
"...เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งใหญ่ที่ สุดในรอบ 12 ปีพลันบังเกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดฝัน คืนนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพเปิดร้านค้าขาย สรรพสินค้านานาชนิดในเขตตลาดตัวเมืองหาดใหญ่ กำลังปิดร้านเพื่อกลับไปพักผ่อนยังบ้านเรือนที่อยู่ นอกตัวเมืองหาดใหญ่ น้ำเริ่มทะยอย ไหลหลั่งเข้ามาในตัวเมือง ร้านค้าต่าง ๆ พากันปิดร้าน ยกเข้าของ สินค้าวางไว้บนโต๊ะ บนเก้าอี้ เพราะคาดว่าน้ำคงท่วมไม่เกิน 1 เมตรเท่าที่เคยท่วมอยู่..."
หมายเหตุ : มหาอุทกภัยท่วมอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาครั้งล่าสุด คงเป็นที่กล่าวขานกันไปอีกหลายปี สร้างความสูญเสียกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ยังประมาณค่าไม่ได้ แต่มหาอุทกภัยที่ท่วมอำเภอหาดใหญ่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเท่าที่ตรวจสอบพบว่า ก่อนหน้านี้มีน้ำท่วมใหญอำเภอหาดใหญ่ อย่างรุนแรง จนเป็นที่จดจำมาแล้ว 3 ครั้ง คือในปี พ.ศ. 2531, 2543, 2553
ทั้งนี้ มหาอุทกภัยในปี 2543 ทางการจังหวัดสงขลาได้จัดทำเป็นจดหมายเหตุบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ สำนักข่าวอิศรา เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ไว้ให้สาธารณชน รับทราบทั่วกัน
องค์ประกอบของปัญหา
“นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป่า ศูนย์การค้าแดนใต้”
จังหวัดสงขลา เป็นเมืองหลักของภาคใต้ตอนล่าง โดยมีอำเภอหาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการธุรกิจการพาณิชย์ที่สำคัญโดดเด่นมายาวนาน
แต่เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 12 ปีพลันบังเกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดฝัน คืนนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพเปิดร้านค้าขาย สรรพสินค้านานาชนิดในเขตตลาดตัวเมืองหาดใหญ่ กำลังปิดร้านเพื่อกลับไปพักผ่อนยังบ้านเรือนที่อยู่ นอกตัวเมืองหาดใหญ่ น้ำเริ่มทะยอย ไหลหลั่งเข้ามาในตัวเมือง ร้านค้าต่าง ๆ พากันปิดร้าน ยกเข้าของสินค้าวางไว้บนโต๊ะ บนเก้าอี้ เพราะคาดว่าน้ำคงท่วมไม่เกิน 1 เมตรเท่าที่เคยท่วมอยู่
แต่ทุกคนกลับต้องตกใจและร้องไห้น้ำตาตก เมื่อกลับมาในตอนเช้าพบว่า ไม่สามารถเดินทางเข้าไปยังร้านค้าของตนได้ เพราะระดับน้ำ ท่วมล้นสูงถึงเกือบ 3 เมตร และไหลเชี่ยวกรากอย่างน่ากลัว สินค้า เครื่องใช้และทรัพย์สินต่าง ๆ จมหายอยู่ใต้กระแสน้ำ รถยนต์ รถเข็น พาหนะต่าง ๆ ที่จอดอยู่บน ท้องถนนและใต้ถุนโรงแรมที่พัก จมยับเยินอยู่ใต้น้ำหมดสิ้น เมืองเศรษฐกิจแทบกลับกลายเป็นเมืองร้าง ทรัพย์สิน ร้านค้า สถานประกอบการ และบ้านเรือน จมอยู่ใต้กระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างฉับพลัน มูลค่า ความเสียหาย ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท
จังหวัดสงขลา มีพื้นที่ 7,393.88 ตารางกิโลเมตร ด้านทิศตะวันออกเป็นที่ราบริมทะเล ด้านทิศตะวันตกเป็นภูเขาและที่ราบสูง อยู่ในเขตอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเดือน ตุลาคม-มกราคม และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ของทุกปี ปริมาณน้ำ ฝนเฉลี่ย 2,969 มิลลิเมตรต่อปี และจำนวนฝกตกเฉลี่ยปีละ 202 วัน ประชากรจังหวัดสงขลา 1,219,989 คน (31 ธ.ค. 42) รายได้ประชากรเฉลี่ย 65,706 บาทต่อปี มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม 81,493.24 ล้านบาท รายได้หลักของประชากรได้แก่ การเกษตร อุตสาหกรรม การค้า การบริการ การท่องเที่ยว และอื่น ๆ

สาเหตุของอุทกภัย : อากาศ พื้นที่ ลุ่มน้ำ สาเหตุแห่งปัญหา
1.1 สภาพอากาศ : หย่อมความกดอากาศต่ำ ก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2543 ทวีกำลังแรงขึ้น แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวไทยตอนล่างอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝนตกหนัก ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2543
1.2 สภาพพื้นที่ : จังหวัดสงขลา ด้านล่างเป็นพื้นที่ภูเขา ในอำเภอสะเดา, สะบ้าย้อย, เทพา และนาทวี น้ำฝนจากอำเภอสะเดาและอำเภอนาหม่อมไหลลงสู่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะเป็น แอ่งกะทะ รองรับน้ำ โดยด้านตะวันออกถูกกั้นด้วยภูเขาคอหงส์ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 407 (ถนน กาญจนวนิช) หมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) และหมายเลข 408 (ถนนสงขลา-จะนะ) ในขณะที่น้ำ ฝนจากอำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอนาทวี ไหลลงสู่อำเภอจะนะ และพื้นที่จังหวัดสงขลาด้านบนน้ำฝน จากเทือกเขาบรรทัดไหลผ่านจังหวัดพัทลุง ลงสู่ทะเลสาบสงขลาแล้วเอ่อล้นท่วมพื้นที่อำเภอระโนด กระแสสินธุ์, สทิงพระ และสิงหนคร โดยน้ำทะเลจากอ่าวไทยหนุนสูงขึ้นพร้อมกัน
1.3 สภาพลุ่มน้ำ : พื้นที่ด้านล่างของจังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา พื้นที่ 2,170 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมอำเภอสะเดา นาหม่อม คลองหอยโข่ง และหาดใหญ่ การเคลื่อนตัว ของน้ำจะไหลจากอำเภอสะเดา ตามเส้นทางคลองอู่ตะเภายาว 128 กม. ย่านบ้านพังลา คลองแงะ ย่านยาว บางศาลา ชายคลอง ถึงอำเภอหาดใหญ่ ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาที่บ้านแหลมโพธิ์ ตามเส้นทางของน้ำมีลำน้ำสาขา 11 สาย และอ่างเก็บน้ำ 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำจำไหร ความจุ 6 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำคลองหลา ความจุ 25 ล้าน ลบ.ม. และอ่างเก็บน้ำสะเดา ความจุ 56 ล้าน ลบ.ม. โดยคลองอู่ ตะเภาและลำน้ำสาขา มีศักยภาพสามารถระบายน้ำได้เพียง 461 ลบ.ม./วินาที ในขณะที่ปริมาณน้ำใน พื้นที่ในวันเกิดเหตุ 751 ลบ.ม./วินาที จึงเกิดน้ำท่วมขึ้นอย่างฉับพลัน

2. สถานการณ์อุทกภัย
2.1 สภาพอุทกภัย
หย่อมความกดอากาศต่ำ เคลื่อนตัวถึงจังหวัดสงขลา วันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 ทำให้ฝนเริ่มตกหนักทั่วลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา วันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 เวลา 17.00 น. ฝนตกหนักสูงสุด บริเวณอำเภอนาหม่อม 440.0 มม. อำเภอหาดใหญ่ 315.7 เมตร อำเภอสะเดา 177.6 ม. อำเภอคลองหอยโข่ง 173.4 มม. น้ำฝนจากอำเภอสะเดาและนาหม่อมไหลบ่าลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ เป็นผลให้ในเวลา 22.00 น. วันเดียวกันเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ในถนนทุกสายในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ 20-30 ซม. วันที่ 22 พฤศจิกายน 2543 น้ำท่วมสูงสุดประมาณ 2.00-3.00 ม. ในทุกพื้นที่เทศบาลนคร หาดใหญ่ ยกเว้นบริเวณถนนกาญจนวนิช โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และค่ายเสนาณรงค์ เขตน้ำท่วม รุนแรง ได้แก่ บริเวณหาดใหญ่ใน วัดโคกสมานคุณ ถนนสาครมงคล ถนนพลพิชัย ถนนสันติราษฎร์ ถนนรัถการ ริมคลองแห และบริเวณใกล้เคียงอื่น ในขณะที่น้ำท่วมกระจายออกเต็มพื้นที่ทั้ง 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2543 น้ำลดระดับลงอย่างรวดเร็ว เหลือเฉพาะบริเวณริม คลองอู่ตะเภา
2.2 สภาพความเสียหาย
ความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยดังกล่าวกระจายเต็มจังหวัดในพื้นที่ 16 อำเภอ 124 ตำบล 965 หมู่บ้าน 3 เทศบาล จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 ระดับน้ำลดลงเหลือพื้นที่น้ำท่วมขัง ใน 7 อำเภอ 66 ตำบล 445 หมู่บ้าน (อำเภอระโนด, กระแสสินธุ์, สทิงพระ, สิงหนคร, บางกล่ำ, จะนะ และเทพา)
2.3 ความเดือดร้อนของราษฎร
1) บาดเจ็บ 382 คน (อำเภอหาดใหญ่ 373 คน, อำเภอสะบ้าย้อย 4 คน, อำเภอนาทวี 4 คนและอำเภอเทพา 1 คน)
2) เสียชีวิต 32 คน (อำเภอหาดใหญ่ 15 คน, นาหม่อม 2 คน, สะบ้าย้อย 1 คน, ควนเนียง 6 คน, จะนะ 2 คน, บางกล่ำ 3 คน, นาทวี 2 คน และสะเดา 1 คน)
3) อพยพราษฎรไปอยู่ในที่ปลอดภัย 25,216 คน 5,844 ครัวเรือน
4) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 552,579 คน 130,117 ครัวเรือน
2.4 สภาพการณ์ความเสียหาย
1) โครงสร้างพื้นฐาน
1.1) ทางหลวงแผ่นดิน (แขวงการทาง) เสียหาย 20 สายทาง ค่าเสียหายประมาณ 15.11 ล้านบาท
1.2) ถนนลาดยางและถนนลูกรัง (รพช.) เสียหาย 102 สายทาง
1.3) แหล่งน้ำผิวดิน (รพช.) เสียหาย 30 แห่ง
1.4) บ่อบาดาลและระบบประปาชนบท (รพช.) เสียหาย 40 แห่ง
1.5) ถนนลาดยาง (ยธ.) ในพื้นที่ 13 อำเภอ เสียหาย 37 สายทาง
1.6) ถนนคอนกรีตในหมู่บ้าน 16 อำเภอ (ยธ.) เสียหาย 230 สายทาง
1.7) ถนนลาดยางในหมู่บ้าน 16 อำเภอ (ยธ.) เสียหาย 62 สายทาง
1.8) บ่อบาดาล (ยธ.) ในพื้นที่ 16 อำเภอ เสียหาย 536 บ่อ
2) อาคารสิ่งก่อสร้าง
2.1) บ้านพักอาศัย 1,627 หลัง มูลค่า 77,370,000 บาท
2.2) โรงเรียน 467 โรง มูลค่า 142,815,835 บาท
2.3) ศาลากลางบ้าน 2 หลัง มูลค่า 200,000 บาท
2.4) วัด/มัสยิด 323 แห่ง มูลค่า 18,869,700 บาท
2.5) ที่ทำการ อบต. 15 แห่ง มูลค่า 6,000,000 บาท
2.6) สถานีอนามัย 16 แห่ง มูลค่า 1,130,000 บาท
2.7) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 56 แห่ง มูลค่า 2,800,000 บาท
3) ทรัพย์สินการเกษตร
3.1) พื้นที่การเกษตร เสียหาย 273,744 ไร่ ในพื้นที่ 16 อำเภอ 122 ตำบล
- นาข้าว 225,320 ไร่
- ไม้ผลไม้ยืนต้น 27,890 ไร่
- พืชไร่ 7,690 ไร่
- พืชผัก 12,844 ไร่
มูลค่าความเสียหาย รวม 318,808,000 บาท
3.2) ด้านการประมงเสียหายใน 16 อำเภอ มูลค่า 354,072,988 บาท
- บ่อปลา/กระชัง เลี้ยงปลา 13,652 บ่อ/กระชัง
- บ่อกุ้งกุลาดำ 2,904 บ่อ
3.3) ปศุสัตว์
- สัตว์เลี้ยงได้รับผลกระทบ (อดหญ้า, เจ็บป่วย) 808,888 ตัว
- ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เสียหาย 13,540 ไร่
- สัตว์เลี้ยงตาย 307,460 ตัว มูลค่าประมาณ 21,425,395 บาท
4) ด้านการสาธารณสุข
4.1) โรงพยาบาลหาดใหญ่ ระดับน้ำสูง 2 ม. ความเสียหายมูลค่า 49,100,000 บาท
4.2) โรงพยาบาลชุมชนได้รับความเสียหาย 5 แห่ง (จะนะ, เทพา, นาทวี, บางกล่ำ, สะเดา) มูลค่า 11,821,920 บาท
4.3) สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ได้รับความเสียหาย 5 แห่ง (หาดใหญ่, จะนะ, เทพา, ระโนด, สะเดา) สถานีอนามัยเสียหาย 46 แห่ง มูลค่ารวม 8,826,210 บาท
4.4) ประชาชนป่วยด้วยโรคที่เกิดจากน้ำ ได้แก่
- น้ำกัดเท้า 7,191 ราย
- ไข้หวัด 5,519 ราย
- โรคผิวหนัง 2,277 ราย
- โรคทางเดินอาหาร 293 ราย
- โรคปวดศีรษะ 265 ราย
- โรคปวดท้อง 247 ราย
- บาดแผล 181 ราย
และอื่น ๆ
5) ด้านการอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมประสบความเสียหายทั้งสิ้น 165 ราย (โรงงานขนาดใหญ่ 25 ราย, โรงงานขนาดเล็ก 140 ราย)
6) ด้านการค้าและบริการ จังหวัดสงขลาโดยเฉพาะในเขตอำเภอหาดใหญ่ ผู้ประกอบการค้า ประสบความเสียหายอย่างมาก ทั้งด้านร้านค้าและบริการทุกประเภท ย่านการค้าที่เสียหายรุนแรง ได้แก่ บริเวณตลาดกิมหยง สันติสุข และตลาดพลาซ่า
โรงแรมและสถานบริการเสียหาย 77 แห่ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 400 ล้านบาท มูลค่า การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจประมาณ 500 ล้านบาท
รวมมูลค่าความเสียหายด้านธุรกิจเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งจังหวัด จากการประเมินของ หอการค้าจังหวัดสงขลา ประมาณ 10,000 ล้านบาท
7) ด้านการศึกษา โรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชน เสียหาย 384 แห่ง มูลค่า 124,756,585 บาท วัดเสียหาย 165 แห่ง และมัสยิดเสียหาย 162 แห่ง รวมมูลค่า 18,662,700 บาท มูลค่า ความเสียหายทั้งสิ้น 143,419,285 บาท

2.5 สถานการณ์และความเสียหายในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
1) จังหวัดตรัง
- พื้นที่ประสบภัย 9 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ, รัษฎา, ห้วยยอด, วังวิเศษ, กันตัง, ย่านตาขาว, นาโยง, ปะเหลียน, สิเกา รวม 35 ตำบล 197 หมู่บ้าน ราษฎรประสบความเดือดร้อน 22,100 คน 4,415 ครัวเรือน อพยพราษฎร 280 คน 80 ครัวเรือน เสียชีวิต 1 คน มูลค่า ความเสียหายเบื้องต้น 50,585,485 บาท
- ความช่วยเหลือเบื้องต้น แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค 17,595 ชุด น้ำดื่ม 4,520 ขวด เวชภัณฑ์ 1,200 ชุด
2) จังหวัดพัทลุง
- พื้นที่ประสบภัย 10 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ, เขาชัยสน, ควนขนุน, กงหรา, ตะโหมด, ป่าบอน, บางแก้ว, ปากพะยูน, ศรีบรรพต, ป่าพะยอม และกิ่ง อ.ศรีนครินทร์ รวม 64 ตำบล 589 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 205,499 คน 51,918 ครัวเรือน อพยพราษฎร 1,696 คน 712 ครัวเรือน เสียชีวิต 2 คน มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 538,727,250 บาท
- ความช่วยเหลือเบื้องต้น แจกจ่ายอาหารแห้ง 21,763 ชุด เครื่องอุปโภคบริโภค : 1,183 ชุด น้ำดื่ม 4,050 ขวด
3) จังหวัดสตูล
- พื้นที่ประสบภัย 6 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ, ละงู, ท่าแพ, ควน กาหลง, ควนโดน, ทุ่งหว้า และกิ่ง อ.มะนัง รวม 47 ตำบล 221 หมู่บ้าน ราษฎรประสบความ เดือดร้อน 22,100 คน 4,415 ครัวเรือน อพยพราษฎร 280 คน 80 ครัวเรือน มูลค่าความเสีย หายเบื้องต้น 12,000,000 บาท
- ความช่วยเหลือเบื้องต้น แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค 800 ชุด
4) จังหวัดยะลา
- พื้นที่ประสบภัย 7 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ, ยะหา, บันนังสตา, รามัน, ธารโต, กาบัง, เบตง และกิ่ง อ.กรงปีนัง รวม 54 ตำบล 235 หมู่บ้านราษฎรประสบความเดือดร้อน 78,590 คน 20,515 ครัวเรือน เสียชีวิต 4 คน อพยพราษฎร 5,653 คน 1,398 ครัวเรือน มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 80,450,650 บาท
5) จังหวัดปัตตานี
- พื้นที่ประสบภัย 12 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ, ไม้แก่น, สายบุรี, ทุ่งยางแดง, แม่ลาน, โคกโพธิ์, กะพ้อ, ยะหริ่ง, ปะนาเระ, หนองจิก, มายอ, ยะรัง รวม 106 ตำบล 520 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 211,653 คน 44,959 ครัวเรือน อพยพราษฎร 33,885 คน 7,268 ครัวเรือน เสียชีวิต 5 คน ความเสียหายเบื้องต้น 200,253,199 บาท
- ความช่วยเหลือเบื้องต้น แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค 1,342 ชุด ข้าวห่อ 3,160 ห่อ น้ำดื่ม 3,258 โหล โครงการเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก สนับสนุนน้ำดื่ม 9,000 ขวด บะหมี่สำเร็จรูป 1,387 กล่อง
6) จังหวัดนราธิวาส
- พื้นที่ประสบภัย 13 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ, สุไหงปาดี, แว้ง, รือเสาะ, บาเจาะ, จะแนะ, ยิ่งอ, ศรีสาคร, สุไหงโกลก, สุคิริน, ระแงะ, ตากใบ, เจาะไอร้อง รวม 74 ตำบล 312 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 103,123 คน 19,226 ครัวเรือน เสียชีวิต 1 คน อพยพราษฎร 615 คน 85 ครัวเรือน ความเสียหายเบื้องต้น 100,000,000 บาท
- ความช่วยเหลือเบื้องต้น แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค 4,406 คน น้ำดื่มโครงการ อาสาเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก จำนวน 1,500 ขวด

3. การแก้ไขปัญหาอุทกภัยของจังหวัดสงขลา
3.1 การเตรียมการ
กองอำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนจังหวัดสงขลา ได้ดำเนินการตามแนวทางของกองอำนวย การป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราชอาณาจักร โดยประสานข้อมูลกับศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวัน ออก ดำเนินการดังนี้
1) จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดสงขลา ขึ้น ณ ศาลากลางจังหวัดสงขลา และจัดประชุมซักซ้อมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย มอบหมายภารกิจหน้า ที่ของคณะกรรมการ และ จนท.ประจำศูนย์ฯ เมื่อ 25 ตุลาคม 2543
2) แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์ เฝ้าระวังคอยเหตุและประสานงาน 24 ชั่วโมง ประจำ กอ.เฉพาะกิจฯ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2543 (ก่อนเกิดอุกทกภัยกว่า 1 เดือน)
3) จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหรือวาตภัยทุกอำเภอและทุกเทศบาล ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2543 เฝ้าระวังคอยเหตุ 24 ชั่วโมง
4) ออกประกาศประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในการเตรียมการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ตามประกาศลงวันที่ 13 กันยายน 2543 เน้นย้ำ ให้ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ การเตรียมอพยพ การเตรียมอุปกรณ์ และอาหารฉุกเฉิน การเคลื่อนย้ายพาหนะ การระวังดินถล่ม การปฏิบัติหลังภัยน้ำท่วม ผ่านพ้น และอื่น ๆ
3.2 การระดมการช่วยเหลือ
ในช่วงเกิดอุทกภัย นอกจากการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหรือวาตภัยฯ ขึ้นที่ศาลากลางจังหวัดสงขลาแล้ว ยังได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือฯ (ส่วนแยก) ขึ้นที่มณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ เทศบาลนครหาดใหญ่ และที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ ระดมความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และพี่น้องประชาชน เข้าแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ด้วยการระดมการบริจาคและจัดหาอาหารสด อาหารแห้ง น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องยังชีพ ยา รักษาโรค และอื่น ๆ ที่จำเป็น ส่งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งทางอากาศ โดยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือ กองทัพบก และตำรวจ พาหนะทางบก ได้แก่ รถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ รถเกรด รถตัก รถยก รถแบคโฮ รถลาก และพาหนะทางน้ำ ได้แก่ เรือท้องแบน เรือยาง ล้อยาง เรือหางยาว เรือกอและ และเรือประมง และเรืออื่น ๆ โดยได้จัดส่งพาหนะพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสารอาหารแห้ง 164,960 ชุด ข้าวสาร 36,800 กิโลกรัม และน้ำดื่ม 35,678 ขวด เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน จนสามารถบรรเทาความเสียหายของประชาชนลงได้อย่างทันท่วงทีในระดับหนึ่ง
3.3 การอพยพคน
1) ระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2543 การอพยพคนทำได้ลำบากมาก เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก การนำเรือเข้าไปช่วยอพยพคนไม่สามารถดำเนินการได้อย่างทั่วถึง จุดที่ ประชาชนได้ใช้เป็นที่พักระหว่างอพยพมากที่สุด คือ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2) ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายบน 2543 หลังจากที่ฝนหยุดตกและน้ำเริ่มลดระดับลงแล้ว การอพยพก็สามารถดำเนินการได้สะดวกขึ้น โดยใช้รถบรรทุกทหารและเรือในการลำเลียง และบางส่วนที่ ช่วยตนเองได้ ก็ได้เดินทางมาขอรับความช่วยเหลือด้วยตัวเอง
3.4 สภาพการช่วยเหลือ
1) การช่วยเหลือทางน้ำในระยะแรก ๆ ตั้งแต่วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2543 ดำเนินการไปด้วยความลำบากยิ่ง เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยว และความสลับซับซ้อนของเส้นทางพื้นที่ เรือที่ได้จัด เตรียมไว้ไม่สามารถใช้ได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรือท้องแบน และเรือหางยาว ยกเว้นเรือยาง ที่พอจะใช้ได้บ้าง
2) การช่วยเหลือทางอากาศ โดยเฮลิคอปเตอร์นั้น ประสบปัญหาอย่างมาก เนื่องจาก สภาพอากาศปิด การใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อการส่งเสบียงอาหาร สามารถปฏิบัติได้อย่างจริงจัง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2543 หลังจากที่ฝนหยุดตก และสภาพอากาศเปิดแล้ว
3) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณส่งรถดาวเทียมเคลื่อนที่ส่วนพระองค์ จากพระตำหนักทักษิณไกลกังวล อำเภอหัวหิน มาเสริมระบบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกระบบ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2543 โดยมีฐานปฏิบัติงานอยู่ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดสงขลา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการพระราชทานถุงยังชีพ (ถุงพระราชทาน) จำนวน 450 ถุง เพื่อนำไปช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย รวมทั้งยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ส่งมาโดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และสภากาชาดไทยด้วย
4) การขาดแคลนน้ำดื่มและไฟฟ้า
จากการตัดกระแสไฟฟ้าในเขตอำเภอหาดใหญ่ทั้งอำเภอ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2543 ทำให้การประปาจังหวัดสงขลาไม่สามารถผลิตน้ำประปาบริการแก่ประชาชนได้ ก่อให้เกิดปัญหา การขาดแคลนสำหรับน้ำอุปโภคและบริโภคในพื้นที่ และส่งผลต่อเนื่องไปถึงน้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งจำเป็นต้องส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยเกิดขาดแคลนด้วย จึงแก้ไขปัญหาโดยการขอรับการสนับสนุนน้ำดื่มบรรจุขวดจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ภูเก็ต ยะลา และจังหวัดพังงา มาช่วยผู้ประสบภัย รวมทั้งการนำน้ำที่ผลิตโดยศูนย์อนามัยสิ่งแวดล้อมเขต 12 มาบรรจุใส่ขวดและถุงพลาสติก ไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2543 น้ำเริ่มลดระดับลงและรถสามารถเคลื่อนที่ไปตามถนน บางสายได้ จึงนำรถบรรทุกน้ำไปแจกจ่ายผู้ประสบภัยในทุกจุดของอำเภอหาดใหญ่

3.5 มาตรการแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนของจังหวัดสงขลา
หลังภาวะน้ำลดระดับลง จังหวัดได้วางระบบในการแก้ไขปัญหา ระยะเร่งด่วน โดยดำเนินการดังนี้
1) ทำความสะอาดจัดเก็บเศษขยะมูลฝอย พร้อมฟื้นฟูและรื้อถอนสิ่งกีดขวางในเขตเกิดอุทกภัย โดยระดมกำลังและอุปกรณ์ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าดำเนินการ
2) การแจกจ่ายยารักษาโรค 6,932 ชุด นมผง 394 ถุง คลอรีน 718 กก. สารส้ม 350 กก.
3) การรักษาพยาบาลผู้ป่วยเบื้องต้น 3,649 ราย
4) แจกจ่ายอาหารสัตว์ 94,518 กิโลกรัม หญ้าแห้ง 5,251 ฟ่อน
5) อพยพราษฎรไปอยู่ที่ปลอดภัย 25,216 คน 5,844 ครัวเรือน รักษาผู้ป่วยได้ 23,753 ราย
6) จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชน 23 ชุด 156 หน่วย ปฏิบัติรักษาผู้ป่วยได้ 23,753 ราย
7) พ่นหมอกควันกำลังยุงและแมลงในเขตประสบอุทกภัย
8) หน่วยการศึกษา จัดชุดซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์แก่ประชาชน
9) รักษาความสงบเรียบร้อยและการจราจร
3.6 การช่วยเหลือของเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา
ภาคเอกชนองค์กรต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา มีบทบาทและส่วนร่วมที่สำคัญยิ่ง ในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัด อาทิ เหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา ซึ่งได้ให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ดังนี้
วันที่ 23-25 พ.ย.43
- ปฏิบัติงานร่วมบรรจุถุงยังชีพ จัดเตรียมเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และร่วมผลิตอาหาร ณ ศูนย์พัฒนานิคมภาคใต้ เพื่อส่งออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย
- ดำเนินการออกอากาศประชาสัมพันธ์ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดสงขลา ในระหว่างเกิดอุทกภัย เพื่อประสานงานช่วยเหลือและให้กำลังใจแก่ ผู้ประสบอุทกภัยเป็นระยะ
วันที่ 26 พ.ย. 43
- ปฏิบัติงานจัดเตรียมเครื่องอุปโภค บริโภค ณ ศูนย์พัฒนานิคมภาคใต้และออกเยี่ยม เยียนผู้ประสบภัย ณ ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยส่วนแยก ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
- ร่วมกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์สภากาชาดไทย สถานีกาชาด สิรินธร และชมรมแม่บ้านมหาดไทย ออกมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบ ภัยในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 10,000 ชุด
วันที่ 27 พ.ย. 43
- เดินทางไปรับของบริจาค (เครื่องอุปโภค บริโภค) ณ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งส่ง มาจากจังหวัดภูเก็ต เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 4,000 ชุด
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบอุทกภัย ณ อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา 3,000 ชุด
วันที่ 28 พ.ย. 43
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบภัย ณ อำเภอเทพาและอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา 500 ชุด
วันที่ 29 พ.ย. 43
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบภัย ณ อำเภอควนเนียง อำเภอสิงหนคร และอำเภอรัตภูมิ 300 ชุด
วันที่ 30 พ.ย. 43
- รับ-ส่งเสด็จฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งเสด็จฯ มาพระราชทาน เครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบอุทกภัย ณ อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา 1,000 ชุด
วันที่ 1 ธ.ค. 43
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบภัย ณ อำเภอบางกล่ำ และ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 500 ชุด
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบภัย ณ อำเภอนาทวี และ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา 300 ชุด
วันที่ 2 ธ.ค. 43
- ร่วมกับนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและคณะ มอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัย ณ อำเภอควนเนียง และอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบภัย ณ อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา 500 ชุด
วันที่ 7 ธ.ค. 43
- ออกเยี่ยมเยียนและมอบเครื่องอุปโภค บริโภค แก่ผู้ประสบภัย ที่ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา 300 ชุด
วันที่ 9 ธ.ค. 43
- ออกเยี่ยมเยียนและร่วมนำเครื่องอุปโภค บริโภค ของ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสู ลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่อำเภอสทิงพระ, อำเภอกระแสสินธุ์ และอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา 1,500 ชุด
วันที่ 18 ธ.ค. 43
- ร่วมกับสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ออกมอบ อุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่ได้รับความสูญเสียจากน้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 5 ราย ดังนี้
1) มอบเครื่องมือซ่อมเครื่องยนต์ (สว่าน หินเจีย มอเตอร์ปั๊มลม แม่แรง) เป็นเงิน 10,000 บาท แก่นายสมศักดิ์ ฝักแก้ว ม.2 ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่
2) มอบพันธุ์ตะพาบน้ำ 1,000 ตัว เป็นเงิน 10,000 บาท แก่นายประจบ ไชยกูล ราษฎรผู้เลี้ยงตะพาบน้ำ ม.2 ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่
3) มอบพันธุ์ไก่ เป็นเงิน 10,000 บาท แก่นายไข่ หน่อเพชร ราษฎรผู้เลี้ยง ไก่ ม.2 ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่
4) มอบจักรเย็บผ้า 2 หลัง เป็นเงิน 10,000 บาท แก่นางสุริยะ หลีอารัญ ราษฎรผู้รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า ม.1 ต.คลองแห อ.หาดใหญ่
5) มอบรถเข็น 1 คัน เป็นเงิน 10,000 บาท แก่นางวิภาวดี ไชยแก้ว ราษฎรผู้ขายซาลาเปาและข้าวยำ ถนนศรีภูวนารถ อำเภอหาดใหญ่
3.7 การให้ความช่วยเหลือของ ฯพณฯ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ในขณะที่ จังหวัดสงขลา โดย นายสวัสดิ์ แกล้วทนงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และ นายสมพร ใช้บางยาง นายยงยุทธ แสงจันทร์ นายประจักษ์ สุวรรณภักดี รองผู้ว่าราชการจังหวัด สงขลา ทั้ง 3 ท่าน ร่วมกับ นายสุนทร ประทุมทอง นายอำเภอหาดใหญ่ และนายเคร่ง สุวรรณวงค์ นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและพี่น้องประชาชนบริเวณ อำเภอรอบนอก และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้ง กองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กระทรวงมหาดไทย ระดมสรรพ กำลังเข้าดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างรวดเร็ว ภายใต้ระบบที่วางไว้ เพื่อกู้วิกฤติและบรรเทาความเสียหาย ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างเต็มกำลังสามารถ นั้น
ปรากฏว่า ท่ามกลางเสียงสะอื้นด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ พี่น้องชาวหาดใหญ่ผู้ทุกข์ยาก เหล่านั้น กลับยิ้มออกมาได้ในยามทุกข์ เมื่อเห็นภาพประทับใจที่ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ปูชนียบุคคลที่ชาวสงขลาเคารพรัก เดินทางฝ่ากระแสน้ำ สายฝน ออก มาเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจและมอบสิ่งของเครื่องยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัยที่อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอรอบนอก
วันที่ 12 ธันวาคม 2543 ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กรุณามาเยี่ยมเยียน เป็นเงิน และมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 400 รายๆละ 2,000 บาท 800,000 บาท ที่ศาลาประชาคมอำเภอหาดใหญ่ จากนั้น เดินทางไปมอบรถเข็นเพื่อเป็นพาหนะ ประกอบอาชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 5 คัน ๆ ละ 9,400บาท ที่มัสยิดบ้านบางแฟบ อำเภอหาด ใหญ่ และจะมอบเพิ่มอีกจนครบ 100 คัน รวมเป็นเงิน 940,000 บาท
วันที่ 13 ธันวาคม 2543 ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยที่ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ ฯพณฯ ได้ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้กับราษฎรยากจนมาก่อน และในการนั้น ฯพณฯ ได้กรุณามอบเงินผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงปลาให้ราษฎรผู้ประสบอุทกภัยนอกพื้นที่โครงการส่งเสริมของฯพณฯ อีก 130 ครอบครัว เป็นเงิน 200,000 บาท
ยิ่งกว่านั้น ก่อนที่จะเดินทางมาพบปะเยี่ยมเยียนราษฎรดังกล่าว ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กรุณามอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นเงิน 5 ล้านบาท โดยการสนับสนุน ของมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ และได้มอบหมายให้ผู้แทนมูลนิธิ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อุทยานประวัติศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์จังหวัดสงขลา โดย คุณชัยรัตน์ เสถียร ผู้จัดการสำนักงานมูลนิธิฯ คุณประโชติ เอกอุรุ กรรมการมูลนิธิฯ ร่วมกับจังหวัดสงขลา โดย นายสวัสดิ์ แกล้วทนงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัด มอบหมายให้ นายประจักษ์ สุวรรณภักดี รองผู้ว่าราชการจังหวัด คุณอมรรัตน์ แกล้วทนงค์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัด และนายอำเภอพื้นที่ นำเครื่องอุปโภค บริโภค ออกแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่
วันที่ 7 ธันวาคม 2543 นำถุงยังชีพ 650ถุง ถุงละ 400บาท ออกแจกจ่ายผู้ประสบภัย 650 ครอบครัว ที่ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร
วันที่ 9 ธันวาคม 2543 นำถุงยังชีพแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยที่ตำบลท่าหิน อำเภอสทิงพระ 450ถุง ที่ตำบลโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จำนวน 640 ถุง และที่ตำบลบ้านขาว อำเภอระโนด จำนวน 570 ถุง
วันที่ 11 ธันวาคม 2543 แจกจ่ายพันธุ์สุกรพร้อมอาหาร แก่ผู้ประสบอุทกภัยที่มี อาชีพเลี้ยงสุกร ที่ศาลาประชาคมอำเภอหาดใหญ่ จำนวน 14 ครอบครัว ๆ ละ 3ตัว มูลค่า 171,000 บาท
และที่สำคัญ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ยังได้ แสดงความห่วงใยด้วยการบริจาคเงินเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือส่งเสริมอาชีพและส่งเสริมอนามัยแก่ผู้ประสบ ภัยในระยะยาว อีกเป็นเงิน 3 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประสพ รัตนากร ประธานกรรมการอำนวยการมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นำไปมอบผ่าน นายสวัสดิ์ แกล้วทนงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 ที่ศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุภาคใต้ สงขลา
จากนั้น เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2543 จังหวัดได้จัดทำโครงการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นเงิน กู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยปลอดดอกเบี้ยและปลอดการชำระหนี้ใน 6 เดือนแรก รายละ 10,000 บาท รวม 200 ราย เป็นเงิน 2 ล้านบาท และดำเนินการจัดซื้อรถพยาบาลให้กับโรง พยาบาลหาดใหญ่ 1 คัน เพื่อบรรเทาความเสียหายที่โรงพยาบาลได้รับจากอุทกภัยและเป็นอุปกรณ์ช่วย เหลือด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประสบภัยในระยะยาวต่อไป
4. การระดมความคิดเห็นและความร่วมมือในการฟื้นฟูหลังภาวะน้ำลด
จังหวัดสงขลา ได้วางระบบในการฟื้นฟูบูรณะความเสียหายหลังภาวะน้ำลดไว้ โดย ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
4.1) จัดประชุม กรอ. จังหวัด (คณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ ไขปัญหาเศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 เพื่อระดมความคิดเห็นในการฟื้นฟูและเร่งรัดการ พัฒนาด้านเศรษฐกิจของจังหวัดสงขลา
4.2) จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2543 ฟื้นฟูบรรยากาศด้านการท่องเที่ยวเมืองหาดใหญ่ - สงขลา
4.3) จัดประชุมหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงาน และอำเภอ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2543 เพื่อร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุทกภัยปัญหา และกำหนดแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอุทก ภัยระยะยาวอย่างถาวร
4.4) การจัดงาน “เบิกฟ้าใสเมืองหาดใหญ่” เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2543 โดยร่วมกันลดราคาสินค้าในตัวเมืองหาดใหญ่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดงานส่งเสริมสินค้าราชทัณฑ์ ภาคใต้ ครั้งที่ 2 ที่หน้าห้างสรรพสินค้าแม็คโคร หาดใหญ่ และจัดกิจกรรมต้อนรับปีใหม่ 2544 ในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ ด้วยการจัดการเดินวิ่งเบิกฟ้าใสเมืองหาดใหญ่ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2543 จาก สนามจิระนครเข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่ ประกอบการแสดงเชิดมังกรทอง พร้อมริ้วขบวน และอื่น ๆ ณ บริเวณถนนเสน่หานุสรณ์ อ.หาดใหญ่
4.5) การแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุทกภัยของจังหวัดสงขลา ในด้านเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว และการประชาสัมพันธ์ และจัดประชุมคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ 26,27 ธันวาคม 2543 และ 4,16 มกราคม 2544 เพื่อประเมินสาเหตุ ปัญหา และแสวงหาแนวทางมาตรการแก้ไข รวมทั้ง จัดทำแผนงานโครงการฟื้นฟูบูรณะความเสียหายรองรับ เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในอนาคตอย่างถาวรและยั่งยืน

5. แผนการฟื้นฟูช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดสงขลา
จากการระดมความคิดเห็นและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในรูปของคณะกรรมการและคณะทำงานฯ ดังกล่าว ได้นำมาสู่การกำหนดแผนการฟื้นฟูบูรณะความเสียหายจากปัญหาอุทกภัย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดสงขลา ได้เสนอแผนการฟื้นฟูช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสงขลา ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้
5.1 แผนการฟื้นฟูฯ ระยะสั้น
1) ด้านการสงเคราะห์ช่วยเหลือ
1.1) สงเคราะห์ค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยบางส่วนเท่าที่เสียหายจริง หลังละไม่ เกิน 15,000 บาท
1.2) สงเคราะห์ค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่เสียหายทั้งหลัง ไม่เกินหลังละ 25,000 บาท
1.3) สงเคราะห์ค่าวัสดุซ่อมแซมยุ้งข้าว โรงเรือนเก็บพืชผล และคอกสัตว์ที่ เสียหายจริง ไม่เกิน 3,000 บาท
1.4) สงเคราะห์ค่าจัดการศพผู้เสียชีวิต รายละไม่เกิน 12,000 บาท และ กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัวสงเคราะห์อีกไม่เกิน 25,000 บาท
2) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
2.1) ซ่อมแซมทางหลวงแผ่นดิน (แขวงการทาง สข.) 20 สายทาง งบประมาณ 15.11 ล้านบาท
2.2) ซ่อมแซมถนนภายในหมู่บ้านที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการ ใด ในพื้นที่ 16 อำเภอ จำนวน 986 สาย/โครงการ (ปค.จว.) เป็น เงินประมาณ 298,485,667 บาท
2.3) ซ่อมแซมถนนลาดยางและถนนลูกรัง (รพช.จว.) 70 โครงการ 70.0 ล้านบาท
2.4) ซ่อมแซมถนนลาดยางและถนนลูกรัง (ศูนย์ รพช.หาดใหญ่) 39 โครงการ 27 ล้านบาท
2.5) ปรับปรุงแหล่งน้ำผิวดิน (รพช.จว.) 30 แห่ง
2.6) ปรับปรุงบ่อบาดาลพร้อมระบบประปา (รพช.จว.) 40 แห่ง 1 ล้านบาท
2.7) ซ่อมแซมถนนลาดยาง (ยธ.จว.) 38 สายทาง 36,790,963 บาท
2.8) ซ่อมแซมถนนลาดยางและคอนกรีตในหมู่บ้าน 292 สายทาง ความยาว รวม 364.050 กม. 3,500,000 บาท
2.9) ซ่อมปรับปรุงบ่อบาดาลในพื้นที่ 16 อำเภอ (ยธ.จว.) จำนวน 536 บ่อ2,680,000 บาท
2.10) ซ่อมแซมอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (พช.จว.) 12 แห่ง
2.11) โครงการระบบป้องกันน้ำท่วม และระบบระบายน้ำของเทศบาลนครหาดใหญ่ จํานวน 9 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 1,064,457,000.- บาท ได้แก่
2.11.1) ปรับปรุงระบบระบายน้ำพื้นที่คอหงส์นอกเขตเทศบาล (HY-D-7) เป็นเงิน 99,200,000 บาท
2.11.2) ปรับปรุงระบบระบายน้ำถนนกาญจนวนิชย์บริเวณโรงเรียนโสตศึกษา (HY-D-9) ระยะที่ 2 และ 3 เป็นเงิน 50,000,000 บาท
2.11.3) ปรับปรุงบึงกักเก็บน้ำ (แก้มลิง) พื้นที่คลองเตยบริเวณลุ่มน้ำย่อยคลองเรียน เป็นเงิน 185,000,000 บาท
2.11.4) ปรับปรุงบึงกักเก็บน้ำ (แก้มลิง) ลุ่มน้ำคลองเปล เป็นเงิน 125,321,000 บาท
2.11.5) สร้างคันกั้นน้ำฝั่งซ้ายคลองอู่ตะเภาและคลองสาขา เป็นเงิน 185,736,000 บาท
2.11.6) ก่อสร้างถนนผังเมืองสาย ข 7 (พร้อมปรับปรุงระบบระบายน้ำริมทางรถไฟไปสงขลา) เป็นเงิน 136,000,000 บาท
2.11.7) สร้างสถานีสูบน้ำ ริมคลองเตยปลายถนนรัถการพร้อมท่อส่งน้ำ เป็นเงิน 120,033,000 บาท
2.11.8) สร้างสถานีสูบน้ำริมคลองเตยบริเวณจุดบรรจบคลองหวะ พร้อมท่อส่งน้ำ เป็นเงิน 89,988,000 บาท
2.11.9) สร้างสถานีสูบน้ำริมคลองอู่ตะเภาปลายถนนศรีภูวนารถ พร้อมท่อส่งน้ำ เป็นเงิน 73,179,000 บาท
3) ด้านการเกษตร
3.1) ด้านเกษตรกรรม (กษ.จว.)
- แผนฟื้นฟู ระยะที่ 1 (หลังน้ำลด ธ.ค.43 - มค.44)
1) แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวหลังน้ำลด 6,660 ไร่ มูลค่า 999,000 บาท
2) แจกจ่ายปุ๋ยนาข้าว 83,250 กก.ๆ ละ 9 บาท เป็นเงิน 749,250 บาท
3.2) ด้านการประมง (ประมง จว.)
1) แจกจ่ายพันธุ์สัตว์น้ำ (ปลาและกุ้ง)
2) แจกจ่ายอาหารสัตว์น้ำ
3.3) ด้านการปศุสัตว์ (ปศ.จว.)
1) แจกจ่ายอาหารสุกรและสัตว์ปีก 399,620 บาท
2) แจกจ่ายพันธุ์สัตว์ (โค กระบือ แพะ แกะ เป็ด ไก่ ห่าน นกกระทา ฯลฯ) จำนวน 25,800 ตัว รวม 35,472,000 บาท
3) แจกจ่ายเมล็ดหญ้า 13,540 ไร่ 1,624,800 บาท
5.2 แผนการฟื้นฟูระยะกลาง
คณะกรรมการเฉพาะกิจเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดสงขลา ได้จัดทำแผนการฟื้นฟูบูรณะความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยในด้านเศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน และประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2544 ดังนี้
1) ด้านเศรษฐกิจ
1.1) คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 กำหนดมาตรการให้สถาบันการเงิน ประกอบด้วยธนาคารและบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยการผ่อนผันการชำระหนี้เงินกู้ งดคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ให้เงินกู้แก่ลูกค้า SME เป็นกรณีพิเศษ ช่วยเหลือเงินกู้เป็นทุนหมุนเวียน เร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั้งลูกหนี้ NPL และลูกหนี้ปกติ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพิ่มวงเงินสินเชื่อ ขยายเวลาชำระหนี้ และอื่น ๆ
โดยกระทรวงการคลังได้จัดตั้งศูรย์เฉพาะกิจติดตามผลการช่วยเหลือด้านการเงินตามมติ ครม. ขึ้น ณ สำนักงานเทศบาลนครหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2544
1.2) ขอรับการสนับสนุนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และองค์การ โทรศัพท์เพื่อขอลดค่าน้ำค่าไฟและค่าโทรศัพท์ 50% เป็นเวลา 3 ปี
1.3) ขอรับการสนับสนุนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ลดภาษีการจัดเก็บค่าน้ำบาดาล
1.4) กรมประมงขอรับการสนับสนุนพันธุ์สัตว์น้ำ 94,000,000 บาท
1.5) กรมปศุสัตว์ขอรับการสนับสนุนพันธุ์สัตว์เลี้ยงระยะสั้น 499,620 บาท และระยะที่สอง 35,933,6,72 บาท
1.6) กรมส่งเสริมสหกรณ์ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวและปุ๋ยระยะสั้น 1,748,250 บาท ระยะ กลาง 17,584,875 บาท และระยะยาว 28,798,912 บาท
1.7) เทศบาลนครหาดใหญ่ จัดสรรงบประมาณ (จ่ายขาดเงินสะสม) ช่วยเหลือ 30 ชุมชน ๆ ละ 300,000 บาท รวม 9,000,000 บาท
1.8) เทศบาลนครหาดใหญ่ ยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินลง 50%
2) ด้านสังคม
2.1) ด้านการส่งเสริมอาชีพ ขอรับการสนับสนุนจากกรมประชาสงเคราะห์เพื่อสงเคราะห์ อาชีพ 42,905,000 บาท และกรมพัฒนาชุมชน 4,927,670 บาท
2.2) ด้านการศึกษา ขอรับการสนับสนุนจาก สนง.การประถมศึกษาแห่งชาติ 23,652,015 บาท และกรมสามัญศึกษา 38,871,368 บาท
3) ด้านการท่องเที่ยว
3.1) จัดโครงการ Special Offers/Special Promotion ตลาดต่างประเทศ (มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไต้หวัน)
3.2) จัดทำ Newsletter ในตลาดต่างประเทศ
3.3) จัดทำ Press Conference ตลาดต่างประเทศและในประเทศ
3.4) ส่งเสริมการขายในงาน Kite ประเทศไต้หวัน งาน NATS Travel Fair และ NATS Holiday's 2001 ในสิงคโปร์ และงาน MITF ในมาเลเซีย
3.5) ส่งเสริมกิจกรรมงานเทศกาลประจำปี
4) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
4.1) ซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ 1,136 โครงการ เป็นเงิน 48,699,082 บาท
4.2) ซ่อมแซมผิวจราจรถนน 68 โครงการ เป็นเงิน 55,076,260 บาท
4.3) ซ่อมแซมแหล่งน้ำผิวดิน 60 โครงการ เป็นเงิน 2,212,466 บาท
4.4) ซ่อมแซมบ้านพักและครุภัณฑ์ 1 โครงการ เป็นเงิน 842,700 บาท
4.5) ซ่อมแซมถนนที่ถูกน้ำท่วมเสียหาย 42 โครงการ เป็นเงิน 46,004,471 บาท รวมทั้งสิ้น 1,307 โครงการ เป็นเงิน 585,834,979 บาท
5) ด้านการประชาสัมพันธ์
5.1) ประชาสัมพันธ์การพยากรณ์อากาศของศูนย์อุตุนิยมวิทยา
5.2) ประชาสัมพันธ์การช่วยเหลือ การรับบริจาค เส้นทางคมนาคม และการรักษาสุขภาพ
5.3) ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูบูรณะฯ ของจังหวัด ด้านเศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว และอื่น ๆ
5.3 แผนการฟื้นฟูฯ ระยะยาว
สืบเนื่องจากการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อปลายเตือน พฤศจิกายน 2531 ซึ่งเป็นครั้งที่รุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและชีวิตประชาชนจำนวนมาก ครอบคลุมทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ โดยอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ตอนล่าง ได้ประสบความเสียหายมูลค่าสูงถึงประมาณ 1,000 ล้านบาท และต่อมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริ ให้กรมชลประทาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำ โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้น
กรมชลประทานได้จัดทำโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 2 งาน คือ
- งานขุดขยายคลองธรรมชาติและอาคารประกอบ ซึ่งเป็นการขุดลอกขยายคลองอู่ตะเภา และคลองท่าช้าง-บางกล่ำ 4 แห่ง กับการก่อสร้างประตูระบายน้ำ อาคารบังคับน้ำ 4 แห่ง
- งานชุดขยายคลองสายใหญ่ 2 สาย คือ สาย ร.1 และ ร.3
ลักษณะโครงการ เป็นการผันน้ำจากคลองอู่ตะเภาและคลองหวะ มิให้ไหลผ่านเข้าไปในเขตตัวเมืองหาดใหญ่ และช่วยระบายน้ำด้วยคลอง 5 สายจากตัวเมืองหาดใหญ่ ลงสู่ทะเลสาบสงขลา รวมงบประมาณ ทั้งสิ้น ประมาณ 1,110 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานถึงปัจจุบัน
- งานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ : ชุดขยายคลองอู่ตะเภา คลองหวะ คลองท่าช้าง-บางกล่ำ พร้อมรางระบายน้ำ และคลองเตย รวม 10 ปี งบประมาณทั้งสิ้น 267,708,800 บาท
- งานที่ยังไม่แล้วเสร็จ
1) การขุดขยายคลองสายใหญ่ 2 สาย คือ สาย ร.1 ความยาว 21.43 กม. และ สาย ร.3 ความยาว 7.65 กม. งบประมาณ รวม 534,695,100 บาท
2) การขุดลอกคลองวาด ความยาว 2.86 กม. และคลองต่ำ ความยาว 3.62 กม.รวม 2 สาย
ปัญหาการไม่แล้วเสร็จ : อ.หาดใหญ่ มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก ที่ดิน ราคาสูง ราษฎรไม่ยอมรับในราคาซื้อขายที่ดินในพื้นที่โครงการ
แนวทางแก้ไข : ปรับลดขนาดของคลอง ร.1 และ ร.3 และทบทวนการใช้ที่ดินพื้นที่โครงการ
บทสรุป
การแก้ไขบรรเทาอุทกภัยที่ผ่านมา
การดำเนินงานช่วยเหลือบรรเทาอุทกภัยของจังหวัดสงขลาที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือร่วมใจและประสานการปฏิบัติร่วมกันทุกฝ่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน และพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ทำให้การบรรเทาและแก้ไขปัญหาดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง
การแก้ไขบรรเทาปัญหาอุทกภัยในอนาคต
จังหวัดสงขลา : การแก้ไขบรรเทาปัญหาอุทกภัย จำต้องดำเนินการควบคู่กันไปทั้งแผนการฟื้นฟูฯ ระยะสั้น ที่เน้นการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว ฯลฯ และแผนการฟื้นฟูฯ ระยะยาว ของกรมชลประทาน เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยให้กับอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาในภายหน้า อย่างถาวรและยั่งยืน
7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง : การแก้ไขบรรเทาปัญหาอุทกภัยในภาพรวมในอนาคต จะต้องพัฒนาแผนป้องกันน้ำท่วมของกองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ให้เป็นแผนที่มีศักยภาพสูง ประสานสอดคล้อง สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างถาวรและยั่งยืน มีการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ วิธีการป้องกันน้ำท่วมและการระบายน้ำมีความชัดเจนถูกต้องในเชิงวิศวกรรม พัฒนาระบบการประสานแผนป้องกันน้ำท่วมระหว่างจังหวัด ส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำองค์กรชุมชน เอกชน และท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและ รูปธรรม

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา