
"... ศาลยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า การที่สภากาชาดไทยออกบัตรชั่วคราวให้ผู้ร้องที่มีข้อความระบุว่า "ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิต" (ALL (D138) PERMANENT) เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเชื้อเอชไอวี ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มายืนยันว่าผู้ร้องมีเชื้อจริง ถือเป็นการละเมิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์..."
สืบเนื่องเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในคดีที่สภากาชาดไทย (ผู้ฟ้อง) และคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) (ผู้ถูกฟ้อง) มีเนื้อหาเกี่ยวกับกรณีที่เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตจากชายข้ามเพศคนหนึ่ง โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ศาลปกครองกลาง ได้มีคำวินิจฉัยว่า การปฏิเสธรับบริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย เป็นการกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เนื่องจากมีเหตุผลที่หนักแน่นและเป็นไปเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับบริจาคโลหิต
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในการปกป้องอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลหยิบยกขึ้นมาพิจารณาถึงแม้จะไม่ได้มีการฟ้องร้องในประเด็นนี้โดยตรงก็ตาม (ข่าวที่เกี่ยวข้อง: ศาล ปค.ชี้สภากาชาดไทยไม่เลือกปฏิบัติ กรณีปฎิเสธรับบริจาคเลือดจากชายข้ามเพศ)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำคำพิพากษามารายงานอย่างละเอียด
คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 1062/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 1961/2564
ระหว่าง สภากาชาดไทย ผู้ฟ้องคดี และคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ผู้ถูกฟ้องคดี
เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@ มูลเหตุแห่งคดี
คดีนี้เกิดขึ้นหลังจากนาย ป. (ผู้ร้อง) ซึ่งเป็นบุคคลข้ามเพศที่มีเพศกำเนิดเป็นชายแต่มีเพศสภาพเป็นหญิง ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ถูกฟ้องคดีว่า ถูกศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติปฏิเสธการรับบริจาคโลหิต โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี
คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ได้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ปฏิเสธการรับบริจาคโลหิตจากกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และได้มีคำสั่งให้สภากาชาดฯ แก้ไขนโยบาย 2 ข้อ คือ
-
ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับบริจาคโลหิต โดยใช้เกณฑ์จาก พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยง แทนที่จะพิจารณาจากเพศหรือเพศสภาพ
-
ประชาสัมพันธ์นโยบายใหม่นี้ให้ประชาชนทุกเพศได้รับทราบภายใน 90 วัน
@ สภากาชาดไทยอ้างอิงข้อมูลสถิติ-ความปลอดภัย
สภากาชาดไทย (ผู้ฟ้องคดี) ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยคณะกรรมการ วลพ. ( (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยได้ยื่นฟ้องต่อศาลและให้เหตุผลโต้ถึงประเด็นกระบวนการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีมีข้อบกพร่อง และประเด็นด้านความปลอดภัยและมาตรฐานสากล
กระบวนการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีมีข้อบกพร่อง ดังนี้
1. การแสวงหาหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นาย ป. ผู้ร้อง ได้ลักลอบบันทึกเสียงสนทนากับเจ้าหน้าที่คัดกรองโลหิตเพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานที่ไม่ถูกต้อง
2. การพิจารณาเกินกำหนดเวลา
ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำวินิจฉัยเกิน 90 วันตามที่ระเบียบกำหนด
3. กรรมการผู้มีส่วนได้เสีย
นายกมลเศรษฐ์ เก่งการเรือ ซึ่งเป็นกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดี ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทยที่ นาย ป. ผู้ร้อง เป็นเจ้าหน้าที่ และสมาคมดังกล่าวเคยมีข้อพิพาทกับสภากาชาดไทยมาก่อน
4. การไม่ให้โอกาสชี้แจงอย่างเพียงพอ
สภากาชาดไทยได้เข้าชี้แจงเพียงครั้งเดียวและไม่มีโอกาสโต้แย้งความเห็นทางวิชาการของผู้เชี่ยวชาญอื่นที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์บริการโลหิต
ในส่วนของประเด็นด้านความปลอดภัยและมาตรฐานสากล สภากาชาดไทย ระบุว่า ยืนยันว่าการปฏิเสธการรับบริจาคโลหิตไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่เป็นการดำเนินการเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย มีข้อพิจารณา ดังนี้
1. คัดกรองจากพฤติกรรมเสี่ยง
การคัดกรองไม่ได้พิจารณาจากเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ของบุคคล แต่พิจารณาจาก พฤติกรรมเสี่ยง เช่นเดียวกับพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ เช่น การเดินทางไปในพื้นที่ที่มีโรคระบาด คำว่า "เพศชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย" ถือเป็น "พฤติกรรมเสี่ยง" ทางการแพทย์
2. ข้อจำกัดทางวิทยาศาสตร์การแพทย์
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีในห้องปฏิบัติการมีข้อจำกัดเรื่อง ระยะฟักตัว (window period) ซึ่งอาจทำให้ตรวจไม่พบเชื้อในระยะแรกแม้ว่าผู้บริจาคจะได้รับเชื้อมาแล้ว นอกจากนี้การใช้ยาป้องกันการติดเชื้อก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) ก็อาจทำให้ตรวจไม่พบเชื้อในโลหิตได้เช่นกัน ดังนั้นการคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
3. การบริจาคโลหิตคือการให้ ไม่ใช่สิทธิ
สภากาชาดไทยยึดมั่นตามหลักการสากลที่ว่าการบริจาคโลหิตเป็นการกระทำเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งผู้บริจาคมีหน้าที่ตอบคำถามในการคัดกรองด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ใช่สิทธิที่ทุกคนจะได้รับ
4. การอ้างอิงข้อมูลสถิติ
สภากาชาดไทยได้อ้างอิงสถิติจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขในปี 2564 ที่พบว่าช่องทางการรับและถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเพศชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายสูงถึงร้อยละ 63 ซึ่งยืนยันว่ากลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง และเคยพบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีจากการรับโลหิตในประเทศไทยมาแล้วในปี 2556
@ คกก.วลพ.ยันคำวินิจฉัยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ทางด้าน คณะกรรมการ วลพ. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ได้โต้แย้งคำฟ้องของสภากาชาดไทย โดยยืนยันว่าการกระทำของผู้ฟ้อง เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 และได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ระเบียบกำหนดไว้
ในส่วนการพิจารณาเกินกำหนดเวลา: คณะกรรมการฯ อธิบายว่าเหตุที่พิจารณาเกินระยะเวลาที่กำหนดนั้น เกิดจากประธานคณะกรรมการฯ ลาออกทำให้องค์ประกอบไม่ครบ แต่ได้มีการขอขยายเวลาไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว นอกจากนี้ยังให้เหตุผลว่าระยะเวลาดังกล่าวเป็นเพียงระยะเวลาเร่งรัดเท่านั้น ไม่ได้มีผลทำให้คำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คณะกรรมการฯ ชี้แจงถึงพยานหลักฐานและการแสวงหาข้อเท็จจริงว่าการพิจารณาไม่ได้อ้างอิงจากเพียงแค่หลักฐานที่ผู้ร้องยื่นให้ แต่ได้ใช้ข้อมูลจากการไต่สวนผู้ร้องและผู้ฟ้องคดี รวมถึงเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานมาให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาด้วย
ในประเด็นกรรมการผู้มีส่วนได้เสียนั้น คณะกรรมการฯ โต้แย้งว่ากรรมการที่มีความเกี่ยวข้องกับสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทยไม่ได้ทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลาง เพราะมีการรับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย ไม่ได้ฟังเพียงแค่ความเห็นของกรรมการท่านนั้น
นอกจากนี้ คณะกรรการฯ ยังโต้แย้งด้านความปลอดภัยและมาตรฐานสากลที่ผู้ฟ้องอ้าง ดังนี้
1. แบบคัดกรองขาดประสิทธิภาพ
คณะกรรมการฯ เห็นว่าแบบคัดกรองและการสัมภาษณ์ของผู้ฟ้องคดีในปัจจุบันไม่สามารถคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้บริจาคอาจให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่เกินความจำเป็นและไม่เป็นไปตามหลักแห่งความได้สัดส่วน
2. อ้างอิงแนวทางของ WHO และต่างประเทศ
คณะกรรมการฯ อ้างอิงแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2012 ที่ระบุให้ใช้มาตรการไม่รับบริจาคโลหิตของกลุ่มชายรักชายในระดับที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ALARP) โดยควรพิจารณาจาก พฤติกรรมเสี่ยงของแต่ละบุคคล (Individual Risk) แทนที่จะพิจารณาจากความเสี่ยงของกลุ่มประชากร (Population Risk) รวมถึงแนวทางของประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายจากงดรับบริจาคถาวรมาเป็นการเลื่อนรับบริจาคโลหิตแทน
3. สิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาล
คณะกรรมการฯ โต้แย้งว่าการบริจาคโลหิตของผู้ฟ้องคดีมีความเชื่อมโยงกับการได้รับความช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาลจากรัฐตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้บุคคลมีสิทธิได้รับการบริการสาธารณสุขของรัฐอย่างเท่าเทียมโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ การปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ร้องจึงส่งผลให้เขาเข้าไม่ถึงสิทธิประโยชน์ดังกล่าว
4. ไม่ได้พิจารณาจากคำนำหน้านาม
คณะกรรมการฯ ยืนยันว่าไม่ได้เชื่อว่าการปฏิเสธการรับบริจาคเกิดจากคำนำหน้านามที่ไม่ตรงกับเพศสภาพ แต่เห็นว่าการปฏิเสธควรพิจารณาจากผลการตรวจโลหิตว่ามีเชื้อเอชไอวีหรือไม่
@ประเด็นที่ศาลพิจารณา
ศาลปกครองได้พิจารณาคดีนี้อย่างละเอียด โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องวินิจฉัยคือ คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งสามารถแบ่งการพิจารณาออกเป็นประเด็นย่อยได้ดังนี้
-
ประเด็นที่ 1: กรรมการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
-
ศาลเห็นว่า แม้นายกมลเศรษฐ์จะเป็นกรรมการในสมาคมฟ้าสีรุ้งฯ แต่การพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการพิจารณาโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถถึง 11 คน และได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายฝ่ายมาให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาด้วย ดังนั้นความเห็นของคนเพียงคนเดียวจึงไม่สามารถชักจูงกรรมการคนอื่นให้ตัดสินตามได้
-
-
ประเด็นที่ 2: การพิจารณาเกินกรอบเวลา
-
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้การพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีจะใช้เวลานานกว่าที่กำหนดไว้ในระเบียบ เนื่องจากมีเหตุขัดข้องเรื่องประธานคณะกรรมการลาออก แต่ศาลมองว่าระยะเวลาที่กำหนดนั้นเป็นเพียงระยะเวลาเร่งรัด เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่คู่กรณีว่าการพิจารณาจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว การที่พิจารณาเกินเวลาไม่ได้ส่งผลให้คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
-
-
ประเด็นที่ 3: การแสวงหาหลักฐานที่ไม่ชอบธรรม
-
ศาลชี้ว่าการพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีใช้ระบบไต่สวน ซึ่งเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานได้ตามความเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับพยานหลักฐานของคู่กรณีเพียงอย่างเดียว ผู้ถูกฟ้องคดีได้ไต่สวนทั้งผู้ร้องและผู้ฟ้องคดี และยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานมาให้ข้อมูลด้วย ดังนั้นจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีแสวงหาหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
-
-
ประเด็นที่ 4: การให้โอกาสชี้แจง
-
ศาลได้พิจารณาจากกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าการออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดี ดังนั้นผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ผู้ฟ้องคดีทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาสโต้แย้งอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ได้ตัดสินประเด็นนี้อย่างชัดเจนในข้อมูลที่ให้มา แต่ได้เข้าสู่การพิพากษาเลย
-
ศาลปกครองกลางได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระบวนการพิจารณาไม่ถูกต้องตามหลักการ จึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ที่ให้สภากาชาดไทยดำเนินการเปลี่ยนเกณฑ์การรับบริจาคโลหิตและการประชาสัมพันธ์นโยบายดังกล่าว มีผลบังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
@ไม่เลือกปฏิบัติ แต่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นอกจากนี้ ศาลได้วินิจฉัยว่าการกระทำของสภากาชาดไทยต่อผู้ร้องมีลักษณะเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมีประเด็นสำคัญที่ศาลหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ดังนี้
1. การปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศ
ศาลระบุว่าการที่สภากาชาดไทยออกบัตรประจำตัวชั่วคราวสำหรับผู้บริจาคโลหิตให้กับผู้ร้องที่มีข้อความระบุว่า "ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิต" (ALL (D138) PERMANENT) โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเชื้อเอชไอวี ทั้งที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าผู้ร้องมีเชื้อเอชไอวีในโลหิตจริง เป็นการปฏิบัติต่อผู้ร้องในฐานะ "ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย" ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง แม้ว่ารูปลักษณ์ทางกายภาพของผู้ร้องจะแสดงออกว่าเป็นหญิงอย่างชัดเจนแล้ว
2. ผลกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ
การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ร้องไม่สามารถพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองในฐานะผู้หญิงได้อย่างสมบูรณ์ในสังคม และสร้างความอับอาย ความเครียด รวมถึงความวิตกกังวลจากการไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิในการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้ร้อง ศาลชี้ว่า แม้สังคมจะแยกความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและชาย แต่ไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงเพศของตนได้ และมนุษย์ไม่สามารถระบุเพศที่ชัดเจนได้ด้วยการพิจารณาเพียงแค่อวัยวะเพศเท่านั้น
3. การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การออกบัตรดังกล่าวเป็นการกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้ร้องเพื่อนำไปสู่ความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการปกป้องอัตลักษณ์และคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคน แม้ว่าผู้ร้องจะยินยอมให้นำเรื่องไปเผยแพร่ในสื่อสาธารณะด้วยตนเอง แต่ศาลเห็นว่าบุคคลไม่สามารถสละศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือยินยอมให้มีการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนได้ ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงยกประเด็นนี้ขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ เนื่องจากเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ทั้งหมดนี้ คือคำพิพากษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณีการปฎิเสธรับบริจาคเลือดจากกลุ่ม LGBTQA+ ของสภากาชาดไทย แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ แต่ศาลได้ระบุว่า เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา