
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ยลคนละช่อง บอร์ด กคพ. รับ คดีฮั้วเลือก สว. เป็น คดีพิเศษ ทวี เผย พยานยืนยันมีการใช้เงิน 400-500 ล้าน มีพยาน 7,000 ปาก คาดใช้เวลารวบรวมหลักฐานไม่เกิน 3 เดือน - โรม งง ตั้งลูกมูลฐานอั้งยี่-ซ่องโจร ซัด นายกฯ เอาตำรวจไม่อยู่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 7 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ให้สัมภาษณ์กรณี กคพ. มีมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมาก 11 เสียง ต่อไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง รับคำร้องการเลือกสมาชิกวุฒิ (สว.) ปี 2567 เป็นคดีพิเศษตามความผิดฐานฟอกเงิน ว่า คดีฮั้วเลือกสว.สามารถรับเป็นคดีพิเศษฐานความผิดฟอกเงินได้ เพราะจากการสอบสวนพยานสามารถเชื่อได้ว่ามีเงินสะพัดในการเลือก สว.ครั้งนี้กว่า 300 ล้านบาท มูลค่าเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ซึ่งดีเอสไอสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาความผิดเรื่องการจ้างให้ดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อั้งยี่ ซ่องโจร และความผิดฐานยุยงส่งเสริมไม่ให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หรือการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ เพราะหากสืบสวนสอบสวนความผิดฐานฟอกเงินและพบการประทำที่เข้าข่ายความผิดเหล่านี้ รวมถึงความอาญาที่เกี่ยวข้อง กฎหมายก็ให้ถือเป็นคดีพิเศษไปได้เลย
@ พยานยืนยันเลือก สว.มีการใช้เงิน 400-500 ล้าน
เมื่อถามว่า หลักฐานอะไรที่ทำให้เชื่อได้ว่ามูลค่าเงินเกิน 300 ล้านบาท พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า มูลฐานความเชื่อได้ว่า เช่น การออกหมายจับของศาล เขาให้ใช้หลักฐานพอสมควร
“กรณีนี้ใช้เกณฑ์ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาในการออกหมายจับ ของศาลฎีกาที่บางครั้งใช้บันทึกสายลับไม่ได้มีการสอบพยานเลยก็ออกหมายจับได้”พันตำรวจเอก ทวี กล่าว

พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า ดังนั้น ในคดีนี้มีพยานยืนยันว่ามีการใช้เงิน 400-500 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินเป็นช่วงๆ เมื่อมีพยานจึงถือมูลฐานอันเชื่อได้ว่า ที่ประชุม กคพ. จึงมีมติรับเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายฟอกเงิน ส่วนความผิดฐานอั้งยี่ การได้มาซึ่งสว.หรือการฮั้ว และความผิดอื่นๆ เช่น ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) ที่มีการร้องทุกข์ไว้ หากมีความเชื่อมโยงก็ให้ถือเป็นคดีพิเศษ
“โดยตอนนี้ดีเอสไอมีพยานประมาณ 7,000 คน ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าไปในพื้นที่การเลือกสว. ระดับประเทศ ที่เมืองทองธานีถึง 3,000 คน เราก็จะดูพยานหลักฐานนี้โดยได้ส่งหนังสือขอให้พนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และพิสูจน์ความผิด โดยได้ให้นโยบายดีเอสไปแล้วจะต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานไม่เกิน 3 เดือน เพราะเขาสอบมานานแล้ว”พันตำรวจเอก ทวี กล่าว
@ ไม่ผิดจะได้สง่างาม
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าการใช้เงินจูงใจให้เลือกเข้าข่ายเป็นการซื้อเสียง ซึ่งอยู่ในอำนาจของ กกต. ตอนนี้ดีเอสไอพยายามล้วงลูกกกต.ด้วยการอ้างกฎหมายฟอกเงินหรือไม่ พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า ไม่ใช่ เหมือนบริษัทหลบเลี่ยงภาษีก็มีความผิดหลายกรรม แต่หากกรณีนี้เป็นความผิดอั้งยี่ มีการสมคบกันกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ถือเป็นหนึ่งความผิดแล้ว
เมื่อถามว่า เป็นการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อให้ได้คดีนี้มาอยู่ในมือใช่หรือไม่ พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า ไม่ใช่ มีผู้มาร้องทุกข์และมีการสืบสวน และจริง ๆ แล้ว กกต. เป็นฝ่ายมาขอให้เราทำ เราจึงต้องร่วมมือกับกกต. และเมื่อพบพยานหลักฐานแล้ว กกต.ก็สามารถนำไปพัฒนาและใช้ในการยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อถอดถอนได้
“คิดว่าหลักฐานที่มีการจ่ายเงินน่าจะถึง 20 คน ถ้า กกต. ร่วมมือกัน ซึ่งตอนนี้ก็คิดว่าเขาร่วมมือเพราะเขาส่งหนังสือมา และเราไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจ กกต. ตราบใดที่ กกต. ยังไม่ยกเลิกดีเอสไอและตำรวจเข้าไปร่วมสืบสวนคดีฮั้วเลือกสว. เราก็พยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้ เพราะอำนาจของกกต. คือการเดินหน้าถอดถอนบุคคลที่ได้ซึ่งตำแหน่งสว.โดยมิชอบ”พันตำรวจเอก ทวี กล่าว
พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า ตนไม่กังวลกรณีที่ สว. ตอบโต้ด้วยการยื่นถอดถอนจากตำแหน่งฐานกระทำความผิดด้านจริยธรรมอย่างร้ายแรง และเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพราะเรื่องความยุติธรรมไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ล้วนมีความสำคัญเท่ากัน แต่เรื่องนี้หากเราพิจารณาให้ดีมันกระทบต่อความมั่นคงด้านนิติบัญญัติ อำนาจในการออกกฎหมายก็ได้รับผลกระทบ
“อยากเรียนไปถึงสว. ถ้าผลสอบสวนออกมาแล้วท่านไม่ผิดก็จะได้สง่างาม ยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรู้สึกในการแก้ปัญหา จะใช้พยานหลักฐานเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลและรัฐมนตรี ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของพนักงานสอบ อัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิ มาร่วมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ซึ่งต้องทำอย่างรวดเร็ว”พันตำรวจเอก ทวี กล่าว
@ งง ตั้งลูกอั้งยี่-ซ่องโจร
ด้านนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า เวลาจะพูดถึงฟอกเงินต้องมีคดีมูลฐานก่อน ซึ่งตนงงว่าจะตั้งฐานโดยใช้คดีมูลฐานอั้งยี่ซ่องโจร ก็จะสามารถไปคดีฟอกเงินได้ แต่เมื่อตั้งต้นจากคดีฟอกเงินก่อน ก็จะต้องกลับไปตั้งต้นว่าคดีมูลฐานเป็นอย่างไร หากถามว่าทำได้หรือไม่ ตั้งเป็นคดีฟอกเงินก็ทำได้ แต่อาจจะต้องตั้งต้นจากอั้งยี่ซ่องโจรเป็นหลัก

“เข้าใจว่ามีปัญหาเรื่องของการล็อบบี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เพราะเริ่มต้นพิจารณาตำรวจหายไปถึงสามคน ทั้งที่ตำรวจอยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจ ทำไมถึงไม่สามารถกำกับดูแลให้ตำรวจปฎิบัติหน้าที่ของตัวเองใน กคพ.ได้”นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่าต้องยอมรับกันตรงๆว่า มีผู้ที่มาเกี่ยวข้อง มาแทรกแซงแล้วทำให้กระบวนการของดีเอสไอที่ กคพ.ประกาศไปเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา อาจจะดูแปลกประหลาด กลายเป็นว่าแทนที่จะสามารถตั้งต้นได้จากอั้งยี่ซ่องโจร แล้วไปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินก็จะเดินไปได้ดีกว่า จริงๆแล้วต้องยอมรับว่ารัฐบาลพยายามที่จะเปิดปฎิบัติการอย่าใหญ่ในเรื่องนี้ แต่แสดงให้เห็นว่า การที่มีบุคคลภายนอกเข้ามา แทรกแซงแล้วทำให้ฐานที่จะดำเนินการเอาผิดกับสว. ชุดนี้ว่าอาจจะกระทำความผิดกับคดีอั้งยี่ซ่องโจรหรือไม่ จึงมีปัญหาอยู่ในตอนนี้
นายรังสิมันต์กล่าวว่า แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ แม้กระทั่งการปราบอาชญากรรม ที่มีความร้ายแรงขนาดนี้ จึงมีคำถามว่าศักยภาพของรัฐบาลนี้จะทำได้มากน้อยแค่ไหน และต้องไม่มองแค่สว.ต้องถามกลับไปด้วยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีความผิดอะไรหรือไม่ ถึงปล่อยให้ระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ สมมุติว่ามีการกระทำความผิดจริง ไม่ว่าจะเป็นการฮั้วสว. แต่กกต.ปล่อยระยะเวลาให้เนิ่นนานขนาดนี้ คิดว่าเจ้าหน้าที่ของกกต.ก็น่าสงสัยเหมือนกัน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดด้วยหรือไม่
เมื่อถามว่าเป็นเพราะการพบกันของผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกรัฐบาลหรือไม่จึงทำให้คดีสว.เหลือเพียงแค่คดีฟอกเงิน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าสถานภาพของรัฐบาลที่มีความไม่แน่นอนสูง เป็นสภาวะเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน ซึ่งทำให้ปัญหาความเป็นเอกภาพของรัฐบาลที่ต้องยอมรับว่ามีอยู่ เพราะมีการปะทะกันระหว่างการทำงานของสองขั้ว ทำให้การทำงานไม่มีความเป็นเอกภาพ การที่เราจะบอกว่าเสือตัวไหนแข็งแรง จะดูแค่ที่นั่งสส.ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่มากกว่านั้น
“เมื่อเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมีความอ่อนแอลง ผนวกกับมีผู้มีอำนาจที่อยู่นอกรัฐบาลเข้ามามีปัจจัยเกี่ยวข้อง ในการล็อบบี้ต่างๆ สุดท้ายจึงทำให้ดีเอสไอไม่สามารถที่จะทำคดีเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษได้อย่างเต็มที่ การตั้งข้อกล่าวหาจึงดูค่อนข้างแปลกประหลาด”นายรังสิมันต์กล่าว
@ คุณขอมา
เมื่อถามว่าการที่ตั้งคดีแค่การฟอกเงิน คิดว่าจะส่งผลอะไรกับสว.ชุดนี้บ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าดูจากบรรยากาศแบบนี้แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีศักยภาพในการที่จะใช้ในการที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ เมื่อเป็นแบบนี้ถ้ามีผู้กระทำความผิดฮั้วสว.จริง เขาอาจจะฉลองแชมเปญกันไปแล้ว เพราะแสดงให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องนี้คงไม่สามารถคลี่คลายได้โดยง่าย และเป็นบทพิสูจน์ว่าตัวรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอมาก มากกว่าที่จะแสดงถึงความเข้มแข็ง คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมาจากหลายปัจจัย
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ส่วนหนึ่ง คือ ภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีมากเพียงพอหรือไม่ มีภาวะผู้นำที่เข้มแข็งมากเพียงพอหรือไม่ ในการที่ทำให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่า รัฐบาลนี้เอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้กฎหมายที่จะทำให้ทุกฝ่ายซึ่งรวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล ให้ความเชื่อมั่นว่าคือรัฐบาลที่เขาต้องยอมรับ และการเป็นผู้นำต่อไป ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาอาชญากรรมต่างๆที่เชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ ก็อาจจะไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป และเป็นปัญหาร้ายแรงของประเทศต่อไป
เมื่อถามว่า การตั้งข้อหาแค่นี้ไม่ทำให้เก้าอี้สว.สั่นสะเทือน นายรังสิมันต์กล่าวว่า ตนคิดว่ายังอีกไกลที่จะไปบอกว่าสะเทือนหรือไม่สะเทือน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะดูได้จากผลโหวตที่ออกมาก็ชัดว่ารัฐบาลมีความเข้มแข็งเพียงพอในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะการออกมาในรูปคดีฟอกเงินสุดท้ายแล้วก็ต้องมาหาคดีมูลฐานอยู่ดี
เมื่อถามว่าผู้ลาประชุมส่วนใหญ่เป็นตำรวจ ที่อยู่ในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี สะท้อนว่านายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ขนาดตำรวจอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรียังเอาไม่อยู่เลย อย่างพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้คนมาแทน แล้วมาไม่ได้ อย่างนี้มอบหมายทำไม
นายรังสิมันต์กล่าวว่า เรารู้อยู่แล้วว่าวิธีการเช่นนี้ มีคุณเขาขอมา คุณก็เลยใช้วิธีขอลาไม่เข้าประชุมตั้งแต่ต้น คิดว่าจะไม่ผิดใจกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คงคิดว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่การทำแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า แม้กระทั่งตำรวจเองก็ไม่สนใจนายกรัฐมนตรีเลย และจริงๆแล้วนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ตำรวจยังไม่ให้ความเคารพนับถือเลย จึงกลับไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีว่าที่ตำรวจ และองค์กรต่างๆไม่เชื่อฟัง เพราะนายกรัฐมนตรีไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ
“ผมเชื่อว่ามีการต่อรองและดีลกันทางการเมืองต่อไป ผมว่าเกมเรื่องนี้สำหรับฝ่ายต่างๆยังคงอีกไกล ผมไม่อยากเดาว่า เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด เข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร แต่เชื่อว่าทุก Movement ทุกย่างก้าว ของฝ่ายต่างๆ ล้วนถูกนำไปตีความในหลายๆด้าน ผมคงไม่ต้องลงรายละเอียดว่าสว.สีน้ำเงินหมายถึงอะไร แต่ทุกย่างก้าวของฝ่ายการเมืองจะนำไปสู่การตั้งคำถาม ซึ่งหลายๆคำถามเป็นคำถามที่ไม่ดีเลย แต่เป็นคำถามที่ประชาชนสงสัย และรู้สึกไม่ดีกับรัฐบาลเพิ่มขึ้น”นายรังสิมันต์กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา