ
“หัวหน้าอนุทินไม่พลาดการเดินสายพบปะสังสรรค์ ไปร่วมทั้งงานมงคล งานศพ อย่างไม่เคยบกพร่อง งานวันเกิดพรรคการเมืองต่างๆ ก็จะเดินทางไปแสดงความยินดีด้วยตัวเอง แม้พรรคการเมืองจะให้ราคาต่ำกว่าด้วยการส่งระดับเลขาธิการหรือกรรมการบริหารมาอวยพรพรรคภูมิใจไทย แต่หัวหน้าอนุทินก็ไม่แคร์ เพราะถือว่าเกินดีกว่าขาด และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสร้างแนวร่วมสะสมแต้มสร้างบารมีทางการเมืองต่อไป ภายใต้หลักการง่ายๆ ที่ใครก็รู้มานานว่า นกต้องมีขน คนต้องมีเพื่อน” ข้อความตอนหนึ่งในหนังสือระบุไว้
นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิต ‘นายกฯหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล’
หลังจากนี้ ไม่ว่าจะชอบหรือชัง
ปัญหาต่างๆของบ้านเมือง คงต้องฝากความหวังไว้ที่เขาคนนี้แล้ว
ที่มา: หนังสือมีรู...มีหนู โดย ราม ปั้นสนธิ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา