‘สภาผู้บริโภค’ แพร่แถลงการณ์ เสนอรัฐบาลโยกงบสร้าง ‘ทางด่วน 2 ชั้น’ 3.4 หมื่นล้าน ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาจราจรได้จริง มาใช้ดำเนินนโยบาย 'รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย'
.......................................
จากกรณีที่รัฐบาลได้ประกาศชะลอ ‘นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท’ ออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ต.ค.2568 โดยกระทรวงคมนาคมประกาศว่า จะเลื่อนการดำเนินการไปเป็นภายในวันที่ 15 พ.ย.2568 เนื่องจากต้องรอให้ร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. …. พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. …. และ พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ผ่านการพิจารณาจากสภาฯ นั้น
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. สภาองค์กรของผู้บริโภค เผยแพร่แถลงการณ์ โดยเสนอให้รัฐบาลนำงบประมาณ 34,000 ล้านบาท ที่กระทรวงคมนาคมตั้งไว้สำหรับดำเนินโครงการทางด่วน 2 ชั้น เพื่อแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร มาดำเนินการสนับสนุนการขนส่งสาธารณะ คือ การเดินหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เนื่องจากการสร้างถนนทางด่วน 2 ชั้น นั้น เป็นการดำเนินการเกินความจำเป็น และไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้จริง
แถลงการณ์ฯ ระบุว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทย และหลายพรคการเมืองก็มีนโยบายใกล้เคียงกัน เช่น พรรคภูมิใจไทย 40 บาท ต่อวันไม่จำกัดเที่ยว พรรคประชาชน รถเมล์และรถไฟฟ้า 8-45 บาทตลอดสาย พรรคประชาธิปัตย์ 50 บาทตลอดวันตลอดสาย ไม่จำกัดเที่ยว และมีอีกหลายพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้มีบริการขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงและเท่าเทียมมากขึ้น
รวมทั้งสภาผู้บริโภคและสมาชิกสภาผู้บริโภคใน 58 จังหวัด ได้เสนอและผลักดันนโยบาย “ขนส่งมวลชนทุกคนขึ้นได้ทุกวัน” เดินออกจากบ้าน 500 เมตร เจอป้ายรถสองแถว (รถเมล์) ค่าบริการขนส่งสาธารณะไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำของประชาชนทุกคนทั่วประเทศ
จากการทำงานของสภาผู้บริโภคมีข้อมูลเชิงประจักษ์รองรับชัดเจน ผลการศึกษาของอนุกรรมการผู้เชี่ยวชาญสภาผู้บริโภคชี้ชัดว่า ค่าใช้จ่ายเดินรถต่อคนต่อเที่ยวของผู้บริโภคระหว่างปี พ.ศ. 2557–2562 มีต้นทุนเฉลี่ยต่อคนต่อเที่ยวโดยสารระหว่าง 10.10–16.30 บาท ขึ้นกับจำนวนผู้โดยสารและค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ซึ่งข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของกรุงเทพมหานครที่ยืนยันว่า ค่าบริการเดินรถประมาณ 11–13 บาทต่อคนต่อเที่ยว
รวมถึงโครงการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารของกรมการขนส่งทางราง ปี 2567 ที่ระบุว่า ค่าเฉลี่ยต้นทุนงานระบบรถไฟฟ้าต่อผู้โดยสารสำหรับรถไฟฟ้ารางหนัก (Heavy rail) จะอยู่ที่ 14.31 บาท และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT หรือ Monorail) จะอยู่ที่ 11.67 บาทเท่านั้น
ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ค่าโดยสาร 20 บาท มีความเป็นไปได้จริงและเป็นราคาที่ยุติธรรมต่อผู้บริโภค และที่สำคัญบริการรถไฟฟ้ายังมีรายได้เพิ่มเติมจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากการโฆษณาของรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอีกจำนวนมาก เพียงแต่การดำเนินการที่ผ่านมาสัญญาสัมปทานที่เกิดขึ้นทั้งหลายมีมรดกบาปหรือค่าโง่ที่ติดค้างการดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน
สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงขอเสนอและเรียกร้องต่อรักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า ระบบขนส่งสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคทุกคนที่ต้องขึ้นได้จริงทุกวัน ขอให้นำงบประมาณจำนวนไม่น้อยกว่า 34,000 ล้านบาท ที่กระทรวงคมนาคมได้ตั้งงบประมาณไว้ในการดำเนินโครงการทางด่วน 2 ชั้น โดยใช้เหตผลเพื่อแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการจรจรได้จริง
ปรับเปลี่ยนนำงบประมาณส่วนนี้มาใช้เพื่อให้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย สามารถเดินหน้าได้จริง ถึงแม้จะยังไม่มีกฎหมายตั๋วร่วมหรือกฎหมายอื่นๆ ตามที่ชี้แจง เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนงบประมาณบางด้านที่เกินความจำเป็นและมีประโยชน์น้อยกว่า โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของผู้บริโภคและประเทศชาติโดยรวม
แถลงการณ์ระบุด้วยว่า บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ก้าวสู่การใช้พลังงานสะอาด ลดค่าครองชีพเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะให้กับประชาชนทุกคน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการที่ว่า ระบบขนส่งสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคทุกคน
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณเหลือจำนวน 28,500 ล้านบาท (34,000-5,500 = 28,500 ล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้าให้บริการผู้บริโภคในต่างจังหวัดได้มากถึง 5,700 คัน หรือจำนวน 75 คันต่อจังหวัด (ประมาณราคารถเมล์ไฟฟ้า 5 ล้านบาทต่อคัน)
ที่สำคัญโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายยังมีประโยชน์และมีมูลค่ามากถึง 10,049.73 ล้านบาท ต่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากถึง 7,360.43 ล้านบาท ด้านสังคม ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ และเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนคิดเป็นมูลค่า 2,612.02 ล้านบาท ด้านสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อย CO₂ 77.28 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงคมนาคม)
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้ร่วมผลักดันนโยบายรถไฟฟ้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อทำให้ภาคประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน จึงจัดได้ทำแถลงการณ์เสนอทางออกขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ให้เดินหน้าได้ตามแผน ด้วยการให้รัฐบาลนำงบประมาณ 34,000 ล้านบาท ที่กระทรวงคมนาคมได้ตั้งไว้ในการดำเนินโครงการทางด่วน 2 ชั้น มาผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท สร้างผลดีทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการสาธารณะ
เหตุผลของการเสนอให้รัฐบาลนำงบประมาณ 34,000 ล้านบาท ปรับเปลี่ยนมาใช้เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้านั้นมีเหตุผลสำคัญๆ สองประการ คือ
ประการแรก คือการสร้างทางด่วนสองชั้นนั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครได้จริง ทั้งนี้เนื่องจากการเพิ่มพื้นที่ทางด่วนเป็นการทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาพึ่งพิงการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น
และประการที่สอง คือ หากนำนำงบประมาณส่วนนี้มาปรับเปลี่ยนเพื่อให้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย จะสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการรถสาธารณะที่สะดวกรวดเร็วในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น เป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของผู้บริโภคและประเทศชาติโดยรวม ในขณะที่การสร้างถนนทางด่วน 2 ชั้นที่เกินความจำเป็น และไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้จริง
“สภาผู้บริโภคขอเสนอและเรียกร้องต่อรักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า ระบบขนส่งสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคทุกคนที่ต้องขึ้นได้จริงทุกวัน ขอให้นำงบประมาณจำนวนไม่น้อยกว่า 34,000 ล้านบาท ที่กระทรวงคมนาคมได้ตั้งงไว้ในการดำเนินโครงการทางด่วนสองชั้น ปรับนำงบประมาณส่วนนี้มาใช้ เพื่อให้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย สามารถเดินหน้าได้จริง
ถึงแม้ยังไม่มีกฎหมายตั๋วร่วมหรือกฎหมายอื่นๆ ตามที่ชี้แจง เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศ สะท้อนว่าได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนงบประมาณบางด้านที่เกินความจำเป็นและมีประโยชน์น้อยกว่า โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของผู้บริโภคและประเทศชาติโดยรวม” น.ส.สารี กล่าว
น.ส.สารี ระบุว่า สภาผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถือเป็นทางออกสำคัญในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ร่วมแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ก้าวสู่การใช้พลังงานสะอาด พร้อมลดค่าครองชีพเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะให้กับประชาชนทุกคน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการที่ว่าระบบขนส่งสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคทุกคน
น.ส.สารี ยังกล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้าอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สภาผู้บริโภคได้เสนอนโยบายต่อภาครัฐบาลมาตั้งแต่ปี 2564 ตั้งแต่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนโยบายนี้จะทำให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมและเป็นนโยบายที่มีความยั่งยืน พร้อมกันนี้ สภาผู้บริโภคได้ยึดหลักการว่าค่าบริการขนส่งสาธารณะไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ หรือไม่ควรเกิน 40 บาทต่อวัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา