
“...สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของ OECD มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกฎหมายในหลายมิติ ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว เช่น กฎหมายการดูแลประชาชนในประเทศ กฎหมายเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่ต้องทำให้มีฐานรากที่มั่นคง โดยคณะกรรมการที่จะประเมินว่าประเทศไทยจะเข้าร่วม OECD ได้หรือไม่ จะไม่ดูแต่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่จะดูธรรมาภิบาลและการคอร์รัปชันในประเทศอีกด้วย…”
ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของประเทศไทย มีรายละเอียด ดังนี้ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2567 ประเทศไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าเป็นสมาชิกต่อคณะมนตรี OECD
วันที่ 17 มิ.ย. 2567 ประเทศไทยได้รับเชิญให้เข้าสู่กระบวนการหารือเพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD
วันที่ 30 ต.ค. 2567 นายมาทีอัส คอร์มันน์ (H.E. Mr. Mathias Cormann) เลขาธิการองค์การ OECD เดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเริ่มกระบวนการหารือการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทยอย่างเป็นทางการ
และในปัจจุบันนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการประเมินตนเอง เพื่อพิจารณาว่ากฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติต่าง ๆ มีความสอดคล้องกับเครื่องมือทางกฎหมายของ OECD เพียงใด
ทั้งนี้ เพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (Initial Memorandum) ซึ่งมีกำหนดส่งภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 เพื่อให้คณะกรรมาธิการฝ่ายเทคนิคของ OECD (OECD Technical Committees) ใช้ประกอบการทบทวนเชิงลึก (in-depth review) และจัดทำข้อเสนอแนะ (recommendations) โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกฎหมาย นโยบาย และแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD เพื่อประกอบการพิจารณาความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าเป็นสมาชิก
จะเห็นว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่การจะเป็นสมาชิก OECD ไปอีกขั้น
@ OECD คืออะไร ทำไมประเทศไทยต้องเข้าร่วม
OECD คือ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่เน้นการส่งเสริมนโยบายเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้คนทั่วโลก โดยยึดหลักความเท่าเทียมและความเป็นอยู่ที่ดี และยังมีบทบาทในการกําหนดมาตรฐานของโลก ที่ครอบคลุมหลายสาขาสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ เช่น ด้านภาษี ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านพลังงาน ด้านการศึกษา ด้านการต่อต้านคอรรัปชัน ด้านธรรมาภิบาล เป็นต้น โดยประเทศที่เป็นสมาชิก OECD ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ประเทศไทยติด “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” การพัฒนาความสัมพันธ์กับ OECD เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศ การที่ประเทศไทยเข้าร่วม OECD ในรูปแบบการเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ (Full Member) จะเกิดประโยชน์ในด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจทำให้ GDP เพิ่มขึ้นประมาณ 1.6% หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 2.7 แสนล้านบาท จากการลดข้อจํากัดในการลงทุนและการเคลื่อนย้ายทุน การเพิ่มขึ้นของธรรมาภิบาลและความโปร่งใส รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาดของประเทศสมาชิก OECD และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและแนวโน้มสําคัญของโลก อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานของ OECD และส่งเสริมภาพลักษณที่ดีของไทยในระดับสากล
@ จะเข้าร่วม OECD ต้องพัฒนาหลักนิติธรรม
ทั้งนี้แผนงานสำหรับกระบวนการเข้าร่วม OECD ของประเทศไทย (ROADMAP FOR THE OECD ACCESSION PROCESS OF THAILAND) ระบุถึงคุณค่า วิสัยทัศน์ และลำดับความสำคัญร่วมกันของ OECD โดยมีส่วนหนึ่งระบุว่า “...เราเป็นชุมชนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งเสรีภาพส่วนบุคคล คุณค่าแห่งประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และการปกป้องสิทธิมนุษยชน เราเชื่อมั่นในหลักการเศรษฐกิจตลาดที่เปิดกว้างและโปร่งใส ภายใต้อนุสัญญาของเรา เราจะมุ่งมั่นสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่ยั่งยืน พร้อมกับการปกป้องโลกของเรา…”
อย่างไรก็ดี นางสาวบวรลักษณ์ ทองมาก ผู้จัดการโครงการ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (Thailand Institute of Justice : TIJ) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา โดยแสดงความกังวัลเกี่ยวกับหลักนิติธรรม (Rule Of Law) ของประเทศไทย
นางสาวบวรลักษณ์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของ OECD มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกฎหมายในหลายมิติ ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว เช่น กฎหมายการดูแลประชาชนในประเทศ กฎหมายเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่ต้องทำให้มีฐานรากที่มั่นคง โดยคณะกรรมการที่จะประเมินว่าประเทศไทยจะเข้าร่วม OECD ได้หรือไม่ จะไม่ดูแต่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่จะดูธรรมาภิบาลและการคอร์รัปชันในประเทศอีกด้วย
“สิ่งเหล่านี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในเวลาที่ดูความสามารถในการแข่งขันประเทศในทางเศรษฐกิจก็มีความเชื่อมโยงประเด็นทางสังคมและประเด็นทางกฎหมาย การที่เราจะเป็นสมาชิก OECD ได้ การติดกระดุมเม็ดแรกของประเทศจำเป็นต้องดูในเรื่องของรากฐานทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ประชาธิปไตย เหล่านี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่เราต้องทำให้ได้ ถ้าเราไม่กลับมาฟื้นฟูหลักนิติธรรม เราไม่มีทางยกระดับประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานของ OECD” นางสาวบวรลักษณ์กล่าว
@ จะยกระดับหลักนิติธรรม เริ่มจากรัฐเปิดเผยข้อมูล-ให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ
นางสาวบวรลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อย้อนมองหลักนิติธรรมในประเทศไทยจะเห็นว่ายังคงอ่อนแอในหลาย ๆ ด้าน ถ้าดูองค์ประกอบของหลักนิติธรรมตามกรอบแนวคิดสากลของ WJP (World Justice Project) จะครอบคลุมถึงการต่อต้านคอร์รัปชัน การจำกัดอำนาจภาครัฐ และการสร้างรัฐบาลโปร่งใส รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งและอาญาที่ยังต้องได้รับการยกระดับอีกมากในประเทศไทย
“เรื่องง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้ ถ้าเราอยากจะยกระดับหลักนิติธรรมของประเทศ ทำยังไงประเทศถึงจะโปร่งใส ทำยังไงถึงจะสร้างรัฐบาลเปิดที่ประชาชนสามารถตรวจสอบการทำงานของภาครัฐได้ เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนมา ทางหนึ่งคือการทำ Open Government วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ หรือ Open Data ถ้าประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ก็จะสามารถตรวจสอบการทำงานของภาครัฐได้ ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐเป็นการสร้างระบบนิเวศที่ทำหลักนิติธรรมเข้มแข็งได้ในระยะยาว นี่จึงเป็นกระดุมเม็ดแรกที่ทำได้ง่าย ๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้โดยตรง เพื่อยกระดับความโปร่งใสของประเทศได้” นางสาวบวรลักษณ์ กล่าว
@ คะแนนหลักนิติธรรมในประเทศต่ำ แสดงว่ามีคอร์รัปชันสูง
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหลักนิติธรรมและคอร์รัปชัน
นางสาวบวรลักษณ์ กล่าวอีกว่า หลักนิติธรรมกับคอร์รัปชันมีความสัมพันธ์กัน เพราะคอร์รัปชันเป็นรากของปัญหาที่ทำให้หลักนิติธรรมอ่อนแอ เมื่อดูองค์ประกอบของหลักนิติธรรมที่อ้างอิงจาก WJP จะเห็นว่าจะมีเรื่องการจำกัดอำนาจรัฐ การยกระดับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและแพ่ง การบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน เมื่อไปดูในข้อคำถามที่ WJP ใช้ในการสำรวจความคิดเห็นจากประชากรทั่วไป (General population poll : GPP) จะมีมิติของคอร์รัปชัน
“ถ้าการกระทำไหนมีคอร์รัปชันก็จะทำให้หลักนิติรัฐ ( การทำให้รัฐต้องผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานและคุณค่าทางกฎหมายโดยไม่อาจบิดพริ้วได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นอย่างแท้จริงในสังคม) อ่อนแอ ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างแท้จริง ทำให้รัฐบาลไม่อยากเปิดเผยข้อมูลเพราะมีการคอร์รัปชัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง เพราะคนเห็นแก่ประโยชน์มากกว่ามองถึงสิทธิของประชาชน ใช้ประโยชน์จากการคุกคามสิทธิของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นจะเห็นว่าถ้ามีการคอร์รัปชันหลักนิติธรรมจะอ่อนแอ” นางสาวบวรลักษณ์ กล่าว
@ ความสำคัญการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ
ด้านนายสุภอรรภ โบสุวรรณ Co-founder บริษัท แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด : HAND Social Enterprise (องค์กรที่มีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมด้านธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการวิจัย การเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของประชาชน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อการเปลี่ยนแปลง) กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลมีความสำคัญต่อการลดคอร์รัปชัน ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่เจ้าหน้าที่รัฐหรือใครก็ตามที่ได้มาทำหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ ในหน่วยงานภาครัฐไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่แทนประชาชนอีกด้วย เช่น คณะกรรมการประกันสังคม เป็นต้น เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงมีหน้าที่แจ้งข้อมูลหรือเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ไปทำอะไรมาบ้าง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไปทำเรื่องที่ไม่ดี หรือไม่ได้ทำเพื่อประชาชน จะเรียกว่าคอร์รัปชัน ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ฝ่ายที่กระทำการแทนประชาชนต้องเปิดเผยข้อมูลว่าไปทำอะไรมาบ้าง และฝั่งประชาชนต้องเข้าไปดูด้วยว่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ไปทำอะไรมาบ้าง
นายสุภอรรภ กล่าวว่า ในปัจจุบันหน่วยงานรัฐมีทั้งหน่วยงานที่อยากเปิดข้อมูลและไม่อยากเปิดเผยข้อมูล ตนเองมองว่ามีสาเหตุ 3 ประการที่ทำให้หน่วยงานรัฐไม่อยากเปิดเผยข้อมูล ได้แก่
1.ความกลัว เช่น กลัวว่าเปิดเผยข้อมูลไปแล้วข้อมูลผิดพลาดแล้วจะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์
2.กฎหมายต่าง ๆ ที่มีหลายฉบับ จึงมีความกลัวว่าถ้าเปิดเผยข้อมูลไปแล้วจะผิดกฎหมาย
3.ความไม่รู้ เช่น ไม่รู้ว่าจะเปิดเผยยังไง เป็นต้น
โดยทางออกของปัญหาประการแรก คือ อย่ากลัวถ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนปัญหากฎหมายที่มีหลายฉบับเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก ตนเองคิดว่าควรจะมีแนวทางที่ชัดเจนการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งในปัจจุบันมี พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยมาตรา 15 ที่มีส่วนหนึ่งระบุว่า หากเจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลก็ไม่ต้องเปิดเผย ซึ่งส่วนนี้ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ตนเองคิดว่าหน่วยงานควรกำหนดมาเลยว่าข้อมูลใดเปิดเผยได้บ้าง เช่น มีข้อมูล 100 ชุด มีข้อมูลลับ 20 ชุด ส่วนอีก 80 ชุดก็เปิดเผย เป็นต้น เมื่อมีคนมาขอข้อมูลก็สามารถมอบให้ได้โดยที่ข้าราชการไม่ต้องใช้ดุลยพินิจ ส่วนปัญหาจากความไม่รู้จำเป็นต้องมีกระบวนการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ
“การเปิดข้อมูลให้สาธารณชนเข้าถึงได้และเผยแพร่เป็นสาธารณะจะเพิ่มความโปร่งใสและระบุปัจจัยเสี่ยงที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดการคอร์รัปชัน ซึ่งในที่สุดแล้วจะนำไปสู่การเอาผิดเครือข่ายผู้กระทำความผิดได้” นายสุภอรรภ กล่าว
เหล่านี้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักนิติธรรมที่ภาครัฐสามารถทำได้ทันที โดยที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการยกระดับความโปร่งใสและหลักนิติธรรมของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิก OECD
ส่วนประเทศไทยจะสามารถยกระดับประเทศให้สอดคล้องกับเกณฑ์ในการเข้าร่วม OECD ได้หรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา