
“...ส่วนแนวทางการเพิ่มบทบาทผู้หญิงในรัฐสภานั้น เกือบทุกฝ่ายกล่าวถึงระบบโควตาซึ่งก็มีบางส่วนเห็นด้วย บางส่วนไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงแต่ยังไม่ได้มีการนำไปปฏิบัติ ทำให้แนวทางการเพิ่มบทบาทสตรีในระบบรัฐสภายังคงหาทางออกที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ทำได้เพียงกล่าวถึง แต่อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายล้วนเห็นตรงกันว่าจำนวนสส.เพศหญิงของรัฐสภาชุดนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากอดีต แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้นทีละน้อย แม้อาจจะตามมาตรฐานสากลไม่ทัน…”
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2568 นายเดชา นุตาลัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวอภิปรายคัดค้านร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยความผิดฐาน ‘คุกคามทางเพศ’ โดยมีช่วงหนึ่งยกตัวอย่างสุภาษิตและเนื้อเพลงมาใช้ในการอภิปราย และยังระบุอีกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงถูกผู้ชายมองแล้วย่อมรู้สึกตื่นเต้น ใจเต้นแรงบ้าง จึงไม่ควรถือว่าเป็นคุกคามทางเพศ
การอภิปรายของสว.รายนี้จึงถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ดีแม้สว.รายนี้จะไม่เห็นด้วยแต่ที่ประชุม สว. ลงมติเสียงข้างมากให้รับร่างกฎหมายฉบับนี้ไว้พิจารณา
นอกจากนี้การอภิปรายของสว.รายนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางของประเทศและสังคม หากฝ่ายนิติบัญญัติหรือก็คือรัฐสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสว. มีความคิดที่ไม่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ ย่อมส่งผลกระทบด้านลบต่อประชาชนโดยเฉพาะเพศหญิง ยกตัวอย่างกรณีเส้นทางการเรียกร้องสิทธิลาคลอด 90 วัน ที่เรียกร้องสำเร็จในปี 2536 จนกระทั่งปัจจุบันมีการผลักดันสิทธิลาคลอดเพิ่มขึ้นเป็น 120 วันซึ่งสำเร็จในปี 2568 แต่อย่างไรก็ตามการลาคลอด 120 วันก็ยังคงไม่เพียงพอ จึงมีการเรียกร้องให้เพิ่มสิทธิลาคลอดเป็น 180 วันตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าทารกควรได้รับนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน (ประมาณ 180 วัน) เพื่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ และเพื่อให้คนเป็นแม่ได้ฟื้นฟูร่างกายได้อย่างเต็มที่
เมื่อย้อนดูสัดส่วนจำนวนสส.และสว.เพศชาย-หญิง ข้อมูลจาก UNDP Thailand ระบุว่า ในปี 2566 มีจำนวนผู้สมัคร สส.ทั้งหมด 4,781 คน มีผู้หญิง 878 คน โดยสส.เพศหญิงมีจำนวน 83 คน จากจำนวน สส. 500 คน คิดเป็น 16.6% โดยสัดส่วนสส.หญิงของประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 137 จาก 168 ทั่วโลก ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 26.6% และค่าเฉลี่ย สส.เพศหญิงในอาเซียน อยู่ที่ 23.0%
ส่วนสัดส่วนสว.หญิง iLaw ระบุว่า สว.2567 มี สว.เพศหญิงรวมทั้งหมด 45 คนจาก สว.ทั้งหมด 250 คน หรือคิดเป็น 18%
จะเห็นว่าค่าเฉลี่ยสัดส่วนสส.เพศหญิงของประเทศไทยยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและค่าเฉลี่ยในอาเซียน ส่วนสัดส่วนสว.เพศหญิงก็มีไม่ถึง 25% ของจำนวนสว.ทั้งหมด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สัมภาษณ์ความคิดเห็นและมุมมองของ สส. สว. ต่อประเด็นการอภิปรายของสว. และประเด็นบทบาทสตรีในรัฐสภา มาเรียบเรียงและนำเสนอให้สาธารณชนรับทราบโดยทั่วกัน โดยสส.และสว.ที่สัมภาษณ์ได้แก่
1.รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สว.
2.นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.พรรคประชาชน
3.นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส. พรรคเพื่อไทย
@ ความเห็นต่อการอภิปรายของสว.
ทั้งสามคนล้วนมีความเห็นตรงกันว่า ไม่เห็นด้วยกับการอภิปรายของสว.ท่านนั้น และยังมีบางส่วนระบุอีกว่า สว.ท่านนั้นมีวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ มีความคิดมองผู้หญิงเป็นวัตถุ โดยไม่รับรู้บริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างมากและต้องแยกให้ได้ก่อนว่าการจีบกับการคุกคามมีความแตกต่างกัน
@ ความเท่าเทียมทางเพศในการทำงานการเมือง
เมื่อถามถึงประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เคยถูกเหยียดเพศหรือไม่ มีในการทำงานการคำนึงถึงความเท่าเทียมทางเพศหรือไม่ แต่ละคนมีคำตอบที่แตกต่างกัน มีทั้งมองว่ามีความเท่าเทียมทางเพศอยู่แล้ว ถูกเพศเหยียดทางอ้อม หรือแม้กระทั่งเรื่องเพศถูกมองข้ามและให้ความสำคัญเฉพาะกับความคิดเห็นที่เหมือนกัน
รศ.ดร.นันทนา กล่าวว่า เนื่องจาก สว. ชุดนี้มีที่มาที่ไม่ปกติ โดยส่วนตัวก็ต่อสู้ให้เกิดธรรมภิบาลในรัฐสภา ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องของความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยส่วนตัวได้รับแรงกระแทกเยอะมาก ไม่ใช่เพราะเป็นผู้หญิงแต่เป็นเพราะว่าไปแสดงบทบาทที่จะไม่เห็นชอบให้ สว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปลงมติเลือกองค์กรอิสระ ที่ผ่านมาตนเองถูกกีดกันในการทำหน้าที่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา และยังถูกร้องเรียนจริยธรรมด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
“เรื่องการเหยียดเพศ ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาใน สว. นำมาพิจารณาไม่ได้เลย เพราะว่าถ้าเป็นพวกที่ได้กันเข้ามาเป็นเสียงข้างมาก เขาจะไม่คำนึงอยู่แล้วว่าเป็นเพศอะไร แค่เป็นพวกเดียวกัน เขามองพวกเดียวกันมากกว่าเรื่องเพศเดียวกัน” รศ.ดร.นันทนา กล่าว
นายธัญวัจน์ กล่าวว่า ตนเองปรับตัวค่อนข้างมาก เพราะว่าช่วงที่เป็นสส.สมัยแรก จะโดนจับตาเรื่องการแสดงออกของตนเอง ทุกคนจับจ้องความเป็นกะเทยของตนเองก่อน สิ่งที่ตนเองเปลี่ยน คือ ทำงานเชิงเนื้อหามากกว่าการแสดงออกทำให้ได้ผลที่ต่างกัน ในช่วงหลังที่ปรับตัวก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้น ความหลากหลายทางเพศจะถูกเหยียดหยามต่อเมื่อเราแสดงออกถึงตัวตนที่เป็นกะเทยในบางครั้ง
“ปัญหาตอนนี้ คือ การเหยียดเรื่องเพศสภาพถูกแสดงออกไม่ตรงไปตรงมา เพราะกลุ่มคนที่เหยียดเพศเขาก็จะไม่แสดงออกมาตรง ๆ เพราะเขารู้ว่าประเด็นนี้สังคมค่อนข้างร้อน เขาก็จะเลือกหรือใช้คำพูดแบบอื่นที่เป็นการเลือกปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา” นายธัญวัจน์ กล่าว
นายศรัณย์ กล่าวว่า ในด้านการทำงานตนเองคิดว่าสส.ทุกเพศมีความเท่าเทียมกันอยู่แล้ว ส่วนในแง่การออกกฎหมายต่าง ๆ ตนเองมองว่าไม่ได้มีความแบ่งเพศอย่างชัดเจน เช่น จะออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิหรือสวัสดิภาพของผู้หญิงก็เลื่อนวาระออกไปก่อน เป็นต้น ตนเองคิดว่ากฎหมายส่วนใหญเป็นไปตามวาระ
“การทำงานของกรรมาธิการ จริง ๆ ที่ผมได้เห็นจาก 2 สมัย คืออาจจะมีบางกรรมาธิการ อย่างกรรมาธิการสตรีที่รู้สึกว่าควรเป็นสส.ผู้หญิง เป็นสิทธิสส.ผู้หญิงอยู่ในห้องนี้ เป็นประธานอะไรแบบนี้ ถ้าในประเด็นอื่น สมมติห้องกรรมาธิการดิจิทัลฯ อย่างที่ผมเป็นอยู่ตอนแรก ก็ไม่ได้มีประเด็นนะว่าต้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เป็นคนที่สนใจหรือเป็นคนที่ทำงานมากกว่า” นายศรัณย์ กล่าว
จากคำตอบทั้ง 3 แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานในการเมืองให้ความสำคัญกับความคิดที่เหมือนกันมากที่สุด ส่วนการให้ความสำคัญกับบทบาทสตรีนั้น ก็ให้ความสำคัญในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่มากเท่าเพศชาย เช่น มองว่าในกรรมาธิการสตรีที่ควรมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ส่วนกรรมาธิการอื่น ๆ จะเป็นเพศชายหรือหญิงก็ได้ไม่ได้สนใจเรื่องเพศ เป็นต้น ซึ่งการมีมุมมองข้างต้นก็ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศ เพราะในสภายังคงมีจำนวนสส.เพศชายมากกว่าเพศหญิงอยู่ดี
@ มุมมองสัดส่วนผู้หญิงกับการทำงานการเมือง+แนวทางเพิ่มบทบาทสตรี
เมื่อถามต่อว่ามีความคิดเห็นต่อสัดส่วนสส. สว.ผู้หญิงที่ทำงานการเมือง และมีแนวทางการเพิ่มบทบาทสตรีอย่างไร
โดยในประเด็นสัดส่วน มีบางส่วนที่พูดตรงกันว่ามีสัดส่วนสส.เพศหญิงเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานสากล ส่วนแนวทางการเพิ่มบทบาทสตรี บางส่วนกล่าวถึงระบบโควตาผู้หญิงในระดับรัฐสภา แต่ก็มีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในประเด็นดังกล่าว
รศ.ดร.นันทนา กล่าวว่า ข้อมูลในปี 2566 จะพบว่าค่าเฉลี่ยสัดส่วน สส. เพศหญิงของประเทศไทยยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและอาเซียน ซึ่งจะเห็นว่าโครงสร้างทางการเมือง หรือรัฐธรรมนูญยังมีข้อบกพร่องมากมาย ผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองจะต้องเผชิญกับอุปสรรคอันเกิดมาจากข้อกฎหมายที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เช่น มาตรฐานจริยธรรม กติกาการเลือกสว.ที่ไม่ปกติ อำนาจขององค์กรอิสระที่กว้างขวางเกินขอบเขต เป็นต้น ตัวอย่างเหล่านี้ส่งผลให้เกิดกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว ซึ่งกระบวนการนี้ส่งผลต่อคนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตามที่จะอาศัยเข้ามาทำงานการเมืองอยู่แล้ว
รศ.ดร.นันทนา กล่าว ดังนั้นต้องเริ่มต้นจากรัฐธรรมนูญก่อน ต้องมีเสรีภาพ ความยุติธรรม และธรรมาภิบาล สิ่งเหล่านี้ก็จะเชิญชวนให้เพศไหนก็ตามให้อยากเข้ามาทำงานการเมือง ยกตัวอย่างกรณีของตนเองที่มีความมุ่งมั่นในช่วงวาระสุดท้ายในชีวิต อยากทำประโยชน์ให้สังคม ก็มาเจอแรงกระแทกอย่างหนัก เจอความไม่ยุติธรรมหลายอย่าง ฉะนั้นจะต้องเริ่มต้นจากกติกาที่ดีก่อน จึงจะทำให้คนที่มีศักยภาพไม่ว่าเพศไหนจะเข้ามาทำงานในสภา
“ส่วนเรื่องการเหยียดเพศ ดิฉันคิดว่าการปฏิบัติต่อเพศหญิงในลักษณะที่แตกต่าง เราเห็นว่ามันน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ที่เหลือคือกติกาใหญ่ที่จะต้องให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย” รศ.ดร.นันทนา กล่าว
นายธัญวัจน์ กล่าวว่า ในอดีตการเมืองถูกมองว่าเป็นเรื่องของผู้ชาย ทำให้รัฐสภากลายเป็นสถานที่ของผู้ชายไปโดยปริยาย การออกแบบวัฒนธรรม กฏเกณฑ์ต่างๆ จึงไม่ได้มองในมิติของความเป็นหญิงซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดสิทธิทางเพศของผู้หญิงไป ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สัดส่วนของผู้หญิงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้น เพราะเวลาที่ผู้หญิงเข้ามามีส่วนรวม หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ บทสนทนาหรือการออกแบบนโยบายในรัฐสภาจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนบรรยากาศการเมืองและนโยบายที่พูดถึงเรื่องความเท่าเทียมมากขึ้น สวัสดิการมากขึ้น ความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้น
นายธัญวัจน์ กล่าวว่า ส่วนการเพิ่มบทบาทสตรีนั้นก็มีหลายประเทศพูดถึงเรื่องโควตาของผู้หญิง ซึ่งต้องไปให้ถึง 30% เป็นอย่างน้อย เพราะการกำหนดโควตาด้วยกฎหมาย เมื่อเราไปถึงจุดนั้นได้ เราค่อยมาวัดกันอีกทีว่าโควตาจะยังมีอยู่หรือไม่ ทั้งนี้การกำหนดโควตาบางคนไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะว่าคิดว่าจะไม่ได้เลือกคนที่เก่ง แต่เลือกที่เพศ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราสามารถเลือกคนที่เก่งและเลือกที่เพศได้ เมื่อสามารถเปลี่ยนความเท่าเทียมทางเพศให้มีได้มากขึ้น โควตาสมารถยกเลิกได้
“สิ่งที่กังวลมากขึ้นตอนนี้คือการที่ใช้เรื่องเพศเป็นเครื่องประดับมากกว่า การที่เราเห็นผู้หญิงถูกควบคุมด้วยผู้ชาย และที่น่ากลัวมากกว่านั้นคือการใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องประดับ แต่คนที่ชักใยข้างหลังคือผู้ชาย ในวันนี้คนบอกว่าผู้หญิงมีตัวตนในการเมืองมากขึ้น แต่สำหรับครูมองว่ายังไม่มีตัวตน อย่างกรณีของพรรคประชาชน จะเห็นว่าในการเลือก สส.เขต ในมุมหนึ่งก็มีการสำรวจความคิดเห็นแล้วมีคนตอบว่าเขาเลือกที่พรรค จะเห็นว่าความเป็นผู้หญิงถูกทำให้หายไป” นายธัญวัจน์ กล่าว
นายศรัณย์ กล่าวว่า สำหรับตนเองมองว่ารัฐสภาในสมัยนี้มีสส.ผู้หญิงมากขึ้น เท่าที่เคยมีโอกาสได้ทำงานกับหลาย ๆ ท่าน ในด้านคุณภาพการทำงานก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะทุกคนมีความสามารถ มีศักยภาพในการทำงาน ไม่ได้แตกต่าง อาจจะมีแค่ความสนใจ ความถนัด ที่ไม่เหมือนกัน การมีสัดส่วน สส. เพศหญิงเพิ่มขึ้น เป็นการช่วยเพิ่มมุมมองการทำงานมากขึ้น อีกทั้งถ้าเทียบกับการเป็นสส.สมัยแรกของตนเองพบว่าอายุเฉลี่ยของสส.ก็ลดลง
นายศรัณย์ กล่าวว่า การเพิ่มบทบาทสตรีในงานการเมือง ตนเองมองว่าปัจจุบันช่องทางให้คนที่ต้องการจะเป็นสส. มีช่องทางในการกระจายความคิดเห็นของตัวเอง หรือทำให้ตัวเองเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใด ๆ ได้ มีมากกว่าเมื่อก่อน ถ้าจะส่งเสริมก็คงทำได้เพียงว่าเพิ่มช่องทางในส่วนนี้ให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ตนเองคิดว่าระบบโควตาไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูก ไม่อยากให้มองว่าสัดส่วนเป็นอย่างไร อยากให้มองว่าคนที่เข้ามามีศักยภาพในการทำหน้าที่มากน้อยขนาดไหน ซึ่งก็อยู่ที่ประชาชนจะเลือกมาอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากสถาบันพระปกเกล้าในเรื่อง ‘สตรีกับการเมือง (ไทย)’ เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย ที่มีส่วนหนึ่งระบุถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องบทบาทของผู้หญิงในทางการเมือง สรุปใจความสำคัญได้ว่า สังคมไทยยังมีทัศนคติโน้มเอียงในเรื่องมิติหญิงชาย และความเท่าเทียมกันทางเพศ ทำให้เกิดการปิดกั้นโอกาสของผู้หญิงในการเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ระบุถึงสัดส่วนของเพศหญิงอย่างชัดเจนแต่ใช้คำว่า ‘คำนึงถึง’ ประกอบกับการที่ผู้หญิงจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองโดยเป็นสส.หรือสว.จะต้องได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ได้แก่ ครอบครัว หัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อนนักการเมือง และประชาชน จึงมีข้อเสนอระบบโควตาผู้หญิง (Gender Quota System) ซึ่งเป็นข้อเสนอที่นำไปสู่การเพิ่มพื้นที่ทางการเมืองของผู้หญิงในสภาผู้แทนราษฎรเป็นการสร้างพื้นที่ของโอกาสการแสดงบทบาททางการเมืองของผู้หญิงในระบบรัฐสภาและแก้ไขโครงสร้างทางสังคมที่ยังคงจำกัดอำนาจของผู้หญิงเมื่อเทียบกับผู้ชาย
อีกทั้งยังมีมุมมองของนักวิชาที่มีประสบการณ์ทำงานใกล้ชิดกับรัฐสภา จาก ดร.ถวิลวดี บุรีกุล รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
@ ปัจจุบันมีนักการเมืองหญิงเพิ่มขึ้น
ดร.ถวิลวดี กล่าวว่า สัดส่วนนักการเมืองหญิงมีเพิ่มขึ้นในทางการเมืองระดับชาติ เพราะว่าพรรคการเมืองหลายพรรคเริ่มให้ความสำคัญ มีผู้สมัครเข้ามามากขึ้นในทั้งแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขต พรรคการเมืองบางพรรคก็คัดเลือกผู้หญิงมากขึ้น ทำให้โอกาสมีมากขึ้นด้วย โดยแบบบัญชีรายชื่อบางพรรคเขาก็เอาผู้หญิงไว้ในลำดับต้น ๆ หลายคน ก็ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งหลายคน
ส่วนแบบแบ่งเขตโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับจำนวนฐานเสียง ความพยายามหาเสียง หากมีฐานเสียงมากและพยายามหาเสียงก็จะมีโอกาสที่ผู้หญิงจะได้รับเลือกเป็นสส.
@ บทบาทของสตรีในการเมืองที่เพิ่มขึ้น มีผลต่อการออกกฎหมาย
ดร.ถวิลวดี กล่าวว่า ปัจจุบันจะเห็นว่าเพศหญิงมีบทบาทมากขึ้น กฎหมายหลายฉบับที่เมื่อก่อนออกไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็มีแล้ว เช่น พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เป็นต้น เพราะเมื่อผู้หญิงเข้ามาอยู่ในสภาและใส่ใจเรื่องนี้ก็จะคอยไปผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขา ก็จะคำนึงถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา เขาจะมองว่ากฎหมายนี้จะมีผลกระทบถึงเขาหรือไม่ ทำให้มีการพิจารณาในมิติที่ละเอียดอ่อน มีมุมมองเรื่องความเสมอภาคมากขึ้น
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ยังแฝงอยู่ในการออกกฎหมายของรัฐสภา หลายเรื่องก็ยังไม่ให้ความสำคัญกับบทบาทสตรี เช่น คณะกรรมการพิจารณากฎหมายบางฉบับไม่มีการตั้งกรรมการที่เป็นผู้หญิงแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใส่ใจส่วนนี้ สะท้อนว่ามองว่าทุกคนเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่เหมือน เพราะเวลาพิจารณาเรื่องของนโยบายจะมีมุมมองที่ต่างกัน
@ แนวการเพิ่มบทบาทสตรีในงานการเมือง
ดร.ถวิลวดี กล่าวว่า ต้องมีการผลักดันและขับเคลื่อน และมีกองทุนสนับสนุนผู้ที่อยากเข้าสู่การเมือง เพราะถ้าไม่มีงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพก็เข้าไปไม่ได้ และก็จะไม่มีการพัฒนาศักยภาพมุมมองความรู้ การเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่การเมือง ในปัจจุบันมีกองทุนสตรี แต่ก็ไม่ได้นำมาใช้เพื่อการนี้ หรือมีกรมกิจการสตรี เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นต้องผลักดันตั้งแต่ในท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“บางประเทศแก้กฎหมายเพื่อให้มีโควตาเลย เพื่อเป็นการยกระดับอย่างรวดเร็ว ต้องไปสอนกันตั้งแต่ในโรงเรียนว่าจะต้องมีการพัฒนา ทุกคนเหมือนกันก็จริง แต่เท่ากันไม่ได้เท่าเทียม เพราะบางกลุ่มไม่ได้เข้าถึง เช่น มีภาระทางบ้าน ต้องดูเรื่องเศรษฐกิจการบริการ หรือการที่ต้องดูแลคนอื่นเยอะ ๆ แล้วมาทำงานทางการเมือง แล้วต้องหาเงินอีก ถ้าเราพูดถึงถูบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าว เป็นหน้าที่ของใคร คนก็บอกของผู้หญิง มันก็ไม่น่าใช่” ดร.ถวิลวดี กล่าว
เหล่านี้คือมุมมองของสส. สว. และนักวิชาการ ที่เกือบทุกคนเห็นตรงกันว่าสัดส่วนของเพศหญิงในการเมืองยังคงต่ำอยู่และควรจะมีการเพิ่มสัดส่วน ส่วนมุมมองต่อเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในการเมืองของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางส่วนมีความเห็นว่าถูกเลือกปฏิบัติเพราะเพศสภาพ หรือถูกกีดกันเพราะความคิดเห็นที่แตกต่าง
ส่วนแนวทางการเพิ่มบทบาทผู้หญิงในรัฐสภานั้น เกือบทุกฝ่ายกล่าวถึงระบบโควตาซึ่งก็มีบางส่วนเห็นด้วย บางส่วนไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงแต่ยังไม่ได้มีการนำไปปฏิบัติ ทำให้แนวทางการเพิ่มบทบาทสตรีในระบบรัฐสภายังคงหาทางออกที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ทำได้เพียงกล่าวถึง
แต่อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายล้วนเห็นตรงกันว่าจำนวนสส.เพศหญิงของรัฐสภาชุดนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากอดีต แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้นทีละน้อย แม้อาจจะตามมาตรฐานสากลไม่ทัน


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา