
"...ก่อนหน้านี้ ‘บ้านใหญ่ม้าทองคำ’ ไม่เคยสยบยอม ‘ชินวัตร’ แม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2544 จนถึงการเลือกตั้งปี 2566 เป็นระยะเวลารวมกว่า 22 ปี แม้ว่าในช่วง ‘ทักษิณฟีเวอร์-แดงขึ้นหม้อ’ แกนนำอย่าง ‘วัฒนา อัศวเหม’ ก็ยัง ‘เซย์โน’ กับ ‘เครือข่ายชินวัตร’ ขอต่อสู้ในแนวทางตัวเอง ทว่าพ่ายแพ้ไม่เคยได้รับชัยชนะแม้แต่หนเดียว เว้นแต่ ‘การเมืองท้องถิ่น’ ที่ ‘บ้านใหญ่ม้าทองคำ’ ยังคง No.1 จนถึงปัจจุบัน..."
ปรากฏการณ์ทางการเมืองช่วงเวลานี้ หนีไม่พ้น ‘พรรคเพื่อไทย’ กำลังอยู่ในช่วงบูรณะพรรคใหม่ หลังจากบอบช้ำ เพลี่ยงพล้ำอย่างหนักจากกรณี
1.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งจากประเด็น ‘คลิปเสียงฉาว’ กับสมเด็จ ฮุน เซน
2.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯมากบารมีผู้เป็นบิดา ถูกศาลฎีกา บังคับโทษให้กลับไปจำคุก 1 ปีจากคดีทุจริต ปัจจุบันถูกคุมขังในเรือนจำกลางคลองเปรม
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘พรรคเพื่อไทย’ เปิดตัว ‘หนิม’ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. 5 สมัยเป็น ‘หัวหน้าพรรค’ คนใหม่ มี ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ ยืนประกบข้างกายในฐานะเลขาธิการพรรคคนใหม่ พร้อมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทั้งหมด มีไม่น้อยเป็นพวก ‘หน้าใหม่-อ่อนพรรษาทางการเมือง’

ดังเห็น ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกฯคนที่ 32 จะสวนกลับ ‘โฆษกพรรคเพื่อไทย’ คนใหม่ว่า “เป็นใคร ไม่รู้จัก” หลังถูกสื่อหยิบมาถามเรื่องรัฐบาลปราบปรามสแกมเมอร์ได้ล่าช้า
แต่ส่วนผสมในพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ ค่อนข้างน่าสนใจ
1.จุลพันธ์ คือบุตรชาย ‘สมพงษ์ อมรวิวัฒน์’ แกนนำ ‘กลุ่ม 16’ ที่ยังได้รับความเคารพนับถือจากนักการเมือง ‘รุ่นใหญ่’ หลายคน ไม่ว่าจะเป็น เนวิน ชิดชอบ สุชาติ ตันเจริญ สรอรรถ กลิ่นประทุม เป็นต้น โดยมีข่าวว่า ในเมื่อ ‘บุตรชาย’ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เขาก็พร้อมจะคัมแบ็กกลับมาช่วยพรรคเหมือนเดิม แม้ว่าจะ ‘ตัดพ้อ’ เรื่อง ‘เจ๊แห่งวังบัวบาน’ แทรกแซงการคัดสรรผู้สมัคร สส.ก็ตาม
2.การกระชับอำนาจของ ‘กลุ่มเจ๊วังบัวบาน’ ที่วางตัวขุนพลคุมโซนภาคเหนือ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะต้องสู้กับ ‘กระแสส้ม’ ที่ยังคงเบ่งบานในพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะใน จ.เชียงใหม่ ‘เมืองหลวงชินวัตร’ ที่รอบก่อนพ่ายแพ้ไปยับเยิน
3.ชื่อของ ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ แซงทางโค้งในช่วงนาทีสุดท้าย มาเข้าวินในฐานะ ‘แม่บ้านพรรค’ อีกคำรบ นั่นจึงทำให้กระแสข่าวว่า ‘เฮียเพ้ง’ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ขยับกลับมาขับเคลื่อนหลังม่านอีกครั้งน่าจะเข้าเค้า โดยสถานะของ ‘เฮียเพ้ง’ นั้นมิใช่ ‘ลูกน้อง’ แต่คือ ‘หุ้นส่วนทางการเมือง’ ของ ‘ชินวัตร’ มีขุนพลอีสานอยู่ในมือจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ ‘เฮียไก่ ประเสริฐ’

@ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
การคัมแบ็กสู่แวดวงการเมืองอีกรอบ แสดงให้เห็นถึงการกระชับอำนาจของ ‘เครือข่ายชินวัตร’ เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สมรภูมิดุเดือดที่สุดหนีไม่พ้น ‘ภาคอีสาน’ เพราะมีศัตรูคนสำคัญสอดแทรกขึ้นมาได้อย่างน่ากลัวนั่นคือ ‘ก๊กน้ำเงิน’ ภูมิใจไทย
ว่ากันว่า ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ สาย ‘ชินวัตร’ ทั้ง ‘อา-หลาน’ ขอเร้นกายทำงานเบื้องหลัง ในการวางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง และประสานงานสิบทิศ เพราะถนัดกว่า ‘หน้างาน’ ที่ต้องไปเป็น ‘เลขาธิการพรรค’ เช่นเดียวกับ ‘มนพร เจริญศรี’ เครือข่ายคนทำงานของ ‘เดอะซัน สุริยะ’
ล่าสุดมีข่าวว่า ‘ชินวัตร’ ดีลลงตัวยุติศึกที่เรื้อรังมานานกว่า 22 ปีกับ ‘บ้านใหญ่ม้าทองคำ’ ตระกูลอัศวเหมแห่งสมุทรปราการ แว่วว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตระกูลอัศวเหม-เครือข่ายทั้งหมด จะไปเปิดตัวกับ ‘พรรคเพื่อไทย’
ก่อนหน้านี้ ‘บ้านใหญ่ม้าทองคำ’ ไม่เคยสยบยอม ‘ชินวัตร’ แม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2544 จนถึงการเลือกตั้งปี 2566 เป็นระยะเวลารวมกว่า 22 ปี แม้ว่าในช่วง ‘ทักษิณฟีเวอร์-แดงขึ้นหม้อ’ แกนนำอย่าง ‘วัฒนา อัศวเหม’ ก็ยัง ‘เซย์โน’ กับ ‘เครือข่ายชินวัตร’ ขอต่อสู้ในแนวทางตัวเอง ทว่าพ่ายแพ้ไม่เคยได้รับชัยชนะแม้แต่หนเดียว เว้นแต่ ‘การเมืองท้องถิ่น’ ที่ ‘บ้านใหญ่ม้าทองคำ’ ยังคง No.1 จนถึงปัจจุบัน

@ วัฒนา อัศวเหม
มีครั้งเดียวที่ซุ้มบ้านใหญ่ปากน้ำ กำชัยชนะเหนือ ‘ค่ายแดง’ ได้นั่นคือการเลือกตั้งปี 2562 ที่ไปซบ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ (พปชร.) โกยแต้มเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากการกำเนิดขึ้นของ ‘พรรคอนาคตใหม่’ ที่แย่งชิงตัดแต้ม ‘เพื่อไทย’ จนพ่ายแพ้ ทว่าเมื่อ ‘ก๊กส้ม’ ผงาดติดลมบน ในการเลือกตั้งปี 2566 ไม่ว่าจะ ‘แดง-บ้านใหญ่ม้าทองคำ’ พ่ายแพ้รวด 8 เขต จนกลายเป็น ‘สมุทรปราการสีส้ม’
แม้ว่าไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ‘ตัวแทนซุ้มบ้านใหญ่’ เหมือนจะมีความสนิทสนม และมีสายสัมพันธ์อันหวานชื่นกับ ‘เครือข่ายสีน้ำเงิน’ จนถึงขนาดลูก-หลาน ‘เกี่ยวดอง’ กันแล้ว ทว่านาทีนี้ ‘ลมเปลี่ยนทิศ’ บ้านใหญ่ม้าทองคำยอม ‘ปรองดอง’ กับ ‘ก๊กแดง’ หวังสยบกระแส ‘ก๊กส้ม’ ที่ยังคงกระแสสูงอยู่ในพื้นที่ หากยังหวังจะได้เก้าอี้ สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ต้องไม่ลืมว่า ชนักปักหลัง ‘เพื่อไทย’ ตอนนี้ยังเหลือคดีสำคัญคือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนกล่าวหา ‘เศรษฐา ทวีสิน’ อดีตนายกฯคนที่ 30 พ่วงยก ครม.เศรษฐา กรณีการปรับลดงบประมาณกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อโยกไปใช้ในโครงการ ‘แจกเงินหมื่น’ โดย ป.ป.ช.ตั้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ทำให้ชื่อของ ‘จุลพันธ์’ และ ‘แกนนำเพื่อไทย’ ขึ้นเขียงในเรื่องนี้ไปด้วย

เศรษฐา ทวีสิน /ภาพจาก www.thairath.co.th
ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เชื่อได้ว่าคดีนี้อาจถูกใช้ ‘ล็อคแขนขา’ ของ ‘นายใหญ่’ มิให้เคลื่อนไหวโดยสะดวกโยธินนัก
แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น คงต้องรอดูโฉมหน้านโยบายของ ‘เพื่อไทย’ ที่เตรียมปล่อยออกมาภายใต้ชื่อ “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน” จะประสบความสำเร็จหรือไม่ รวมถึงแคนดิเดตนายกฯจะเป็นใคร ต้องติดตามอย่ากระพริบตา!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา