‘ธปท.’ ร่วมกับ ‘ผู้ให้บริการ e-money’ กำหนดวางมาตรฐาน ‘Tourist wallet’ เปิดทาง ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ ใช้สแกน ‘PromptPay QR Code’ จ่ายค่าซื้อสินค้าในไทย
.....................................
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ร่วมกับผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) กำหนดมาตรฐานการให้บริการ Tourist wallet หรือ การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าบริการในไทย เพื่อช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการในไทย
“ตอนนี้เริ่มมีบางธนาคารให้บริการ Tourist wallet แล้ว ซึ่งข้อดีของ Tourist wallet คือ เมื่อนักท่องเที่ยวมาสมัครใช้บริการในไทย โดยดาวน์โหลดแอปฯของผู้ให้บริการฯ ลงทะเบียนและยืนยันตัวตน แล้วเติมเงินเป็นเงินบาทเข้าไปในแอปฯผ่านช่องทางต่างๆ ก็จะสามารถนำไปสแกนจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าที่มี QR Code PromptPay ได้ ซึ่งตรงนี้จะตอบโจทย์นักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เพราะในปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะสแกน PromptPay QR Code ได้
จะต้องเป็นนักท่องเที่ยวจาก 8 ประเทศ ที่มีระบบเชื่อมโยงกันแล้วเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ที่เขานำบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตมา แต่ร้านค้าในบ้านเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะร้านค้าเล็กๆ อาจจะไม่รับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ทำให้ที่ผ่านมาต้องมีการใช้เงินสดกันค่อนข้างเยอะ ดังนั้น Tourist wallet จะเป็นบริการที่เข้ามาเติมเต็มตรงนี้ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ระบบฯยังไม่เชื่อมโยงกับบ้านเรา” นายณพงศ์ธวัช กล่าว
ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ร่วมกับ 8 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย ฮ่องกง ลาว อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ทำการเชื่อมโยงบริการชำระเงินข้ามแดนด้วย QR Code (Cross-border QR Payment & Remittance ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวนการทำธุรกรรมอยู่ที่ 3.2 ล้านรายการ เติบโต 346% จากปีก่อน ส่วนมูลค่าธุรกรรมอยู่ที่ 2,593 ล้านบาท เติบโต 335% จากปีก่อน รวมทั้งอยู่ระหว่างเชื่อมโยงกับจีนภายในปี 2568
สำหรับมาตรฐานการให้บริการ Tourist wallet ดังกล่าว ธปท.ได้กำหนดมาตรฐานการป้องกันความเสี่ยงและคุ้มครองผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม ดังนี้
1.การเปิดบัญชี นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและเปิดบัญชี e-money ของผู้ให้บริการภายใต้กำกับของ ธปท. โดยมีการระบุและยืนยันตัวตน (KYC) อย่างรัดกุมก่อนการให้บริการ ตามหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจ e-Money โดยใช้ NFC Passport และยืนยันตัวตนผ่านระบบ Biometrics
2.การเติมเงินเข้าบัญชี นักท่องเที่ยวสามารถเติมเงิน top-up เข้า Tourist Wallet ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เงินสดที่เคาน์เตอร์ของผู้ให้บริการ ผูกกับบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต การโอนเงินจากบัญชีธนาคารต่างประเทศผ่านผู้ให้บริการภายใต้กำกับของ ธปท. ทั้งนี้ ขึ้นกับรูปแบบการให้บริการของผู้ให้บริการแต่ละราย
3.การใช้งาน นักท่องเที่ยวใช้จ่ายผ่านการสแกน Thai QR code ปกติของร้านค้าทั่วไป (ร้านค้าจะได้รับเงินเป็นบาทในทุกกรณี) โดยมีข้อกำหนดในการใช้งานเพื่อป้องกันการนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินและการหลอกลวงภัยการเงิน เช่น เป็นบัญชีม้า ดังนี้
-จำกัดวงเงินการใช้จ่าย 500,000 บาท/เดือน/บัญชี สำหรับร้านค้าที่ใช้ Merchant QR
-จำกัดวงเงินการใช้จ่าย 50,000 บาท/เดือน/บัญชี สำหรับร้านค้ารายย่อยทั่วไป (ที่ใช้ Personal QR)
-ห้ามใช้จ่ายที่ร้านค้าที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้เป็นช่องทางการฟอกเงิน เช่น การลงทุน ผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ปปง.
-การถอนเงินสด จะทำได้เมื่อมีการปิดบัญชี และถอนเงินได้ไม่เกินยอดของเงินสดที่เติมเงิน
-มีการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมตามช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อยืนยันว่าผู้ใช้บริการยังเป็นบุคคลเดียวกับที่ลงทะเบียน เพื่อลดความเสี่ยงของการนำบัญชีไปใช้ในการทำทุจริตทางการเงิน
นายณพงศ์ธวัช ยังระบุว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการทดสอบ (Sandbox) เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กำกับดูแล ก.ล.ต. สามารถอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท และเติมเงินบาทดังกล่าวเข้าสู่ Tourist Wallet ได้ด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา