
เป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาจะส่งผลเสียต่ออิทธิพลของจีนในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะต้องอย่าลืมว่าอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮุน เซน พึ่งพาการลงทุนจากจีนและการสนับสนุนทางการทูตโดยรวมอย่างมาก และตอนนี้ฮุน เซน ก็ยังมีอิทธิพลอย่างมากในกัมพูชา
ข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย-และกัมพูชากลับมาคุกรุ่นอีกครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศฉีกปฏิญญาสันติภาพ 4 ข้อกับกัมพูชา ที่เคยทำไว้ที่ประเทศมาเลเซียเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีการวิจารณ์กันว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้มีท่าทีกดดันไทย แทนที่จะไปกดดันกัมพูชาด้วยกันอันนั้นอาจเป็นความพยายามของนายทรัมป์ที่ต้องการจะแยกกัมพูชาออกมาจากอิทธิพลของจีน
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ของฮ่องกงได้มีการบทความระบุว่าการที่นายทรัมป์ตัดสินใจเอียงข้างฝั่งกัมพูชาเพื่อจะแยกกัมพูชาออกจากจีนนั้นเป็นความคิดที่ผิด
โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
จากการที่วอชิงตันยกเลิกการห้ามส่งอาวุธไปยังกัมพูชา แสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตั้งใจที่จะดึงพนมเปญออกจากปักกิ่ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าจะทำได้ยาก
ตามประกาศจาก Federal Register ของสหรัฐฯ กระทรวงการต่างประเทศได้ยุติการคว่ำบาตรอาวุธต่อกัมพูชาอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน และการขายอาวุธใดๆ ให้กับประเทศดังกล่าวจะต้องตัดสินใจเป็นกรณีๆ ไป
“จากการที่กัมพูชามุ่งมั่นแสวงหาสันติภาพและความมั่นคงอย่างขยันขันแข็ง รวมไปถึงการมีส่วนร่วมใหม่กับสหรัฐฯ ในด้านความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงมีความมุ่งมั่นที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรการค้าด้านการป้องกันประเทศกับกัมพูชา” ประกาศดังกล่าวระบุ
การห้ามซื้อขายอาวุธเริ่มขึ้นในปี 2564 ในสมัยรัฐบาลของนายโจ ไบเดน วอชิงตันอ้างถึงความสัมพันธ์ทางทหารที่ขยายตัวระหว่างพนมเปญกับปักกิ่ง ซึ่งนำไปสู่การระดมทุนของจีนเพื่อขยายฐานทัพเรือเรียมในกัมพูชา รวมถึงข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชน เป็นเหตุผลในการห้ามซื้อขายอาวุธของสหรัฐฯ
การยกเลิกดังกล่าวเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่นายทรัมป์เดินทางไปเยือนมาเลเซียเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน โดยเขาได้พบปะกับผู้นำหลายคนจากภูมิภาคนี้ รวมถึงนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตของกัมพูชาด้วย
ขณะอยู่ระหว่างการประชุมสุดยอดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ นายทรัมป์และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ต้อนรับ พล.อ.ฮุน มาเนต และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อลงนามข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ตามรายงานของคณะผู้แทนสหรัฐฯ ประจำสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สหรัฐฯ ตกลงที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรอาวุธต่อกัมพูชาและกลับมาดำเนินการซ้อมรบทวิภาคี Angkor Sentinel ซึ่งจัดขึ้นครั้งสุดท้ายในปี 2560
นางลิเซล็อตเต้ ออดการ์ด (Liselotte Odgaard) นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันฮัดสัน (Hudson) ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า การที่วอชิงตันยกเลิกการห้ามค้าอาวุธเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นของสหรัฐฯ เพื่อ "รุกล้ำ" เข้าไปในเขตอิทธิพลของจีน
“นโยบายอาเซียนของประธานาธิดีไบเดนมุ่งเน้นไปที่บรรทัดฐานประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการจำกัดการเคลื่อนย้ายอาวุธให้กับระบอบการปกครองที่มีแนวโน้มเผด็จการ ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลทรัมป์มีแนวคิดที่เน้นการปฏิบัติจริงและดำเนินการตามขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมจีนมากกว่าประเด็นการปกครองที่ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน” นางออดการ์ดกล่าวและกล่าวต่อไปว่า“ซึ่งรวมถึงการเริ่มต้นการฝึกซ้อม Angkor Sentinel อีกครั้งหลังจากผ่านไป 8 ปี … และการสำรวจการเยี่ยมชมฐานทัพเรือเรียมของกองทัพเรือสหรัฐฯ”
ด้านนายเกร็กกอรี โพลิง นักวิจัยอาวุโสและผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโครงการริเริ่มความโปร่งใสทางทะเลของเอเชียที่ศูนย์การศึกษากลยุทธ์และระหว่างประเทศ (CSIS) ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่าทรัมป์กำลังทดสอบว่าเขาสามารถ "ใช้ประโยชน์จากกัมพูชาเพื่อให้กัมพูชายุติการเอนเอียงไปทางจีนมากขึ้น ได้หรือไม่
ทำเนียบข่าวเผยแพร่วิดีโอนายทรัมป์เข้าร่วมพิธีลงนามปฏิญญา
แต่เรื่องนี้ยังเปราะบางและยังมีหลายประเด็นที่อาจทำให้วอชิงตันผิดหวังและพลิกผันแนวโน้มนี้การดำเนินนโยบายนี้ได้” นายโพลิงกล่าว
ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อเดือน ต.ค. นายทรัมป์และพล.อ.ฮุน มาเนต ยังได้ตกลงที่จะขยายความร่วมมือในการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงผู้ค้ายาเสพติดและศูนย์กลางการฉ้อโกงทางออนไลน์ที่ขโมยเงินจากชาวอเมริกันไปกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ตามข้อมูลของคณะผู้แทนสหรัฐฯ ประจำอาเซียน
อย่างไรก็ตาม นายโพลิงคาดการณ์ว่ากัมพูชาอาจจะไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปราบปรามศูนย์หลอกลวงเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธที่จะให้สหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพเรียมได้เช่นเดียวกับจีนอีกด้วย
“ข่าวดีสำหรับกัมพูชาคือรัฐบาลทรัมป์ไม่สนใจการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล” นายโพลิงกล่าว
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชาเสื่อมถอยลงภายใต้การบริหารของไบเดน จีนกลับเพิ่มความสัมพันธ์ด้านการป้องกันประเทศกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้
ฐานทัพเรือเรียมเป็นจุดสนใจของความกังวลของวอชิงตันเกี่ยวกับการปรากฏตัวมากขึ้นของจีนในภูมิภาคนี้ ในปี 2562 มีรายงานเกี่ยวกับร่างข้อตกลงเช่า 30 ปี เพื่ออนุญาตให้บุคลากรทางทหารจีนประจำการ เก็บอาวุธ และเข้าถึงเรือรบที่ฐานทัพกัมพูชา
มีรายงานว่าจีนได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในการอัพเกรดฐานทัพเรือเรียม ตั้งแต่ปี 2565 รวมถึงท่าเทียบเรือน้ำลึก 300 เมตร (984 ฟุต) อู่แห้งขนาด 5,000 ตัน ทางลาดลงน้ำขนาด 1,000 ตัน และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์และการฝึกอบรม
กระทรวงต่างประเทศของจีนกล่าวว่าปักกิ่งช่วยระดมทุนเพื่อปรับปรุงท่าเรือ แต่การปรับปรุงดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่บุคคลที่สามแต่อย่างใด
สหรัฐฯ และพันธมิตรแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ฐานทัพเรียมของปักกิ่ง
โดยมักกล่าวถึงฐานทัพแห่งนี้ว่าเป็นฐานทัพเรือต่างประเทศแห่งที่สองของจีน ต่อจากฐานทัพของกองทัพจีนในจิบูตี
วอชิงตันกังวลว่าฐานทัพแห่งนี้อาจช่วยให้กองทัพเรือจีนเข้าถึงทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกาได้ดีขึ้น
ฐานทัพเรือเรียม เปิดทำการอีกครั้งในเดือน เม.ย.หลังจากการปรับปรุง และเรือรบจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เวียดนาม รัสเซีย สหรัฐฯ และจีนต่างเคยไปแวะจอดอยู่ที่นั่น
นอกจากนี้ เรือยูเอสเอส ซาวานนาห์ ยังได้เยี่ยมชมท่าเรือสีหนุวิลล์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเยือนกัมพูชาครั้งแรกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในรอบ 8 ปี
อ้างอิงวิดีโอจากอัลจาซีรา
ด้านนางเคอิ โคกะ รองศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณะและกิจการระดับโลกจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ กล่าวว่าความสัมพันธ์โดยรวมระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา "ดีขึ้น"
โดยวอชิงตันช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทย ขณะเดียวกัน กัมพูชากำลังดิ้นรนเพื่อดึงดูดการลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับข่าวสแกมเมอร์ นี่ทำให้กัมพูชามีแรงจูงใจที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการกระจายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับมหาอำนาจอื่นๆ
นางออดการ์ดกล่าวว่าในระยะสั้น ความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชามีแนวโน้มที่จะขยายตัว "ในระดับปานกลาง"
โดยการกลับมาเริ่มการซ้อมรบ Angkor Sentinal อีกครั้งจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสันติภาพ การบรรเทาภัยพิบัติ และการต่อต้านการก่อการร้าย และการมีส่วนร่วม "เชิงสัญลักษณ์" ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการเยือนฐานทัพเรียม
โดยรวมแล้ว นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการทูตที่เน้นคุณค่าไปสู่การใช้การมีส่วนร่วมเชิงยุทธศาสตร์เป็นลำดับความสำคัญสูงสุด
“หมายถึงการให้ความสำคัญกับการปิดล้อมจีนผ่านความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศทวิภาคี แม้กระทั่งกับประเทศต่างๆ ที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนโยบายการปกครองและสิทธิมนุษยชนมาก่อน” ออดการ์ดกล่าวและกล่าวเสริมว่า
“ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงการปฏิบัติการจริงในระดับใด เช่น ฐานทัพเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ฐานทัพเรือเรียมเป็นต้น
แต่คำถามก็คือว่าสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จในการสร้างความไว้วางใจกับประเทศอาเซียนจำนวนหนึ่งในอนาคต ซึ่งช่วยให้เกิดความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศที่กว้างขวางยิ่งขึ้นหรือไม่
ด้านนายเบนจามิน บาร์ตัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการห้ามขายอาวุธ “ทำให้สหรัฐฯ มีที่นั่งในการเจรจากับทางพนมเปญ”
อย่างไรก็ตาม นายบาร์ตันกล่าวว่า เป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาจะส่งผลเสียต่ออิทธิพลของจีนในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะต้องอย่าลืมว่าอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮุน เซน พึ่งพาการลงทุนจากจีนและการสนับสนุนทางการทูตโดยรวมอย่างมาก และตอนนี้ฮุน เซน ก็ยังมีอิทธิพลอย่างมากในกัมพูชา
เรียบเรียงจาก:https://www.scmp.com/news/china/military/article/3332974/us-ends-arms-embargo-can-it-pry-cambodia-away-china-defence

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา