"... จากการดำเนินงานโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และไม่มีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลกระทบทำให้เกษตรกรเสียโอกาสที่จะได้การสนับสนุนงบประมาณในการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรผสมผสาน จำนวน 1,202 ราย คิดเป็นมูลค่า 40.84 ล้านบาท และมีต้นไม้ตายจำนวน 22,779 ต้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 0.96 ล้านบาท และทำให้เกษตรกรเสียโอกาสในการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบอาชีพจากเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรแบบผสมผสานที่ถูกต้อง..."
.....................................
โครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสาน ของกลุ่มจังหวัดแห่งหนึ่ง ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 271.80 ล้านบาท กำหนดเป้าหมายเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 8,000 ราย ดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด ถูก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบการดำเนินงานโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบทำให้เกษตรกรเสียโอกาสที่จะได้การสนับสนุนงบประมาณในการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรผสมผสาน จำนวน 1,202 ราย คิดเป็นมูลค่า 40.84 ล้านบาท และมีต้นไม้ตายจำนวน 22,779 ต้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 0.96 ล้านบาท และทำให้เกษตรกรเสียโอกาส ในการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบอาชีพจากเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรแบบผสมผสานที่ถูกต้อง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สืบค้นรายงานผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่า มีรายงานผลตรวจสอบโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสาน ของกลุ่มจังหวัดแห่งหนึ่ง ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 271.80 ล้านบาท กำหนดเป้าหมายเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 8,000 ราย ดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของโครงการ คือ
1. เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ไปทำเกษตรแบบผสมผสานเพื่อความมั่นคงในการประกอบอาชีพ
2. เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้หลากหลาย สามารถผลิตอาหารทั้งพืช ประมงและปศุสัตว์ ทำให้มีรายได้และลดรายจ่ายในครัวเรือน จากการผลิตทำการเกษตร
3. เพื่อปรับเปลี่ยนระบบการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการแบบองค์รวม ในการพัฒนาสินค้าเกษตรอย่างเป็นระบบ บนพื้นฐานความรู้ ภูมิปัญญา และนวัตกรรมท้องถิ่นสร้างความยั่งยืนให้กับครัวเรือนและชุมชนต่อไป
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการ สตง.พบข้อตรวจพบที่สำคัญ คือ การดำเนินงานโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และไม่มีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 6,843 ราย ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน 1,157 ราย และมีเกษตรกรบางรายที่ขาดคุณสมบัติในการเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 5 ไร่ จำนวน 8 ราย มีแรงงานในครัวเรือนน้อยกว่า 2 คน จำนวน 59 รายและมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำการเกษตรแบบผสมผสานอยู่แล้ว จำนวน 45 ราย
2. การดำเนินงานแต่ละกิจกรรมล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ทุกกิจกรรม โดยเฉพาะการดำเนินงานกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ กิจกรรมการขุดสระน้ำให้กับเกษตรกร และการสนับสนุนปัจจัยการผลิต(พืช สัตว์ ประมง)ดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้สูงสุดมากกว่า 243 วัน
3. เกษตรกรไม่นำปัจจัยการผลิตไปดำเนินการตามแนวทางเกษตรผสมผสาน โดยจากการตรวจสอบเกษตรกร จำนวน 275 ราย พบว่า
3.1 เกษตรกรไม่ทำแผนการผลิตและบันทึกบัญชีฟาร์มตามแนวทางที่ได้รับจากการฝึกอบรม จำนวน 275 ราย คิดเป็นร้อยละ 100 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว
3.2 เกษตรกรไม่ทำการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้ครอบคลุมพื้นที่ จำนวน 5 ไร่ เพื่อทำการเกษตรแบบผสมผสานตามแนวทางโครงการกำหนด จำนวน 250 ราย คิดเป็นร้อยละ 90.91 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว
3.3 เกษตรกรไม่ทำการปลูกพืชตามหลักวิชาการกำหนด จำนวน 275 ราย คิดเป็น ร้อยละ 100 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว และมีเกษตรกรยังไม่นำพืชไปปลูกหรือปลูก บางส่วน จำนวน 265 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.36 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว และมีต้นไม้ตาย จำนวน 22,779 ต้น
3.4 เกษตรกรนำปัจจัยการผลิตด้านพืช ปศุสัตว์ และประมง ไปดำเนินการนอกพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการหรือแบ่งปันให้กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะปัจจัยด้านพืชที่เกษตรกรนำไปดำเนินการนอกพื้นที่ จำนวน 130 ราย คิดเป็นร้อยละ 47.27 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว และปัจจัยด้านปศุสัตว์ที่มีการนำไปเลี้ยงนอกพื้นที่ จำนวน 169 ราย คิดเป็นร้อยละ 61.45 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว
4. เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีรายได้จากการทำเกษตรแบบผสมผสาน โดยเกษตรกรยังไม่มีรายได้จากปัจจัยด้านพืช จำนวน 222 ราย ปัจจัยด้านปศุสัตว์ จำนวน 192 ราย และปัจจัยด้านประมง จำนวน 269 ราย คิดเป็นร้อยละ 80.73 69.82 และ 97.82 ของเกษตรกรที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว ตามลำดับ
สตง. ระบุว่า จากการดำเนินงานโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และไม่มีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลกระทบทำให้เกษตรกรเสียโอกาสที่จะได้การสนับสนุนงบประมาณในการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรผสมผสาน จำนวน 1,202 ราย คิดเป็นมูลค่า 40.84 ล้านบาท และมีต้นไม้ตายจำนวน 22,779 ต้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 0.96 ล้านบาท และทำให้เกษตรกรเสียโอกาสในการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบอาชีพจากเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรแบบผสมผสานที่ถูกต้อง
สตง. ได้แจ้งผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ ให้หัวหน้ากลุ่มจังหวัด ดำเนินการ ดังนี้
1. สั่งการให้หน่วยดำเนินการโครงการ ติดตามการบริหารจัดการปัจจัยด้านพืชของเกษตรกรทุกราย หากพบว่าเกษตรกรรายใดมีปัจจัยด้านพืช (ไม่รวมเมล็ดพันธุ์ผัก) คงเหลือมากกว่าร้อยละ 50 ของปัจจัยการผลิตที่รับทั้งหมด ให้จัดทำแนวทางการส่งเสริมเพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินการปลูกพืชได้ตามแนวทางเกษตรผสมผสานที่โครงการกำหนดไว้ต่อไป
2. ให้พิจารณาทบทวนและยุติการดำเนินโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสานรูปแบบเดิมที่กลุ่มจังหวัดดำเนินการ โดยอาจพิจารณาใช้มาตรการหรือแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรในลักษณะอื่นแทน เนื่องจากไม่สามารถทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทำการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรจากเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรผสมผสานตามที่วัตถุประสงค์โครงการกำหนดได้ และหากต้องมีการดำเนินการโครงการลักษณะเช่นนี้อีก ให้พิจารณานำหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สำคัญมาประกอบการดำเนินการ เช่น
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเชิงคุณภาพให้สอดคล้องกับอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการกำกับดูแลติดตามให้คำแนะนำได้
- การกำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการให้ชัดเจน
- การจัดทำแผนงานในการดำเนินงานโครงการที่ชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการ
- การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจเงื่อนไขและคุณสมบัติของเกษตรกรให้ชัดเจนเพื่อเป็นการป้องกันเกษตรกรที่ไม่ได้มีความตั้งใจจะดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์มาสมัครเข้าร่วมโครงการเพียงเพื่อต้องการได้รับสนับสนุนจากรัฐโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- ให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจัดทำแผนการผลิต แผนการตลาด รวมทั้งประมาณการผลผลิตและรายได้จากการดำเนินการเกษตรผสมผสาน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ
ของเกษตรกร และให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรช่วยพิจารณาความเหมาะสมของปัจจัยแต่ละประเภท ก่อนการดำเนินการ
- ให้มีระบบการติดตามการดำเนินงานของเกษตรกรเป็นระยะจนสิ้นสุดการดำเนินโครงการ เพื่อทราบผลการดำเนินงานของเกษตรกร รวมทั้งเจ้าหน้าที่จะสามารถให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรได้ทันเวลา
- หากหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดหาปัจจัยการผลิต ให้หาแนวทางแก้ไขการแจกปัจจัยการผลิตให้ตรง/สอดคล้องกับฤดูกาล เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำไปดำเนินการได้เหมาะสมกับฤดูกาลผลิต อันส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาลเป็นสำคัญ และหากเห็นว่าการดำเนินการจะไม่ทันฤดูกาลผลิตให้พิจารณาทบทวนและหรือยุติการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เพื่อไม่เป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่สูญเปล่าหรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรอย่างแท้จริง เป็นต้น
3. สั่งการให้หน่วยงานดำเนินงานโครงการจัดทำฐานข้อมูลความต้องการของเกษตรกรในการประกอบอาชีพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงการและกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับผลการแก้ไขข้อบกพร่องและปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยรับตรวจนั้น กลุ่มจังหวัดได้มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. ว่าหน่วยงานดำเนินงานโครงการ ได้ดำเนินการ ดังนี้
1. สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ติดตามการบริหารปัจจัยการผลิตด้านพืชของเกษตรกรทุกราย หากพบว่าเกษตรกรรายใดมีปัจจัยด้านพืชคงเหลือมากกว่าร้อยละ 50 ของปัจจัยการผลิตทั้งหมด ให้ทำการส่งเสริมเพื่อให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ตามแนวทางเกษตรผสมผสานที่โครงการกำหนดไว้ รวมทั้งให้ติดตามการดำเนินงานของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีการดำเนินกิจกรรมให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ รวมถึงให้เกษตรกรทำแผนการผลิตและบันทึกบัญชีฟาร์มตามแนวทางที่ได้รับจากการฝึกอบรม
2. ในการจัดทำแผนงานและเสนอโครงการในปีถัดไป จะนำข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปประกอบการพิจารณาในการยุติหรือไม่เสนอโครงการบริหารจัดการเกษตรแบบผสมผสานในรูปแบบเดิม หรือหากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะเดิม จะมีการพิจารณาดำเนินการและบริหารจัดการด้วยความรอบคอบต่อไป
3. สั่งการให้มีการจัดทำฐานข้อมูลความต้องการของเกษตรกรในการประกอบอาชีพข้อมูลปัจจัยด้านพืช และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงการให้เหมาะสม
ทั้งนี้ จากผลการตรวจสอบและการแจ้งข้อเสนอแนะให้หน่วยรับตรวจดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องและปรับปรุงการปฏิบัติงานดังกล่าว ทำให้มีการปรับปรุงการดำเนินงานในด้านการจัดทำฐานข้อมูล การเสนอโครงการ การบริหารจัดการและการติดตามผลการดำเนินงานโครงการ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ
อย่างไรก็ดี ในรายงานผลการตรวจสอบเรื่องนี้ของ สตง. มิได้ระบุชื่อ กลุ่มจังหวัดที่รับผิดชอบโครงการฯ ที่ถูกตรวจสอบพบปัญหากรณีนี้เอาไว้ จึงทำให้ สำนักข่าวอิศรา ไม่สามารถติดต่อไปยังผู้บริหาร กลุ่มจังหวัดเหล่านี้ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านได้
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/