
อุทยานแห่งชาติทับลานไม่ได้เป็นเพียงผืนป่าใหญ่อันดับสองของไทย แต่คือ 'หัวใจ' ที่เชื่อมต่อลมหายใจของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ การเพิกถอนพื้นที่ป่ามหาศาลโดยไร้แผนรองรับ ไม่เพียงขัดต่อสัญญาที่ให้ไว้กับ UNESCO แต่ยังหมายถึงการตัดขาดเส้นทางเดินสัตว์ป่าและทำลายถิ่นอาศัยสุดท้ายของเสือโคร่ง
อุทยานแห่งชาติทับลานมิใช่เป็นเพียงพื้นที่คุ้มครองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย แต่ยังเป็นองค์ประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี 2548 สถานะดังกล่าวสะท้อนถึงคุณค่าและความสำคัญเชิงนิเวศวิทยาในระดับสากล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้กำลังตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งครั้งประวัติศาสตร์
สืบเนื่องจาก มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 เห็นชอบผลการดำเนินการ One Map ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ โดยให้ใช้ ‘เส้นแนวเขตสำรวจการครอบครองที่ดิน ปี 2543’ เป็นเส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานใหม่ โดยมอบหมายให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อช.) ไปดำเนินการ ‘เพิกถอนพื้นที่’ อุทยานแห่งชาติทับลาน ในส่วนที่ทับซ้อนกับเส้นแนวเขตปี 2543 นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับผล One Map และเมื่อเพิกถอนแล้ว ให้ส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวแก่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เพื่อนำไปจัดสรรให้เกษตรกรต่อไป
จากมติดังกล่าวได้จุดชนวนความขัดแย้งที่ซับซ้อนระหว่างภารกิจการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิในที่ดินทำกินของชุมชน และพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่าที่ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากการเห็นชอบเส้นแนวเขตปี 2543

ฉะนั้น การยอมรับเส้นปี 2543 ตามมติ ครม.จึงเท่ากับยอมตัดพื้นที่ป่าที่มีสภาพเป็นอุทยานฯ เดิมออกไปทันที ประมาณ 265,286 ไร่
อุทยานแห่งชาติทับลานมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในมิติทางนิเวศวิทยาและในระดับนานาชาติ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่ามรดกโลกกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติอีก 4 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอีก 1 แห่ง พื้นที่ของทับลานเปรียบเสมือน ‘ไข่แดง’ ที่ทำหน้าที่เป็นแนวเชื่อมต่อป่า (Wildlife Corridor) ที่สำคัญยิ่งยวด โดยเชื่อมระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่กับอุทยานแห่งชาติปางสีดาและตาพระยา ความเชื่อมโยงของผืนป่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนย้าย การกระจายพันธุ์ และการดำรงเผ่าพันธุ์ของสัตว์ป่าหายากนานาชนิด เพื่อรักษาความหลากหลายทาง-พันธุกรรมและป้องกันการผสมเลือดชิด
พื้นที่แห่งนี้เป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์และมีความสำคัญระดับโลกหลายชนิด เช่น เสือโคร่ง ช้างป่า กระทิง และวัวแดง โดยเฉพาะเสือโคร่งนั้น ผืนป่าทับลานถือเป็นพื้นที่แห่งความหวังในการฟื้นฟูประชากร ซึ่งเป็นรองเพียงผืนป่าตะวันตกเท่านั้น การคงอยู่ของผืนป่าขนาดใหญ่และสมบูรณ์จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ผู้ล่าขนาดใหญ่เหล่านี้
ในมิติระหว่างประเทศ สถานะการเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติทำให้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพื้นที่ทับลานต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งได้แสดงความห่วงกังวลต่อการพิจารณาลดขนาดพื้นที่อุทยานฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเตือนว่าการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล (Outstanding Universal Value OUV) ของแหล่งมรดกโลก
ประเด็นสำคัญคือ ในเอกสารการนำเสนอเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Nomination Dossier) ในปี 2548 รัฐบาลไทยได้ระบุอย่างชัดเจนว่า แม้จะมีการกันพื้นที่เสื่อมโทรมออก 437.73 ตารางกิโลเมตร แต่จะมีการ เพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 176.27 ตารางกิโลเมตรเข้ามาทดแทน ทว่าข้อเสนอปัจจุบันที่จะเพิกถอนพื้นที่ประมาณ 424 ตารางกิโลเมตร (2.65 แสนไร่) กลับ ไม่มีข้อเสนอในการผนวกพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพื่อชดเชยแต่อย่างใด การกระทำเช่นนี้จึงไม่เพียงขัดต่อเจตนารมณ์เดิม แต่ยังหมายถึงการสูญเสียพื้นที่คุ้มครองสุทธิ ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับพันธสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาคมโลก
แม้พื้นที่จะมีความสำคัญสูงในทุกมิติ แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหาการทับซ้อนของที่ดินที่หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญและเป็นรากฐานของความขัดแย้งที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
@การทับซ้อนเชิงนโยบายและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ความขัดแย้งในอุทยานแห่งชาติทับลานไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลพวงของนโยบายที่ดิน การตั้งถิ่นฐาน และการอนุรักษ์ที่ทับซ้อนกันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ความไม่ชัดเจนของแนวเขตและการประกาศกฎหมายที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาได้สร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ยากจะคลี่คลายในปัจจุบัน
ลำดับเหตุการณ์เชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญสามารถสรุปได้ ดังนี้
-
ปี 2506 มติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้พื้นที่ป่าหลายแห่ง เช่น ป่าวังน้ำเขียว ป่าครบุรี เป็น ป่าไม้ถาวร เพื่อการอนุรักษ์
-
ปี 2509-2516 พื้นที่ดังกล่าวได้รับการประกาศให้เป็น ป่าสงวนแห่งชาติ อย่างเป็นทางการตามกฎหมาย
-
ปี 2518 และ 2521 มีการประกาศ เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ทับซ้อนลงบนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเดิมบางส่วน
-
ปี 2524 มีการประกาศจัดตั้ง อุทยานแห่งชาติทับลาน โดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งแนวเขตได้ทับซ้อนลงบนพื้นที่ป่าสงวนและเขต ส.ป.ก. ที่ประกาศไว้ก่อนหน้า สร้างปัญหาความทับซ้อนเชิงกฎหมายที่ซับซ้อน
-
ปี 2541 มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ยกเลิกการใช้วิธีการปรับปรุงแนวเขตฯ และมุ่งเน้นการพิสูจน์สิทธิในที่ดินและการครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างต่อเนื่องแทน โดยยึดวันที่สงวนหวงห้ามป่าไม้ตามกฎหมายครั้งแรก
-
ปี 2543 กรมป่าไม้จัดทำการ สำรวจแนวเขตปรับปรุง (ที่รู้จักในชื่อ ‘เส้นแนวเขตปี 2543’) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ สร้างแนวเขตที่ชัดเจนสำหรับบังคับใช้กฎหมายและป้องกันการบุกรุกเพิ่มเติม ไม่ใช่เพื่อรับรองการบุกรุกเดิมเพื่อเพิกถอนในอนาคต
-
ปี 2548 กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ รวมถึงอุทยานฯ ทับลาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ
-
ปี 2566 มติ ครม. 14 มีนาคม 2566 เห็นชอบให้ใช้ ‘เส้นแนวเขตปี 2543’ เป็นแนวทางในการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ (One Map) ซึ่งบิดเบือนเจตนารมณ์เดิมและนำไปสู่ข้อเสนอเพิกถอนพื้นที่อุทยานฯ
ความขัดแย้งเชิงนโยบายที่เด่นชัดที่สุดคือการปะทะกันระหว่าง ‘มติ ครม. 30’ ซึ่งกำหนดหลักการสำคัญว่า ‘รัฐจะไม่นำพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายและป่าอนุรักษ์ตามมติ ครม. ไปดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม’ กับ ‘มติ ครม. 14 มีนาคม 2566’ ที่มีมติให้ยกเว้นหลักการดังกล่าวสำหรับกรณีของอุทยานแห่งชาติทับลานโดยเฉพาะ การสร้าง ‘ข้อยกเว้นสำหรับทับลาน’ นี้เป็นการทำลายกรอบนโยบายป่าไม้ระดับชาติ และเสี่ยงต่อการสร้างบรรทัดฐานที่อันตราย
ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว ซึ่งเปลี่ยนจากพื้นที่เกษตรกรรมดั้งเดิมไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ตั้งของโรงแรม รีสอร์ต และบ้านพักตากอากาศจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้มูลค่าที่ดินสูงขึ้น และดึงดูดกลุ่มทุนให้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน กรอบการวิเคราะห์ปัญหาจึงจำเป็นต้องจำแนกกลุ่มผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่พิพาทออกเป็น 3 กลุ่มที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ได้แก่
-
กลุ่มราษฎรดั้งเดิม ที่อาศัยอยู่ก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ ในพื้นที่ประมาณ 60,000 ไร่
-
กลุ่มผู้ขยายพื้นที่ทำกิน ออกจากแปลงเดิม
-
กลุ่มผู้บุกรุกรายใหม่ นักเก็งกำไร และกลุ่มทุนเชิงพาณิชย์ ที่ครอบครองพื้นที่กว่า 150,000 ไร่ และเป็นคู่กรณีในคดีความเกือบ 500 คดี การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและนโยบายที่ทับซ้อนกันนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศ และจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่าให้รุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
@ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ต่อระบบนิเวศและความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่า
การบุกรุกพื้นที่ป่าและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน โดยเฉพาะการเปลี่ยนสภาพป่าใน อำเภอวังน้ำเขียว ไปเป็นรีสอร์ตและเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ มีความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุโดยตรงกับการเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่า (Human-Wildlife Conflict) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรง
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดคือ การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย (Habitat Loss) และ การแตกกระจายของผืนป่า (Forest Fragmentation) การที่พื้นที่ป่าถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม รีสอร์ต และสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ ทำให้แหล่งอาหารและที่หลบภัยของสัตว์ป่าลดน้อยลง ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ดังกล่าวผลักดันให้สัตว์ป่าขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่อาศัยกว้างขวางอย่างช้างป่าและกระทิง มีแนวโน้มที่จะออกมาหากินใกล้พื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณ อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง และอำเภอนาดี ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและสร้างความตึงเครียดกับคนในชุมชน
หากมีการเพิกถอนพื้นที่ 2.6 แสนไร่ออกจากสถานะอุทยานแห่งชาติจริง ผลกระทบจะรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียพื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) และเส้นทางเคลื่อนย้ายของสัตว์ป่าอย่างถาวร พื้นที่เหล่านี้แม้จะถูกมองด้วยวาทกรรมทางการเมืองว่าเป็น ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการแก้ไขปัญหาที่ทำกิน โดยอ้างว่าหากขีดเขตพื้นที่นี้ออกไป จะช่วยลดคดีความระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน และเป็นการคืนสิทธิครอบครองที่ดินให้กับผู้ที่อยู่มาก่อน (หรืออ้างว่าอยู่มาก่อน) เพื่อเปลี่ยนจาก ‘ผู้บุกรุก’ เป็น ‘เจ้าของที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย’
แต่ในทางนิเวศวิทยายังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับสัตว์กินพืชขนาดใหญ่ และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นที่ดังกล่าวยังมีศักยภาพในการฟื้นฟูตัวเองกลับสู่สภาพป่าที่สมบูรณ์ได้ผ่านกระบวนการทดแทนทางนิเวศวิทยา (Ecological Succession) ดังที่เคยปรากฏความสำเร็จมาแล้วในการฟื้นฟูป่า ณ เขาแผงม้า การสูญเสียพื้นที่เหล่านี้จะยิ่งผลักดันให้สัตว์ป่าต้องออกมาเผชิญหน้ากับมนุษย์บ่อยครั้งขึ้น และเพิ่มความรุนแรงของปัญหาความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเข้าใจถึงผลกระทบทางนิเวศวิทยาที่อาจเกิดขึ้นอย่างถาวรแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องประเมินแนวทางการจัดการความขัดแย้งที่ถูกเสนอขึ้นอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อหาทางออกที่ไม่ซ้ำเติมปัญหาเดิมให้เลวร้ายลงไปอีก
@ การเพิกถอนพื้นที่ ‘เหมาเข่ง’ ปะทะ การจัดการแบบมีส่วนร่วม
ปัจจุบัน ข้อถกเถียงในการแก้ไขปัญหาที่ดินทับซ้อนในอุทยานแห่งชาติทับลานมีแนวทางหลักอยู่ 2 แนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แนวทางแรกคือการเพิกถอนพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2.6 แสนไร่ตามแนวเขตปี 2543 ซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดจากมติ ครม. 14 มีนาคม 2566 และอีกแนวทางหนึ่งคือการจัดการปัญหาแบบแยกแยะภายใต้กรอบกฎหมายอุทยานแห่งชาติฉบับปัจจุบัน
แนวทางการเพิกถอนพื้นที่แบบ ‘เหมาเข่ง’ โดยใช้แนวเขตปี 2543 เป็นเครื่องมือที่ล้มเหลวในเชิงนโยบายอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไม่สามารถประยุกต์ใช้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แตกต่างกันได้ และมาพร้อมกับความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่สำคัญหลายประการ
-
ความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุน แนวทางนี้ล้มเหลวในการแยกแยะระหว่างราษฎรดั้งเดิมในพื้นที่ประมาณ 60,000 ไร่ กับกลุ่มทุนเชิงพาณิชย์และผู้บุกรุกรายใหม่ในพื้นที่กว่า 150,000 ไร่ การเพิกถอนแบบเหมารวมจึงเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการรับรองและทำให้การบุกรุกเชิงพาณิชย์กลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายโดยพฤตินัย ภายใต้ข้ออ้างของการแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้คนจน
-
ผลกระทบต่อคดีความ การเพิกถอนพื้นที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อคดีบุกรุกอุทยานฯ ที่มีอยู่เกือบ 500 คดี ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนและรีสอร์ต การเปลี่ยนแปลงสถานะของที่ดินจาก ‘เขตอุทยานแห่งชาติ’ อาจทำให้ฐานความผิดอ่อนลง และอาจกลายเป็นการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำผิด
-
การสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้อง (โดมิโนตัวแรก) การสร้าง ‘ข้อยกเว้นสำหรับทับลาน’ ซึ่งขัดต่อมติ ครม. 2541 ที่ห้ามนำป่าอนุรักษ์ไปปฏิรูปที่ดิน จะกลายเป็นบรรทัดฐานและเป็น ‘โดมิโนตัวแรก’ ที่นำไปสู่การเรียกร้องให้เพิกถอนพื้นที่อนุรักษ์อื่นๆ ทั่วประเทศที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน เช่น เขาค้อ หรือ ดอยสุเทพ-ปุย ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบการคุ้มครองพื้นที่ป่าไม้ของไทย
-
การขัดต่อพันธสัญญาระหว่างประเทศ การลดขนาดพื้นที่มรดกโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีมาตรการผนวกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ใหม่เข้ามาทดแทนตามที่รัฐไทยเคยให้คำมั่นไว้ในเอกสารเสนอขอขึ้นทะเบียนปี 2548 ถือเป็นการผิดสัญญาต่อคณะกรรมการมรดกโลกโดยตรง และอาจส่งผลกระทบต่อสถานะมรดกโลกของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
ในทางกลับกัน แนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วม ภายใต้กฎหมายปัจจุบันเสนอทางเลือกที่สมดุลและแม่นยำกว่า โดยอาศัยกลไกของ ‘มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ 2562’ ซึ่งอนุญาตให้ราษฎรที่อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่เดิมก่อนการประกาศใช้กฎหมาย สามารถอยู่และทำกินต่อไปได้ภายใต้โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่กรมอุทยานฯ จัดทำขึ้น โดยที่ดินยังคงสถานะเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ
ข้อดีของแนวทางตามมาตรา 64 คือสามารถ แยกแยะกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้อย่างชัดเจน โดยสามารถให้สิทธิ์ทำกินแก่ราษฎรดั้งเดิมและกลุ่มผู้ขยายพื้นที่ (กลุ่มที่ 1 และ 2) ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องร่วมมือในการอนุรักษ์ ขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถดำเนินคดีกับกลุ่มทุน ผู้บุกรุกรายใหม่ และผู้ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ (กลุ่มที่ 3) ได้อย่างเต็มที่
แนวทางหนึ่งจึงเป็นการแก้ปัญหาแบบสิ้นสุดซึ่งมาพร้อมความเสี่ยงสูง ในขณะที่อีกแนวทางหนึ่งเป็นการสร้างกระบวนการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับป่าภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่
ความขัดแย้งที่อุทยานแห่งชาติทับลานเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งเกิดจากความล้มเหลวในการบูรณาการนโยบายที่ดินและการอนุรักษ์ในอดีต ก่อให้เกิดการทับซ้อนของสิทธิและการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชุมชน แนวทางการแก้ไขที่ถูกเสนอในปัจจุบันโดยอาศัยการเพิกถอนพื้นที่แบบ ‘เหมาเข่ง’ กลับมีความเสี่ยงที่จะซ้ำเติมปัญหาเดิม โดยอาจเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนอย่างไม่เป็นธรรม ทำลายความพยายามในการบังคับใช้กฎหมาย และบั่นทอนคุณค่าทางนิเวศวิทยาของพื้นที่มรดกโลกอย่างถาวร
เพื่อนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย บทความนี้จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดังต่อไปนี้
-
ทบทวนมติ ครม. 14 มีนาคม 2566 รัฐบาลควรทบทวนการใช้แนวเขตสำรวจปี 2543 เป็นเกณฑ์ในการเพิกถอนพื้นที่แบบเหมารวม และกลับไปยึดถือหลักการตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ที่กำหนดไม่ให้นำพื้นที่ป่าอนุรักษ์ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเป็นหลักการสำคัญ
-
ใช้กลไกตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ 2562 เป็นเครื่องมือหลัก ผลักดันให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ใช้มาตรา 64 เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎร โดยเร่งรัดกระบวนการสำรวจและจำแนกกลุ่มเป้าหมาย (กลุ่มที่ 1, 2, และ 3) อย่างชัดเจน เพื่อให้สิทธิแก่ราษฎรดั้งเดิม พร้อมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการดูแลรักษาป่า
-
บังคับใช้กฎหมายกับผู้บุกรุกเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง เร่งรัดการดำเนินคดีกับกลุ่มทุนและรีสอร์ตที่บุกรุกพื้นที่อย่างผิดกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ถูกแทรกแซงจากนโยบาย และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดบรรทัดฐานที่ว่าการบุกรุกสามารถนำไปสู่การได้เอกสารสิทธิ์ในภายหลัง
-
สร้างความสอดคล้องกับพันธกรณีมรดกโลก ก่อนมีการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงแนวเขตที่สำคัญใดๆ รัฐบาลต้องดำเนินการศึกษาผลกระทบต่อคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล (Outstanding Universal Value: OUV) และหารือกับศูนย์มรดกโลกอย่างเป็นทางการ โดยคำนึงถึงพันธสัญญาเดิมที่จะต้องมีการผนวกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทดแทน เพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศและรักษาสถานะมรดกโลกของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ไว้


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา