
“...เกือบสองปีที่แล้ว ผมทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้ผมต้องทำ คือ การลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก่อนผมลาออก ผมบอกว่า ผมไม่มีพรรคอื่น ผมไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดผมออกมาก็เป็นสีฟ้าจนตาย และจะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้พี่น้องประชาชน และประเทศชาติต่อไปไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน...”
9 ธันวาคม 2566 ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ - พรรคเก่าแก่ ที่ทำให้ ชื่อ อภิสิทธิ์ แจ้งเกิดทางการเมือง เป็น สส.สมัยแรก เมื่อปี 2535 ขณะมีอายุเพียง 27 ปี
“ผมขอลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยืนยันกับท่านที่นี่ ผมไม่มีพรรคอื่น ไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดผมมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณีที่จะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้บ้านเมืองต่อไป วันข้างหน้าถ้าในพรรคคิดว่าผมจะเป็นประโยชน์มาช่วยได้ ผมก็คงไม่ปฏิเสธ”
อภิสิทธิ์ ‘เปล่งวาจา’ ลั่นออกมากลางที่ประชุมใหญ่วิสามัญฯ หลังจาก ‘ปิดห้อง’ คุยกับ ‘เสี่ยต่อ’ เฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคคู่ใจ ก่อนที่ ‘เสี่ยต่อ’ จะก้าวขึ้นเป็น ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9’ โดยที่ความลับในห้องคุยสองต่อสองถูกเก็บงำ-ไม่แพร่งพราย
5 มิถุนายน 2562 ‘อภิสิทธิ์’ ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ขณะนั้นมี ‘มติพรรค’ ให้พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจคสช. ที่มีพรรคพลังประชารัฐขณะนั้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ สนับสนุน ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่สอง
24 มีนาคม 2562 ‘อภิสิทธิ์’ ลาออกจาก ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ ทันทีที่ นำทัพ ‘พลพรรคสีฟ้า’ พ่ายแพ้การเลือกตั้งหมดรูป เกณฑ์ สส.เข้าสภา ‘ต่ำร้อย’ ตกต่ำที่สุดในรอบ 24 ปี – สนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ ที่เคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ‘สูญพันธุ์’

18 ตุลาคม 2568 ‘อภิสิทธิ์’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 7 ก้าวขึ้นเป็น ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’ (อีกครั้ง) เป็น ‘สมัยที่สาม’ ด้วยคะแนนท่วมท้น 96.18 % ชนิดที่ ‘ไร้คู่แข่ง’ ท่ามกลางวิกฤตตกต่ำสุดขีดของพรรคประชาธิปัตย์ ยุคที่มี สส.หลักสิบ หรือ 25 ที่นั่ง
อ่านข่าวประกอบ : 'อภิสิทธิ์' คัมแบ็ก นั่งหัวหน้า ปชป.อีกครั้ง หลังที่ได้คะแนนโหวตท่วมท้น 96.18%
‘อภิสิทธิ์’ อดใจไม่ไหว ที่จะเปิดใจทันที เพื่อระบายความรู้สึกหลังจากที่ประชุมใหญ่ฯของพรรค ลงมติเลือกให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็น ‘คำรบที่สาม’ โดยที่การเลือกตั้ง กก.บห.พรรค ตำแหน่งอื่นๆ ยังไม่ครบ จนเรียกเสียงปรบมือจากสมาชิกพรรคดังกึกก้องห้องประชุม ว่า “ตอนเดินเข้ามา นักข่าวถามผมว่า รู้สึกอย่างไรที่กลับมาบ้าน ผมตอบสั้น ๆ ว่า ใจผมไม่เคยไปไหน”
“ตั้งแต่มีเพื่อนสมาชิกหลายท่านมาพูดคุยกับผมเพื่อสนับสนุนให้ผมกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค สิ่งที่ผมหนักใจที่สุดก็คือ เวลาที่จำกัด ผมจะเติมพลังให้กับพรรคของเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ผมใช้เวลาเกือบทั้งหมดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เชิญชวนคนใหม่ๆ เพื่อเข้ามาอยู่กับพรรค และต้องการให้คนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ผสมผสานกันเพื่อขับเคลื่อนพรรค ตั้งแต่ผมทำงานมา เพื่อนร่วมงานผมอายุมากกว่าผมตลอด ผมเลยขอว่า เที่ยวนี้ให้มีหลายๆ คนอายุน้อยกว่าผมบ้าง ผมจะได้มีผมสีขาวอยู่คนเดียว”
@ กรีดเลือดเป็นสีฟ้าไปจนตาย (อีกครั้ง)
'อภิสิทธิ์' แถลงขอบคุณสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ว่า สัจจังเว อมตะวาจา คือ ข้อความที่ปรากฎอยู่บนสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และกาลเวลาพิสูจน์ความจริงเสมอ
"เกือบสองปีที่แล้ว ผมทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้ผมต้องทำ คือ การลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก่อนผมลาออก ผมบอกว่า ผมไม่มีพรรคอื่น ผมไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดผมออกมาก็เป็นสีฟ้าจนตาย และจะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้พี่น้องประชาชน และประเทศชาติต่อไปไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน"
ไม่ใช่แค่สองปีที่แล้ว ภาพที่ผมไปออกรายการโทรทัศน์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เข้ามาเป็น สส.สมัยแรก มีคนถามว่า จะมีโอกาสย้ายพรรคหรือไม่ ขณะนี้อายุ 27 ปี ได้ตอบไปว่า ยึดถือการเมืองในระบบพรรคการเมือง ชีวิตนี้จะมีพรรคการเมืองเดียว 30 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร วันนี้ยังยืนเช่นนั้น
"ในยุคนี้ที่นักการเมือง อย่าว่าแต่ 30 ปีเลย 3 ชั่วโมงก็เปลี่ยนคำพูดกันแล้ว ผมเป็นลูกพระแม่ธรณีจะยึดถือสัจจะและความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้งตลอดไป"
@ ไม่มีทางกำไร-มากสุดเสมอตัว
ทราบดีว่า สถานการณ์ในวันนี้ ทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์หวั่นไหวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับความเสียเปรียบหลายประการ ขอบคุณสมาชิกรุ่นอาวุโส และเพื่อนๆหลายคนที่อาจไม่เคยร่วมงานด้วย ทุกคนทราบดี บอกกับตนเองว่า
"ผมมาเที่ยวนี้โดยส่วนตัว ผมไม่มีทางกำไร อย่างมากสุดก็เสมอตัว ขาดทุนไม่มากก็น้อยก็น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่ผมระลึกเสมอว่า ชีวิตผมมาถึงจุดนี้ได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ จะลำบากอย่างไร จะขาดทุนเท่าไหร่ ผมก็ต้องกลับมา กลับมาเพื่อให้พรรคการเมืองนี้อยู่คู่ประเทศไทยตลอดไปให้ได้"
'อภิสิทธิ์' กล่าวว่า ไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องพรรค ตนเองก็เป็นหนี้ประเทศนี้ แผ่นดินนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่เคยคิดไปอยู่ที่ประเทศอื่น เพราะเป็นประเทศที่รัก จึงต้องชดใช้หนี้แผ่นดินนี้ เหมือนกับที่ต้องชดใช้หนี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์

@ ต้นตำหรับเสรีประชาธิปไตย
'อภิสิทธิ์' กล่าวว่า การเมืองต้องเปิดประตู คือ การเมืองที่จะต้องมาแข่งขันด้วยการนำเสนอความคิด วิสัยทัศน์ แต่ไม่ใช่นโยบายที่เป็นชิ้น ๆ ปราศจากการคิดเป็นระบบ หรือ มีกรอบความคิดและอุดมการณ์รองรับ
"วันนี้ ผมจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ตกอยู่ในวังวนวาทะกรรม ไม่ต้องมาถามว่าเราอนุรักษนิยม หรือ ประชาธิปไตย หรือ เรากั๊กที่จะเป็นอนุรักษนิยมก้าวหน้า ไม่ต้องมาถามเรา เพราะเราประกาศอุดมการณ์ตั้งแต่ปี 2489 ว่า เรา คือ ต้นตำหรับของพรรคเสรีประชาธิปไตยในประเทศไทย"
วันนี้ ไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการที่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้งทางการเมือง กล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่าล้ม กล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่าโหน ไม่ใช่เรื่องของการเมืองเลย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทยที่ต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ว่าเราจะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกันอย่างไร
"วันนี้เราต้องไม่เอาองค์กรอย่างกองทัพเข้ามาเป็นประเด็นทางการเมือง กองทัพจะทำหน้าที่ได้อย่างไร หากการเมืองมีอคติกับกองทัพ และกองทัพเวลาปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเข้มแข็ง การเมืองไปโหนไม่ได้หรอกครับ การเมืองต้องช่วยสนับสนุนการดำเนินโยบายต่างประเทศเชิงรุกเพื่อให้การทำงานของทหารกับกองทัพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสบายใจได้มากยิ่ง เราไม่ควรเอาความมั่นคงของประเทศ นโยบายการต่างประเทศมาเสี่ยง ผลักภาระให้ประชาชนลงประชามติ"
@ คอร์รัปชั่นกัดเซาะทุกองค์กร
เราจะปล่อยให้การเมืองฉุดรั้งทุกสิ่งทุกอย่างจากการทุจริตคอร์รัปชันต่อไปไม่ได้ ถ้าประชาธิปไตยไม่ได้เริ่มต้นด้วยเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม แต่เป็นการประมูล ซื้อเสียง ซื้อ สส. และคอร์รัปชันกัดเซาะไปทุกองค์กร เป็นต้นทุนมหาศาลไม่ใช่เฉพาะในแง่ของตัวเงิน แต่ความไว้วางใจของคนในสังคมที่จะถูกทำลายและนำไปสู่กฎ ระเบียบ กติกา ที่ซับซ้อน ยุ่งยาก เพื่อพยายามแก้ไขสิ่งนี้ แต่กลายเป็นเปิดช่องให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นในช่องทางใหม่ไม่จบไม่สิ้น
"วันนี้ เราต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะผลักดันให้ความซื่อสัตย์ และการบริหารบ้านเมืองที่สุจริตกลับมาให้ได้ ความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญ แต่จริยธรรมต้องไม่เป็นอาวุธทางการเมืองมาทำลายการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด"
โจทย์ใหญ่กว่าที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมีสส.กี่คน ถ้าเราแก้ปัญหาที่กล่าวมาได้ พรรคประชาธิปัตย์จะอยู่คู่ประเทศไทย จะไม่หายไปไหน จะเป็นหลัก เป็นความหวังของประชาชนทั้งประเทศอีกครั้ง
"ประชาชนโหยหาทางเลือก เบื่อหน่ายกับพรรคการเมืองที่เขามองว่า มีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ดีลลับ สับปลับ วันเว้นวัน เขาต้องการการเมืองที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหาอย่างแท้จริง"
ถ้าเปรียบพรรคประชาธิปัตย์ เหมือน ทีมฟุตบอล คงหนีไม่พ้น นิวคลาสเซิล สโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ที่ อภิสิทธิ์ เป็น แฟนตัวยง เชียร์แล้ว-รักแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...ถึงแม้ว่าจะตกต่ำสุดๆ หรือ รุ่งโรจน์สุดขีดเพียงใดก็ตาม

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา