
“...พอได้กฎหมายท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ก็เรียกประชุมและสั่งการว่าต้องทำอะไรตามกฎหมายฉบับนี้ คือได้เห็นความจริงใจของผู้ว่าฯ และหน่วยงาน มันเลยใจชื้น แม้มันจะไม่ได้ใหญ่โต แต่สิ่งเล็ก ๆ แค่รับฟังและพอจะทำอะไรได้บ้าง มันเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ดีมาก เราไม่ได้ต้องการให้เขาแก้ไขปัญหาที่ดินให้เราภายในกี่เดือนกี่ปี แต่ขอให้เขามานั่งฟัง...”
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 (พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา (ดูประกาศฉบับเต็ม ratchakitcha)
โดยพ.ร.บ.ข้างต้นมีผลในวันที่ 19 ก.ย. 2568 มีสาระสำคัญ คือ ให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิขั้นพื้นฐาน ได้รับการส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิที่ติดตัวมาแต่กำเนิดบนความหลากหลายในชาติกำเนิด ถิ่นที่อยู่ เชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ หรือวัฒนธรรม สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ตามวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตดั้งเดิมอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมีสิทธิ เสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับบุคคลอื่น และไม่ถูกเลือกปฏิบัติเพราะความแตกต่างในเรื่องชาติพันธุ์
นับเป็นก้าวสำคัญของการคุ้มครองและส่งเสริมความเท่าเทียมของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ที่เป็นกลุ่มคนไทยชายขอบ เข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนประชาชนทั่วไป เช่น สิทธิในการทำบัตรประชาชน สิทธิด้านการรักษาพยาบาล สิทธิด้านที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีหลายกลุ่มอยู่ในพื้นที่แต่ละภาค ซึ่งแต่ละกลุ่มอาจจะมีชื่อเรียกที่คล้าย ๆ กัน แต่ก็มีความแตกต่างในด้านภาษา และวัฒนธรรมบางประการ ยกตัวอย่าง ‘ชาวเล’ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีถิ่นที่อยู่และวิถีชีวิตผูกพันกับทะเล โดยชาวเลในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลมอแกน อาศัยอยู่ในจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต
2.กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลมอแกลน อาศัยอยู่ในจังหวัดพังงาและภูเก็ต
3.กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ย อาศัยอยู่ในจังหวัดกระบี่ สตูล และภูเก็ตเป็นส่วนใหญ่
โดยทั้ง 3 กลุ่มมีประชากรรวมประมาณ 14,000 คน ในพื้นที่ 44 ชุมชน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) มีโอกาสเข้าร่วมงานรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเลครั้งที่ 15 ณ ชุมชนชาวเลแหลมตุ๊กแก ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งภายในงานมีเวทีปาฐกถาแสดงความคาดหวังต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และได้สำรวจชุมชนและสอบถามประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตหลัง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ ประกาศใช้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสภาพชุมชนของชาวเลแหลมตุ๊กแก ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต มีสภาพคล้ายชุมชนแออัด สืบเนื่องจากการมีปัญหาข้อพิพาทที่ดินกับหน่วยงานรัฐและเอกชนในอดีต จนส่งผลให้ปัจจุบันที่ดินของชุมชนมีขนาดลดลงซึ่งสวนทางกับกลุ่มประชากรที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของถนนบริเวณรอบ ๆ และภายในหมู่บ้านเป็นหลุมบ่อ เมื่อฝนตกลงมาก็มีน้ำขัง ถนนบางเส้นก็มีน้ำท่วมขังจนไม่อาจเดินทางได้ อีกทั้งบ้านทุกหลังในชุมชนมักจะมีโอ่งใบใหญ่หรือถังน้ำขนาดใหญ่อยู่บริเวณลานบ้านหรือหน้าบ้าน จากการสอบถามข้อมูลพบว่าถังน้ำเหล่านั้นใช้รองน้ำฝนและน้ำประปาเพื่อเก็บไว้ใช้ในกรณีที่น้ำประปาไม่ไหลเป็นเวลาหลายวัน ส่วนสาเหตุที่น้ำประปาไม่ไหลนั้น ประชาชนในชุมชนให้ข้อมูลว่าทางการประปาไม่เปิดน้ำให้หมู่บ้าน แม้ว่าทางชุมชนและอำเภอจะทำหนังสือแจ้งปัญหาไปหลายครั้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงต้องอยู่แบบตามมีตามเกิด บางบ้านก็ต้องจ่ายเงินซื้อน้ำไว้ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งการอุปโภคและบริโภค (ดูภาพประกอบ)



นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ชาวเลมอแกลน ชาวเลมอแกน และชาวเลอูรักลาโว้ย เกี่ยวกับสภาพปัญหาที่พบเจอ และความแตกต่างในการดำเนินชีวิตระหว่างก่อนและหลัง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ประกาศใช้
@ ปัญหาและความคาดหวังต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์
ชาวเลทั้งสามกลุ่มให้สัมภาษณ์ตรงกันว่า มีปัญหาในด้านที่ดินทั้งที่ดินอยู่อาศัย ที่ดินทำกิน ที่ดินทำสุสานของชุมชน ซึ่งเกิดกรณีพิพาทกับหน่วยงานด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ประกาศใช้นโยบายและบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต รวมถึงความขัดแย้งกับนายทุนที่อ้างสิทธิครอบครองที่ดิน เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยว นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาในด้านอื่น ๆ อีก เช่น ปัญหาการทำบัตรประชาชนที่ไม่เหมือนกับการทำบัตรประชาชนของคนไทย ปัญหาน้ำประปาไม่ไหลไม่มีน้ำประปาใช้ ปัญหาการรับการรักษาพยาบาลตามสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นต้น
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคาดหวังต่อพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ ชาวเลทั้ง 3 กลุ่มต่างก็มีคำตอบที่แตกต่างกัน บางคนก็ดีใจที่ลูกหลานจะได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน บางคนก็รู้สึกว่ามีพ.ร.บ.แล้วทำให้พื้นที่ทำกินลดลง บางคนก็คิดว่าพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์จะลดอคติที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ได้ ไม่มองว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นคนต่างด้าว
นางกานดา ประมงกิจ ชาวเลอูรักลาโวย หมู่บ้านแหลมตุ๊กแก จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ก่อนจะมีพ.ร.บ.คุ้มครองที่หมู่บ้านในตอนนี้มีปัญหาน้ำประปาไม่ไหลเป็นเวลาหลายวัน ต้องซื้อน้ำดื่ม ส่วนน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็จะใช้ถังหรือโอ่งรองน้ำฝนไว้ใช้ในช่วงที่น้ำประปาไม่ไหล ส่วนไฟฟ้าก็มีให้ใช้ไม่ได้ขาดแคลน
“คิดว่า พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์จะว่าดีก็ไม่ดีเพราะข้อเสียเยอะกว่าข้อดี ที่ทำมาหากินก็ลดลง จากเมื่อก่อนที่นอนค้างบนหาดหรือนอนตามเกาะเพื่อทำพิธีกรรม ตอนนี้ก็นอนไม่ได้แล้วต้องขออนุญาตจากอุทยานก่อน แต่ถ้าเขตไหนมีนายทุนเราจะไม่แตะต้อง ส่วนเรื่องบัตรประชาชนคนในชุมชนเกาะสิเหร่ (ปัจจุบันคือแหลมตุ๊กแก) ก็มีเกือบทุกคนแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้บัตรประชาชนเพราะมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รัฐข้อมูลไม่ต่อเนื่อง บางคนก็ตรวจดีเอ็นเอไม่ได้เพราะไม่มีพ่อแม่ บางคนญาติที่จะให้เป็นพยานยืนยันตัวตนก็เสียชีวิตไปแล้ว” นางกานดา กล่าว

นายก้อย ทะเลลึก
นายก้อย ทะเลลึก ชาวเลมอแกน เกาะพยาม จ.ระนอง กล่าวว่า ปัจจุบันมีพี่น้องชาวมอแกนอยู่ 3 เกาะ ได้แก่ เกาะพยาม เกาะช้าง เกาะเหลา ซึ่งทุกเกาะมีปัญหาที่อยู่ ที่ทำกิน โดยเฉพาะในชาวมอแกนบนเกาะพยามที่ต้องอยู่อาศัยในเรือไม่มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ โดยต้องซื้อน้ำจืดไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมีชาวเลมอแกนอีกประมาณ 200 คนที่ยังไม่มีบัตรประชาชนทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลและสวัสดิการต่าง ๆ
“ส่วนพ.ร.บ.ที่ออกมาแล้ว พี่น้องเขาก็ยินดี ดีใจ จะได้ใช้ให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ ได้เข้าเมืองไปรับจ้าง ได้มีอาชีพ เพราะเขาจะได้สัญชาติไทยทุกคน ต่างจากเมื่อก่อนที่เราต้องไปพิสูจน์ตัวตน ที่พยานที่ใช้ยืนยันตัวตนก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว” นายก้อย กล่าว
นางสาวอรวรรณ หาญทะเล
นางสาวอรวรรณ หาญทะเล ชาวเลมอแกลน หมู่บ้านทับลาน จ.พังงา กล่าวว่า ช่วงก่อนเกิดสึนามิในปี 2547 ตอนนั้นตนเองยังเรียนอยู่ ไปโรงเรียนก็ถูกบูลลี่ว่าเป็นคนสกปรก เคยถูกแกล้งจนหัวแตกพอไปบอกพ่อแม่เขาก็บอกให้เราไปหลบ เลยรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนไทยเหรอ พอหลังจากเหตุการณ์สึนามิได้ 1 วัน ก็มีกลุ่มนายทุนพร้อมกับทหารตำรวจเข้ามา ห้ามไม่ให้พวกเรากลับเข้าไปที่เดิมเพราะมีเอกสารสิทธิของนายทุน
“ซึ่งที่ตรงนั้นเราอยู่กันมานานตั้งแต่สมัยยังไม่มีเอกสารสิทธิอะไร จนช่วงหลัง ๆ มีคนมาขอซื้อที่ดินราคาถูก เพราะพวกเราไม่มีเอกสารสิทธิ พวกเราในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าเอกสารสิทธิคืออะไร เพราะแค่มีเสาบ้านที่เป็นเสาเอกคือสิทธิ์ของพวกเราแล้ว” นางสาวอรวรรณ กล่าว
นางสาวอรวรรณ กล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นเราก็หนีไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านของคนมอแกลนที่อยู่บนเขา พวกเราก็อยู่ที่นั่น จนมีกลุ่ม NGOs (Non-Governmental Organization: องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มีหน้าที่ดำเนินงานเพื่อสาธารณประโยชน์) เข้ามาหาพวกเรา แต่ตอนนั้นพวกเราก็ยังกลัวเพราะถูกกระทำมาตลอด เพราะในช่วงก่อนเกิดสึนามิชาวมอแกลนไปรับจ้างทำงานที่เหมืองแร่ ก็มีคนของพวกเราโดนข่มขืน ถูกยิง ถูกฆ่าด้วยการปล้นจี้ พวกเราเลยกลัวคนข้างนอก ในช่วงแรกจึงไม่ไว้ใจ NGOs ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะไว้ใจได้ ซึ่งทาง NGOs ก็พยายามบอกพวกเราว่า เรามีสิทธิ เราสู้ได้ ที่ดินตรงนั้นเป็นของพวกเราจริง เราเลยได้เรียนรู้กับพวกเขา
นางสาวอรวรรณ ยังกล่าวถึงช่วงเวลาที่พลักดัน ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ว่า “กว่าจะเป็นกฎหมายของเรา เราเข้าไปในสภา ยิ่งช่วงที่เขาพิจารณา เขาบอกว่าพวกเราเป็นชาติพันธุ์ที่ทำลายความมั่นคงของชาติ เป็นคนต่างด้าว นี่เป็นคำพูดของสส. ในสภา แล้วก็บอกว่าเป็นเหมือนคนที่ไม่ใช่คน ตอนนั้นเราก็คิดอยู่ในใจว่ามองเราเป็นหมาเลยเหรอ เราทำขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ก็มีสส.บางส่วนช่วยเรา เราก็ใจชื้น”
“พอได้กฎหมายท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ก็เรียกประชุมและสั่งการว่าต้องทำอะไรตามกฎหมายฉบับนี้ คือได้เห็นความจริงใจของผู้ว่าฯ และหน่วยงาน มันเลยใจชื้น แม้มันจะไม่ได้ใหญ่โต แต่สิ่งเล็ก ๆ แค่รับฟังและพอจะทำอะไรได้บ้าง มันเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ดีมาก เราไม่ได้ต้องการให้เขาแก้ไขปัญหาที่ดินให้เราภายในกี่เดือนกี่ปี แต่ขอให้เขามานั่งฟังว่า ในฐานะที่เขาเป็นหน่วยงานรัฐ ด้านสาธารณสุข การศึกษา จะให้เด็กชาวเลได้แค่ไหน เก็บข้อมูลสุขภาพได้ไหม เผื่อว่าในสมัยของเจ้าหน้าที่ท่านถัดไปจะสามารถทำต่อได้ ไม่ใช่มาบอกไม่มีข้อมูลไม่รู้จะไปต่อยังไง อันนี้คือปัญหาที่เจอมาตลอด คือเราฟังมาจนอายุ 39 แล้ว แล้วฟังมาตลอดและไม่อยากฟังคำนี้” นางสาวอรวรรณ กล่าว
นอกจากนี้แล้วยังมีปาฐกถาแสดงความคาดหวังต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ชาวเผ่าไทดำ ชาวมานิ กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น ชาวโอรังอัสลี ฆึงระ เป็นต้น ซึ่งทุกกลุ่มที่ขึ้นมาปาฐกถาล้วนมีคามคาดหวังไปในทิศทางเดียวกัน คือ หวังให้ภาครัฐเหลียวแล ได้รับการยอมรับจากรัฐ จัดหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้เป็นหลักแหล่งเพื่อสร้างความมั่นคง และมีอนาคตที่ดีให้กับลูกหลาน
เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าชาวชาติพันธุ์ซึ่งเป็นคนไทย ล้วนมีความคาดหวังในด้านการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเหมือนคนไทย ทั้งในด้านการมีที่อยู่อาศัย เข้าถึงการรักษา มีน้ำประปาใช้ โดยเฉพาะในด้านการทำบัตรประชาชนที่มีปัญหาในด้านการถูกเลือกปฏิบัติและอคติ ต่างจากคนไทยที่พออายุ 7 ปีก็สามารถไปทำบัตรประชาชนได้ แม้จะไม่มีเอกสารที่ต้องใช้ในการทำบัตรประชาชน แต่ถ้ามีเจ้าบ้านยืนยันตัวตนให้ก็สามารถทำบัตรประชาชนได้ แต่กรณีของกลุ่มชาติพันธุ์ต้องหาญาติ หรือคนที่เคยเห็นตอนเกิดเพื่อมายืนยันตัวตน บางคนเป็นกำพร้าก็ทำบัตรประชาชนไม่ได้เพราะไม่มีญาติมารับรอง
@ ท่าทีหน่วยงานรัฐหลัง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ ประกาศใช้
นอกจากนี้ในงานกล่าวปาฐกาของชาวชาติพันธุ์ มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานวัฒนธรรมจังหวัดพังงา ขึ้นกล่าวปาฐกถาถึงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานว่า วัฒนธรรมจังหวัดพังงาดำเนินงานและขับเคลื่อนภายใต้นโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมและศูนมานุษยวิทยาสิรินธร มาตลอดเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ทำให้มีความใกล้ชิดกับชาวมอแกลนในพื้นที่ ที่ผ่านมาก็มีการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ อย่างน้อยที่สุดก็มีการแต่งตั้งคณะทำงาน 8 คณะ ซึ่งการดำเนินงานก่อนหน้านี้ใช้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2553 เป็นตัวตั้งเพื่อดูว่าหน่วยงานใดจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องที่ดิน ที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน พื้นที่ทางจิตวิญญาณ และด้านอื่น ๆ ของชาวมอแกลน จนกระทั่งเดือน ต.ค. 2568 ก็มีการประชุมพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อปรับการดำเนินงานให้สอดรับกับพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ
“พ.ร.บ.ที่เกิดขึ้นเป็นประโยชน์มาก พ.ร.บ.ฉบับนี้จะทำให้รู้ว่าบทบาทที่เรา (วัฒนธรรมจังหวัดพังงา) ต้องเชื่อมโยงทั้งข้อสั่งการจากกระทรวงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมจังหวัดพังงาต้องเชื่อมโยงกับชาวมอแกลน เบื้องต้นจะทำให้พี่น้องชาวมอแกลนรู้สิทธิของตนเองก่อน เพราะจะทำให้กลุ่มชาติพันธ์เห็นคุณค่าของตนเอง ปกป้องสิทธิของตนเอง” เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานวัฒนธรรมจังหวัดพังงา กล่าว
@ สถานการณ์ก่อนมี พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์
อีกทั้งยังมีมุมมองของเจ้าหน้าที่จากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (หน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลทางด้านมานุษยวิทยาและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างเพื่อนมนุษย์) ที่ทำงานร่วมกับภาครัฐและกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้มี พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ ที่กล่าวถึงภาพรวมปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ และชีวิตหลัง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ ประกาศใช้ รวมถึงท่าทีของหน่วยงานรัฐที่มีต่อชาวชาติพันธุ์
นายอภินันท์ ธรรมเสนา (ภาพจาก CSCD - PSU Pattani)
นายอภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กล่าวถึงสถานการณ์ก่อน พ.ร.บ. คุ้มครองชาติพันธุ์ประกาศใช้ว่า ก่อนที่จะมีพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์นั้น กลุ่มชาติพันธุ์มีปัญหามากทั้งถูกเลือกปฏิบัติ มีปัญหาด้านการทำบัตรประชาชน ปัญหาด้านการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ และปัญหาด้านอคติที่มีต่อชาติพันธุ์
“อย่างเขาจะไปหาหมอ แต่พูดไทยไม่ได้ก็โดนสัมภาษณ์ยาวเหยียด เรื่องที่ควรจะรักษาเร็วกลายเป็นช้า ต่อให้มีบัตรประชาชนไปยืนยันก็จะโดนถามว่าสวมบัตรมาหรือเปล่า ยังมีการเข้าถึงการรักษาของพวกเขาก็ลำบาก เช่น กรณีที่เขาอยู่บนดอย มาหาหมอข้างล่าง ค่าใช้จ่ายของเขาสูงกว่าปกติ เราจะหามาตรการอะไรมาช่วยเขายังไง เพื่อช่วยเหลือให้เขาเข้าถึงสิทธิได้เหมือนคนอื่น คือ เขามีสิทธิ แต่การจะเข้าถึงสิทธิมันไม่เสมอเท่าคนอื่น อีกเรื่องคือเรื่องอคติที่มีต่อชาติพันธุ์ เช่น มองว่าทำลายป่าไม้ ค้ายาเสพติด ไม่ใช่คนไทย เราคิดว่าอันนี้เป็นอคติที่เป็นฐานที่ทำให้เกิดปัญหาไม่ให้เข้าถึงสิทธิ เหล่านี้คือสถานการณ์ก่อนหน้าที่เจอ” นายอภินันท์ กล่าว
นายอภินันท์ กล่าวว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าชาติพันธุ์ในประเทศไทย คือ คนไทยคนหนึ่ง เป็นคนไทยปกติ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่มีบัตรประชาชน จึงแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มที่มีสถานะทางสัญชาติ
2.กลุ่มที่ไม่มีสถานะทางสัญชาติ ประกอบด้วย
2.1 กลุ่มที่ลงทะเบียนไว้แล้ว แต่อยู่ในกระบวนการพิสูจน์ มีจำนวนประมาณ 400,000-450,000 คน
2.2 กลุ่มที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ไม่มีเอกสาร ไม่อยู่ในกระบวนการใด ๆ มีจำนวนประมาณ 400,000-450,000 คน รวมทั้งหมดมีกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 900,000 คน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เป็นคนไทย
“กฎหมายฉบับนี้ คือ กฎหมายเพื่อคนไทย ไม่ใช่คนต่างด้าว เพราะถ้าเป็นคนต่างด้าวคงไปคุ้มครองเขาไม่ได้ตามเงื่อนไข ดังนั้นพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ ต้องการจะคุ้มครองคนไทยที่เป็นชาติพันธุ์ คือ กลุ่มคนที่เขามีวัฒนธรรมแตกต่างจากคนไทย แล้วก็ไปเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนไทย ดังนั้นสถานการณ์ก่อนหน้านี้เขาเลยถูกเลือกปฏิบัติ” นายอภินันท์ กล่าว
@ สถานการณ์หลัง พ.ร.บ. ประกาศใช้
นายอภินันท์ กล่าวว่า สถานการณ์หลัง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ ประกาศใช้มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนอย่างแน่นอน คือ เป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่าสังคมไทยยอมรับการมีอยู่ของชาติพันธุ์ ซึ่งก่อนหน้านี้การคิดนโยบายอะไรก็ตาม คำว่า ‘ชาติพันธุ์’ ไม่ได้อยู่ในสมการการคิดนโยบาย แต่พอมีกฎหมายฉบับนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ต้องถูกคิดถึงด้วย จึงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนความคิดและมุมมอง เปลี่ยนจากสังคมไม่ยอมรับการมีอยู่ของชาติพันธุ์ เป็นต้องคิดนโยบายที่สอดคล้องเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเขา ส่วนเรื่องการเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของพวกเขาเป็นเรื่องในระยะยาว ถ้าคิดว่าพอมี พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ แล้วจะเปลี่ยนได้เลยทันทีก็คงไม่ใช่ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้หน่วยงานรัฐที่ไม่เคยมีมาตรการ หรือไม่เคยประเด็นให้คิดเรื่องนี้ ก็คิดมากขึ้น และสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ คือ ความเข้าใจในกลุ่มชาติพันธุ์อาจจะดีขึ้น แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ก้าวหน้ามาก แต่เราพบว่าส่วนใหญ่คนที่ไม่ค่อยเข้าใจชาติพันธุ์คือคนรุ่นเก่า แต่พอเป็นคนรุ่นใหม่เขาจะมีความเข้าใจชาติพันธุ์ ตนเองเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่ได้รับสื่อเกี่ยวกับชาติพันธุ์อีกรูปแบบหนึ่งเลยเข้าใจมากขึ้น
“นี่คือจุดเริ่มต้นของการโอบรับนับรวมชาติพันธุ์ หรือเป็นการประกาศว่าไทยมีชาติพันธุ์อยู่” นายอภินันท์ กล่าว
@ ท่าทีของภาครัฐหลังพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ประกาศใช้
นายอภินันท์ กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ มีการคุ้มครองสิทธิในการห้ามดูหมิ่นเหยียดหยามชาติพันธุ์ สิทธิในการศึกษา สิทธิการรักษาวิถีชีวิต สิทธิในที่ดิน สิทธิเข้าถึงบริการรัฐ สิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ยกตัวอย่างหน่วยงานที่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ เช่น หน่วยงานในกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่เห็นได้ชัดว่าตื่นตัวมากขึ้น ส่วนหน่วยงานในกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จากเดิมที่มองวัฒนธรรมกระแสหลักอย่างเดียว ก็เปลี่ยนมามองวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มากขึ้น ทำให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ด้านกระทรวงมหาดไทย (มท.) ก็หันมาสนใจเรื่องสัญชาติ ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อาจจะต้องปรับตัวเรื่องเขตพื้นที่ป่า เรื่องพื้นที่อนุรักษ์ เป็นต้น
“ส่วนที่ต้องปรับแน่ ๆ คือ ต้องนับว่าชาติพันธุ์เป็นประชากรส่วนหนึ่ง และต้องนับว่ามีชาติพันธุ์อยู่ที่ไหนบ้าง เช่น ในเรื่องการเรียนเขาก็ต้องได้รับการคุ้มครองให้เรียนในภาษาของเขาเอง เพราะเป็นการปกป้องมรดกให้ได้รับการคุ้มครอง เขาก็ต้องไปหาวิธีจัดการศึกษาที่ยังคงหลักสูตรแกนกลางและท้องถิ่นต่อไปได้ ซึ่งกระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ต้องไปปรับ” นายอภินันท์ กล่าว
@ พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ส่งผลต่อหลักนิติรัฐนิติธรรม
นายอภินันท์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือถ้าเรามองเรื่องการบังคับใช้กฎหมายชาติพันธุ์ ที่ผ่านมาที่ไม่ได้สนใจว่าชาติพันธุ์มีวิถีชีวิตอย่างไร แต่พอมีพ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ กฎหมายก็มีความละเอียดอ่อนมากขึ้น อาจจะไม่ได้บังคับใช้กฎหมายสิ่งที่ละเลยวิถีวัฒนธรรม เช่น การไปจับชาวบ้านต้องดูว่าวิถีเขาเป็นเช่นนี้ หรือการไล่คนออกจากป่าทั้ง ๆ ที่เขาอาศัยอยู่ในป่า เป็นต้น
“นอกจากนี้ยังต้องหาความยุติธรรมที่เพิ่มวิถีชีวิตเข้าไปด้วย คนบางคนเขามีความจำเป็นที่แตกต่างหลากหลาย อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องหลักนิติรัฐ นิติธรรมไปบ้าง ความยุติธรรมมันไม่ได้มีหนึ่งเดียวแต่ต้องคำนวนความเฉพาะหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะบางคนถ้าเราพูดถึงหลักนิติรัฐนิติธรรมก็จะเข้าใจว่าทุกคน ทุกอย่าง จะต้องเท่าเทียมกัน แต่คำถาม คือ ถ้าทุกอย่างเท่ากันแต่ปลายทางยังเหลื่อมล้ำอยู่แปลว่าไม่ได้แก้ปัญหา โจทย์ใหม่เสนอว่าอาจจะไม่ได้เท่ากันก็ได้นะในตอนเริ่มต้นแต่ปลายทางแล้วทุกคนเสมอภาคกัน อันนี้คือการเปลี่ยนความคิดในเรื่องการมองนิติรัฐนิติธรรม ซึ่งอันนี้เรามองที่เป้าหมายไม่ได้มองที่การเริ่มต้น” นายอภินันท์ กล่าว
นายอภินันท์ กล่าวว่า ยกตัวอย่างเรื่องการห้ามพูดดูหมิ่นเหยียดหยาม หมิ่นประมาท ที่เมื่อก่อนการหมิ่นประมาทชาติพันธุ์ไม่เคยถูกนับรวม และก็ไม่ได้บอกว่าผิดกฎหมาย แต่ตอนนี้ถ้าดูหมิ่นชาติพันธุ์ ก็จะถูกมองว่าเป็นการทำผิดต่อกลุ่มชาติพันธุ์ เหมือนกฎหมายหมิ่นประมาท ซึ่งทำให้เรามองว่าเดิมทีที่เราไม่เคยนับรวมว่าชาติพันธุ์เป็นพลเมืองเป็นคน แต่พอมีพ.ร.บ.ฉบับนี้แล้วก็เป็นสิ่งที่จะต้องพึงระวัง
“ความเป็นไทยยังอยู่ แต่ควรจะเปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายในความเป็นไทย คือ ไทยไม่ได้เป็นไทยอย่างเดียว ไม่ได้มีแต่คนไทย แต่มีคนจีน คนมอญ ฯลฯ และทุกคนก็มีความเป็นพลเมืองไทย แต่การเป็นชาติพันธุ์ แต่งตัวไม่เหมือนเรา ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาถูกเลือกปฏิบัติ ที่ทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ได้” นายอภินันท์ กล่าว
จะเห็นว่าสิ่งที่ชาวชาติพันธุ์ในประเทศไทยต้องการไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างที่คนไทยคนอื่นได้ และได้รับความเคารพในฐานะมนุษย์ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติเพราะเชื้อชาติและวัฒนธรรม
ท้ายที่สุดแล้ววัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์ฯ จะสัมฤทธิ์ผลได้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและประชาชน ที่จะต้องเปลี่ยนความคิด ลดอคติที่มีต่อชาวชาติพันธุ์ และมองว่าชาวชาติพันธุ์เป็นคนไทยคนหนึ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คนเท่ากัน! กางกฎหมายแห่งความหวัง-ความฝัน ทางแก้ปัญหากลุ่มชาติพันธุ์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา