
ปัญหาความไม่พอใจของประชาชนทั้งหมดนี้เกี่ยวกับมีต้นตอมาจากปัญหาการขาดแคลนเงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งกลยุทธ์ที่ธนาคารกลางของประเทศทั่วโลกนำมาใช้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ,ป้องกันการล้มละลาย และรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ มักจะทำโดยการจำกัดปริมาณเงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่าสภาพคล่อง
สืบเนื่องจากภาพการประท้วงอย่างรุนแรงที่ประเทศเนปาล จนทำให้ต้องมีการแต่งตั้งนางสุชิลา การ์กี วัย 73 ปี ผู้พิพากษาซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการปราบปรามการทุจริตขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักาาการ
หลังจากเหตุการณ์นี้ก็มีการวิเคราะห์กันว่าการประท้วงที่เนปาลนั้นอาจจะขยายผลลามไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม่
โดยล่าสุดสำนักข่าว The Diplomat ของสหรัฐอเมริกาได้มีการลงบทวิเคราะห์เอาไว้ว่าการประท้วงนี้แม้จะมีที่มาจากความไม่พอใจด้านการทุจริต แต่มูลเหตุของความไม่พอใจที่แท้จริงมาจากการที่ประชาชนขาดกำลังซื้อควบคู่กันไปด้วย และถ้ารัฐบาลต่างๆไม่ยอมแก้การประท้วงลักษณะแบบที่เนปาลก็อาจจะลุกลามก็เป็นได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้นำทุกประเทศกำลังจับตาดูความไม่พอใจของประชาชนในภูมิภาคที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเผด็จการ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลพรรคเดียว ล้วนมีเหตุผลที่ดีที่จะหวาดกลัวความไม่พอใจนี้ หลังจากการโค่นล้มรัฐบาลซึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศเนปาล
ภาพของเหตุการณ์เผารัฐสภาที่เนปาล และการทำร้ายร่างกายรัฐมนตรีนั้นเกิดขึ้นไม่นานหลังเหตุประท้วงรุนแรงที่อินโดนีเซีย กับการประท้วงที่ไทยและมาเลเซีย ต่อมาก็ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งทีผู้ประท้วงแสดงจุดยืนต่อต้านการทุจริตลงถนน โดยนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์บอกว่าเขาสนับสนุนการประท้วงครั้งนี้
โดยมีการวิเคราะห์ไปไกลว่าการประท้วงเพื่อต่อต้านการทุจริตดังกล่าวนั้นอาจจะลามไปคล้ายกับอาหรับสปริงเมื่อปี 2553 เป็นต้นมา
ต้องยอมรับว่าชาวเอเชียอาจจะมีความอดทนสูงต่อการทุจริต แต่กลับมีขีดจำกัดเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เรื่องนี้เห็นได้จากการที่ภาพที่ชาวเนปาลจับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวิษณุ ปราสาท โปเดล แก้ผ้าแล้วโยนลงแม่น้ำ
สำหรับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้สำหรับประเทศอาเซียนส่วนใหญ่อยู่ที่ระหว่าง 2-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี บางคนคิดว่าตัวเลขนี้เพียงพอแล้ว และชอบเปรียบเทียบประเทศของตนกับประเทศตะวันตก โดยอ้างว่าแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่ประสบปัญหา และตัวเลขการพัฒนาก็ต่ำกว่าประเทศตัวเอง
แต่ตัวเลขการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนานั้นไม่มีความหมาย นักเศรษฐศาสตร์หลายคนโต้แย้งว่าการเติบโตที่สมเหตุสมผลเริ่มต้นที่ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์สำหรับประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำรายเดือนเริ่มต้นที่ประมาณ 250 ดอลลาร์สหรัฐ (8,056 บาท) จำนวนเงินอันน้อยนิดนี้จะยิ่งมีค่าน้อยลงไปอีกเมื่อประเทศเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
ปัญหาความไม่พอใจของประชาชนทั้งหมดนี้เกี่ยวกับมีต้นตอมาจากปัญหาการขาดแคลนเงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งกลยุทธ์ที่ธนาคารกลางของประเทศทั่วโลกนำมาใช้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ,ป้องกันการล้มละลาย และรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ มักจะทำโดยการจำกัดปริมาณเงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่าสภาพคล่อง
เหตุการณ์ประท้วงที่เนปาล (อ้างอิงวิดีโอจาก ABC News)
หลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายประเทศใช้วิธีการอัดฉีดเงินทุนจำนวนมหาศาลเพือกระตุ้นเศรษฐกิจ สภาพที่ตามมาก็คือค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทั่วภูมิภาค และประเทศอาเซียนก็กำลังไล่ตามประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่ตามมาด้วยก็คือค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวไม่ทัน และค่าครองชีพในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไม่ได้ถูกอย่างที่คิดกัน
การประท้วง ความไม่พอใจก็เลยตามมา เช่นที่อินโดนีเซียเมื่อปลายเดือน ส.ค.มีการประท้วงเกิดขึ้น จนเป็นเหตุทำให้รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายเงินอุดหนุนที่พักอาศัยนักการเมืองมูลค่า 3 พันดอลลาร์ (96,682 บาท) ที่พวกเขาโหวตขึ้นมาเอง นี่ก็ช่วยทำให้การประท้วงสงบลงได้บ้าง และตามมาด้วยการออกนโยบายให้เงินอุดหนุนทางเศรษฐกิจมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ (32,227,500,000 บาท) ซึ่งตามกระดาษดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าคิดเป็นรายหัว แต่ละคนจะได้เงินแค่น้อยกว่า 4 ดอลลาร์ (128 บาท)
ย้อนไปอีกเมื่อเดือน ก.ย.มาเลเซียก็ต้องเผชิญกับเหตุประท้วงครั้งแรกนับตั้งแต่ที่นายอันวาร์ อิบราฮิม ขึ้นสู่อำนาจด้วยการหาเสียงนโยบายต่อต้านการทุจริต อย่างไรก็ตามตัวเขากลับถูกเรียกร้องให้ลาออกด้วยเหตุผลเรื่องของค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความล้มเหลวของการดึงดูดนักลงทุนตามที่เคยสัญญาไว้
สำหรับประเทศไทย สภาพเศรษฐกิจเองก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย เมื่อเทียบประเทศอื่นๆ ตลาดหุ้นและเงินบาทอ่อนค่าลง หลังจากนักลงทุนต่างชาติถอนเงิน 2.3 พันล้านดอลลาร์ (74,178,450,000 บาท) ออกจากตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ท่ามกลางความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน ทำให้เกิดการประท้วงในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ประเทศไทยยังเจอกับปัญหา อื่นๆทั้งสงครามชายแดนซึ่งไม่มีการประกาศเป็นทางการกับกัมพูชา ปัญหาสงครามกลางเมืองในเมียนมา และความพยายามการปราบปรามกลุ่มอาชญากรตามแนวชายแดน ได้เพิ่มอำนาจให้กับกองทัพไทย
อย่างไรก็ตามคำมั่นสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนเมษายนปี 2569 สิ่งนี้ก็ยังพอจะบรรเทาความไม่พอใจของประชาชนไทยลงไปได้บ้าง
สำหรับเศรษฐกิจที่กัมพูชาและลาว ก็อยู่ในสภาพที่แย่ไม่ต่างกัน ปัจจุบันทั้งสองประเทศต่างพึ่งพาอานิสงค์จากจีน ซึ่งยังห่างไกลจากความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวหลังจากโควิด-19
ที่กัมพูชา นายฮุน เซน งยังคงมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พล.อ.ฮุน มาเนต บุตรชายในปี 2566 โดยฮุน เซน ได้ใช้วิธีการสร้างความขัดแย้งกับไทยอย่างชาญฉลาดเพื่อให้คนทั้งกัมพูชาเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในประเทศของตัวเอง และรวบรวมเสียงสนับสนุนรัฐบาลของบุตรชายของเขา
แต่เศรษฐกิจกัมพูชาเองก็กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากตัวเลขของรัฐบาลกัมพูชาเอง พบว่าในบรรดาประชาชนกัมพูชา 750,000 คนที่เดินทางกลับจากประเทศไทยก่อนเกิดความขัดแย้ง มีเพียง 21 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่หางานทำได้ แม้จะมีคำมั่นสัญญาว่าจะมีงานทำ ซึ่งทำให้กัมพูชามีคนตกงานอีก 500,000 คน
@มองมุมไหนก็แย่
ประเทศจีนได้ยุติการใช้จ่ายในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางมานานแล้ว และตอนนี้มาตรการเก็บภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็กำลังมีผลบังคับใช้ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสูตรสำเร็จของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตามมาด้วยการทุจริตที่มากเกินไปและพิสูจน์แล้วว่ายากที่จะกำจัดออกจากประเทศกำลังพัฒนา เพราะผู้นำคือผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด
แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่ประชาชนไม่มีเงินในกระเป๋า ทำให้เกิดการการแสดงจุดยืนว่าไม่สามารถยอมรับการทุจริตคอร์รัปชันได้และนั่นคือที่มาของความไม่สงบในปัจจุบัน
ความพยายามในการหาแหล่งเงินทุนทางเลือกเพื่อบรรเทาปัญหายังคงมีอยู่ตลอด และเรื่องนโยบายภาษีของทรัมป์ ก็ทำให้หลายชาติความรู้สึกว่าจะต้องสรุปข้อตกลงการค้าเสรีอย่างเร่งด่วน
เหตุประท้วงที่มาเลเซีย (อ้างอิงวิดีโอจากอัลจาซีรา)
ตัวอย่างเช่นอินโดนีเซียได้มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป และคาดว่าสหภาพยุโรปจะเซ็นข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศไทยเป็นรายต่อไป ขณะที่เวียดนามก็กำลังพุ่งเป้าไปที่ภูมิภาคละตินอเมริกา
แต่ปัญหายังคงอยู่ นักลงทุนต่างชาติยังคงประสบปัญหาเช่นเดียวกับที่ผู้นำประเทศภูมิภาคเอเชียเผชิญ นั่นคือการขาดแคลนเงินทุน และเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่เคยเดินทางไปเที่ยวยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นประจำทุกปี นักท่องเที่ยวเหล่านี้พบว่ามีสถานที่อื่นๆ ที่พวกเขาสามารถเดินทางไปได้
ถ้าหากรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างที่ว่านี้ได้ ความโกรธและการประท้วงของประชาชนก็จะดำเนินต่อไป และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจนกระทบถึงกลุ่มคนจำนวนมากเช่นเดียวกับที่เคย เกิดขึ้นที่ศรีลังกา บังกลาเทศ และเนปาล กองทัพและตำรวจจะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ข้างใคร ซึ่งเป็นความจริงที่อาจทำให้สมการแห่งอำนาจเปลี่ยนแปลงไป
ผู้นำในประเทศเหล่านี้และครอบครัวต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือไป ประเทศสมาชิกอาเซียน แม้จะยังไม่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่นี่คือสถานการณ์ที่เหล่าบรรดาผู้นำประเทศต่างๆกังวลและอาจกำลังจะเกิดขึ้น
สรุปก็คือท้ายที่สุดแล้ว การประท้วง ปัญหาที่เห็นจะเกิดขึ้นหรือไม่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าประชาชนมีเงินสดติดตัวมากน้อยแค่ไหน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา