
แหล่งข่าวรัฐบาลมาเลเซียที่ใกล้ชิดกับการเจรจาอาเซียนกล่าวกับรายการ This Week in Asia โดยไม่ขอเปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนว่า “ตอนนี้สถานการณ์มันยุ่งวุ่นวายมาก ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว และจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ส่วนเรายังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องเมียนมาเลย ดังนั้นการบรรลุฉันทามติในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะเป็นเรื่องยาก”
ข่าวต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นข่าวเรื่องของการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศว่าจะเข้าร่วมในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 ที่จะมีขึ้นในปลายเดือน ต.ค. และเขายังต้องการเป็นประธานในข้อตกลงสันติภาพไทยและกัมพูชา
ทางด้านสำนักข่าวเซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ของฮ่องกงได้มีการลงบทวิเคราะห์เกี่ยวกับท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังกล่าวโยงไปถึงผลกระทบกับผู้นำมาเลเซีย และการประชุมอาเซียนครั้งนี้อาจมีความผันผวนเพราะการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยากเข้ามามีส่วนร่วม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทวิเคราะห์ดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการวิจารณ์ว่าการที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สามารถนำพาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา มาประชุมอาเซียนในปลายเดือน ต.ค.นี้ได้ถือว่าเป็นความฉลาดของผู้นำมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม ความฮือฮาดังกล่าวได้จางหายไปแล้ว และตอนนี้มีการมองกันว่านายกรัฐมนตรรีมาเลเซียกำลังเล่นเกมที่อันตราย
การประชุมสุดยอดครั้งต่อไปของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค. นำโดยผู้นำรัฐบาลของสมาคมอาเซียนซึ่ง จะได้เผชิญหน้ากับนายทรัมป์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่รัฐบาลของนายทรัมป์พลิกโฉมการค้าโลกและโจมตีเศรษฐกิจด้วยภาษีศุลกากรที่รุนแรง
รายชื่อแขกที่เข้าร่วมงานนั้นมีลักษณะเหมือนกับรายชื่อบุคคลผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก ได้แก่ นายกรัฐมนตรีจีน นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายนเรนทรา โมดี ประธานาธิบดีบราซิล นายหลุยส์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา และประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ นายซิริล รามาโฟซา ซึ่งคาดว่าจะเข้าร่วมงานด้วย
แน่นอนว่าทุกสายตาจะจับจ้องไปที่นายทรัมป์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนายทรัมป์ว่าเขาเป็นคนไม่สามารถคาดเดาได้ ทำให้มาเลเซีย และนายอันวาร์ ผู้ส่งคำเชิญนายทรัมป์มาจะต้องรับมือกับผลกระทบที่ตามมา
อาจต้องรับมือกับผลที่ตามมา
“สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือการประชุมสุดยอดจะถูกบดบังด้วยวาทกรรมที่เฉียบคมหรือการแสดงทางการเมืองที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นส่วนสำคัญของสหรัฐอเมริกามีความตึงเครียดหรือบีบให้สมาชิกอาเซียนต้องเลือกข้าง” นายจอห์น โลว์ ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ที่บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกโรแลนด์ เบอร์เกอร์ กล่าวและกล่าวอีกว่าสิ่งนั้นอาจทำให้เกิดความไม่สงบในเวทีและอาจจะบั่นทอนความพยายามของอาเซียนในการสร้างความสามัคคี
ย้อนไปในช่วงการออกทริปครั้งล่าสุดของนายทรัมป์ ณ ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ให้ตัวอย่างถึงสิ่งที่ภูมิภาคอาเซียนน่าจะคาดหวังได้ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์นานหนึ่งชั่วโมงของนายทรัมป์ เขาตำหนิความล้มเหลวของสหประชาชาติในการยุติความขัดแย้งและตำหนิพันธมิตรของสหรัฐฯ โดยในยุโรป โดยกล่าวว่าประเทศของพวกเขา "กำลังจะตกนรก" เพราะอนุญาตให้มีการอพยพแบบเปิดซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอ้างว่าทำให้มรดกของความเป็นยุโรปเจือจางลงไป
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ ณ ที่ทำการสหประชาชาติ (อ้างอิงวิดีโอจากสำนักข่าว ABC)
ย้อนไปไกลกว่านั้นอีกในปี 2560 นายทรัมป์ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนเพียงครั้งเดียวซึ่งจัดที่เวียดนามในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก ซึ่งการเข้าร่วมในครั้งนั้นทำให้เกิดการรับรู้ว่าสหรัฐฯ ไม่สนใจ และส่งเสริมให้กลุ่มอาเซียนหันไปหาจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนมากขึ้น
และในตอนนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่เดือนส.ค.ในอัตรา 10 - 40 % ทำให้การคาดการณ์การเติบโตถูกปรับลดลง และประเทศสมาชิกอาเซียนก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การโน้มน้าวใจนายรัมป์ให้เห็นถึงผลประโยชน์ร่วมกันจากการค้าเสรีที่คาดเดาได้และเปิดกว้าง
@การค้าที่อยู่บนโต๊ะเจรจา
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นายอันวาร์และเพื่อนสมาชิกร่วมอาเซียนหวังว่านายทรัมป์จะมาถึงที่ประชุมด้วยอารมณ์ที่อยากจะปรองดอง
“การหารือที่กัวลาลัมเปอร์จะช่วยกำหนดทิศทางว่าเศรษฐกิจอาเซียนจะร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอย่างไร” นายโลว์กล่าวและกล่าวว่า
“หากอาเซียนสามารถนำเสนอวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนและประสานงานกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงตลาดเปิด ความยืดหยุ่น และผลประโยชน์ร่วมกัน ก็จะสามารถบรรเทาความขัดแย้งทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นและดึงดูดความเชื่อมั่นด้านการลงทุนใหม่ได้”
อย่างไรก็ตาม อาเซียนยังคงไม่สามารถบรรลุเอกภาพได้ กลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของอาเซียนได้ทำข้อตกลงการค้าแยกต่างหากกับวอชิงตันแล้ว โดยสัญญาว่าจะซื้อสินค้าอเมริกันจำนวนมาก ตั้งแต่ข้าวโพดไปจนถึงก๊าซธรรมชาติและเครื่องบิน เพื่อแลกกับการลดภาษีศุลกากร
ตอนนี้ นายทรัมป์ได้สร้างอุปสรรคอีกครั้งด้วยการขอเป็นประธานในการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของเขาเพื่อจะเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันการเรียกร้องรางวัลดังกล่าวโดยเน้นย้ำถึงการประกาศข้อตกลงหยุดยิงและจับตัวประกันระหว่างอิสราเอลและฮามาสในฉนวนกาซาที่รัฐบาลอิสราเอลให้สัตยาบันในอีกหนึ่งวันถัดมา แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะในที่สุดเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการรางวัลโนเบล ได้ตัดสินใจมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้แก่ นางมาเรีย คอรินา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา
ข่าวไทยและกัมพูชาทำข้อตกลงสันติภาพที่มาเลเซีย (อ้างอิงวิดีโอจาก CNA)
สำหรับความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยนั้นยุติกันที่ข้อตกลงหยุดยิงที่เจรจากันโดยมีมาเลเซียเป็นคนกลาง เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้นายทรัมป์อ้างว่าการสงบศึกครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ โดยอ้างถึงการลดอัตราภาษีศุลกากรที่เขามอบให้ทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตามจีนซึ่งเป็นพันธมิตรของทั้งสองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาสันติภาพด้วย
มีรายงานว่าการประชุมอาเซียนที่จะมาถึง วอชิงตันเรียกร้องให้มาเลเซียห้ามเจ้าหน้าที่จีนเข้าร่วมพิธีลงนามหยุดยิงไทย-กัมพูชาตามข้อมูลจากแหล่งข่าวในทำเนียบขาว ที่ให้สัมภาษร์กับเว็บไซต์ข่าว Politico ของสหรัฐฯ
ด้านแหล่งข่าวทางการทูตและรัฐบาลเปิดเผยกับรายการ This Week in Asia ว่าจะมีการจัดพิธีสันติภาพเชิงสัญลักษณ์ตามคำขอของทรัมป์ แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยืนยันว่าตัวแทนของจีนจะถูกยกเว้นหรือไม่
“เราทราบว่าวอชิงตันเรียกร้องอะไร แต่ทั้งมาเลเซียและอาเซียนก็ยังไม่ได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องนี้” แหล่งข่าวทางการทูตรายหนึ่งซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อกล่าวและกล่าวอีกว่า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทยยังคงสูง โดยทั้งสองฝ่ายต่างโทษกันว่าเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน
ขณะที่นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ซึ่งให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้านั้น ไม่สามารถยอมจำนนต่อแรงกดดันของสหรัฐอเมริกาได้
รายงานข่าวตำรวจไทยปะทะกับผู้ประท้วงกัมพูชา (อ้างอิงวิดีโอจาก NewsXLive)
ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการสัมภาษณ์นายอนุทินถึงความปรารถนาของนายทรัมป์ที่จะเข้าควบคุมดูแลพิธีหยุดยิง นายอนุทินก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมสนใจแค่ผลประโยชน์ของประเทศไทย ความปลอดภัยของคนไทย และอธิปไตยของชาติ ใครก็ตามที่ได้รับรางวัลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ”
ในขณะเดียวกัน นอกเหนือจากเรื่องไทย-กัมพูชา ก็มีวิกฤตการณ์อื่นๆ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา อาทิ ผู้นำรัฐบาลทหารของเมียนมาถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมการประชุมอาเซียนตั้งแต่ปี 2565 เนื่องจากล้มเหลวในการปฏิบัติตามแผนสันติภาพหลังการรัฐประหารและยังคงทำสงครามกับประชาชนของตนเองต่อไป
ด้านแหล่งข่าวรัฐบาลมาเลเซียที่ใกล้ชิดกับการเจรจาอาเซียนกล่าวกับรายการ This Week in Asia โดยไม่ขอเปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนว่า “ตอนนี้สถานการณ์มันยุ่งวุ่นวายมาก ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว และจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ส่วนเรายังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องเมียนมาเลย ดังนั้นการบรรลุฉันทามติในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะเป็นเรื่องยาก”
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์อีกมุมว่าถ้าหากมีการแสดงท่าทีที่ดื้อรั้น นี่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับอาเซียนก็เป็นได้
อาทินายอันวาร์ยังคงยืนกรานอย่างแน่วแน่ว่าอาเซียนจะรักษาความเป็นกลางและต้านทานการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนต่อไป ท่ามกลางมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่กดดันอย่างหนัก
ในฐานะเจ้าภาพการประชุมสุดยอด นายอันวาร์คาดว่าจะยอมรับบทบาทของนายทรัมป์ในการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยการหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยโดยการจัดงานสันติภาพ แต่ไม่ใช่ด้วยการแลกมาด้วยการทำให้จีนแตกแยก ตามข้อมูลการวิเคราะห์ของนายแฮร์ริสัน เฉิง นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ระดับโลก Control Risks ในสิงคโปร์ที่กล่าวว่า
หากท้ายที่สุดแล้วความดื้อรั้นนี้ทำให้นายทรัมป์ไม่กล้าเข้าร่วมการประชุมสุดยอด นายอันวาร์ก็คงพูดได้อย่างน้อยว่าเขาพยายามเต็มที่แล้ว
“ด้วยเหตุนี้ นายอันวาร์จึงยังคงอ้างความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ ซึ่งเขาไม่สามารถทำได้หากเขาปฏิเสธที่จะเชิญนายทรัมป์ตั้งแต่แรก เช่นเดียวกับการรักษาความสัมพันธ์กับจีน” นายเฉิงกล่าวเสริม
เรียบเรียงจาก:https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3328575/malaysia-braces-volatile-asean-summit-trump-centre-stage

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา