‘สภาผู้บริโภค’ จับมือ ‘สถาบันเอเชียศึกษา’ จุฬาฯ เปิดผลศึกษาฯ ชี้ ‘กองทุนน้ำมันฯ’ พบขาดความยั่งยืน มุ่งเก็บเงินคนใช้ ‘เบนซิน’ ในอัตราสูง เพื่อนำไปอุดหนุน ‘ดีเซล-LPG’
.....................................
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีวิชาการสาธารณะ “ผลการศึกษาการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562” เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายอรรคณัฐ วันทนะสมบัติ นักวิจัย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอผลการศึกษาการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 โดยระบุว่า แม้กองทุนจะช่วยลดความผันผวนของราคาน้ำมันในระยะสั้นได้จริง แต่การดำเนินงานในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะการพึ่งพาการกู้ยืมเงินและกลไกการอุดหนุนข้ามประเภท (Cross-subsidy) ซึ่งส่งผลให้เกิดภาระทางการเงินสูงและความไม่ยั่งยืนในระยะยาว
“แม้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถรักษาระดับราคาน้ำมันให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ได้ในระดับหนึ่ง แต่การดำเนินงานยังขาดความสอดคล้องกับแนวทางในแผนยุทธศาสตร์ที่เน้นความยั่งยืน โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล อีกทั้งยังขาดการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดปัญหาความเป็นธรรมและความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุน” นายอรรคณัฐ กล่าว
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้วิจัยพบว่า การดำเนินงานของกองทุนมีแนวโน้มไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายที่มุ่ง “รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีเกิดวิกฤตการณ์” โดยเฉพาะกรณีน้ำมันดีเซลและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่กลายเป็นภาระต่อกองทุนและไม่สะท้อนหลักการรักษาเสถียรภาพราคาตามที่ พ.ร.บ.กำหนด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการควบคุมราคา LPG เป็นการอุดหนุนมากกว่าการรักษาเสถียรภาพหรือไม่
“การกำหนดสถานการณ์ใน “แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง” ของสำนักงานกองทุนน้ำมันฯ ยังไม่ครอบคลุมสถานการณ์จริง เน้นเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลและ LPG โดยไม่กำหนดกรอบวิกฤตของน้ำมันเบนซิน จึงทำให้เกิดการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินในอัตราสูง เพื่อนำไปอุดหนุนกลุ่มเชื้อเพลิงอื่น ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่ขัดต่อแนวทางในแผนฯ ที่ระบุให้หลีกเลี่ยงการอุดหนุนข้ามกลุ่ม ทั้งยังทำให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซินรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกด้วย” นายอรรคณัฐ ระบุ
นอกจากนี้ การปรับแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แม้จะเพิ่มเพดานการกู้เงินของกองทุนจาก 40,000 ล้านบาท เป็น 150,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง แต่กลับไม่ปรับปรุงกลไกหลักที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวิกฤต ส่งผลให้กองทุนต้องรับภาระหนี้สินในระยะยาว และอาจกลายเป็นภาระต่อประชาชนผู้เสียภาษี เนื่องจากหนี้ของกองทุนถือเป็น “หนี้สาธารณะ”
รวมทั้งโครงสร้างคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีตำแหน่งจากหน่วยงานซ้ำซ้อน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานขาดความเป็นอิสระและอาจมีความอ่อนไหวต่อการแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรได้รับการปรับปรุง
สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบาย จากการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน 5 ข้อ ดังนี้
1.ปรับปรุงกลไกการอุดหนุนข้ามประเภท เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
2.ปรับสูตรการคำนวณต้นทุนก๊าซ LPG ให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง และให้ความสำคัญกับการใช้งานภาคครัวเรือนมากกว่าภาคอุตสาหกรรม
3.เพิ่มความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยแต่งตั้งตัวแทนผู้บริโภคในคณะกรรมการบริหารกองทุน
4.ลดการพึ่งพาการกู้ยืมเงินและปรับโครงสร้างทางการเงินให้ยั่งยืน
5.ปรับปรุงการดำเนินงานของกองทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายในแผนยุทธศาสตร์และแผนรองรับวิกฤตการณ์
นายอรรคณัฐ กล่าวว่า การปฏิรูปโครงสร้างกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เพียงเป็นเรื่องของตัวเลขทางการเงิน แต่ยังเป็น “เรื่องของความเป็นธรรมและสิทธิของผู้บริโภค” ที่ทุกฝ่ายควรร่วมกันผลักดัน เพื่อให้การบริหารจัดการพลังงานของประเทศมีความยั่งยืน โปร่งใส และตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการด้านบริการ สาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับปี 2562 เป็นกฎหมายที่จัดทำขึ้นใหม่ เพื่อรองรับการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่การจัดเก็บในอดีตถูกวินิจฉัยว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” โดยคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดิน
กฎหมายฉบับนี้มีเจตนารมณ์เพื่อให้กองทุนทำหน้าที่ “รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง” อย่างไรก็ตาม ในการตีความและการปฏิบัติจริง กลับพบว่าการดำเนินงานของกองทุนอาจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และมีแนวโน้มเป็นภาระต่อผู้บริโภคมากกว่าที่จะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เคยกำหนด “หลักเกณฑ์การลดการชดเชยน้ำมันชีวภาพ” ตามที่กฎหมายระบุไว้ ทำให้เงินกองทุนถูกนำไปใช้ชดเชยน้ำมันชีวภาพในอัตราสูงต่อเนื่อง ทั้งที่น้ำมันชีวภาพมีราคาสูงกว่าน้ำมันพื้นฐานประมาณ 30–40% ส่งผลให้กองทุนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากโดยไม่ได้ใช้เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตราคาน้ำมันตามที่ตั้งใจไว้
“กองทุนน้ำมันในปัจจุบัน กลายเป็นการชดเชยอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ ทำให้เงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล ถูกนำไปชดเชยน้ำมันชีวภาพและก๊าซหุงต้ม ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ มากกว่าช่วยลดภาระให้ประชาชน” น.ส.รสนา กล่าว
น.ส.รสนา กล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบพลังงาน ว่า ราคาน้ำมันในประเทศยังอิงกับ “ราคาเสมือนนำเข้าจากสิงคโปร์” แม้ประเทศไทยจะมีกำลังการกลั่นเพียงพอในประเทศ ทำให้ไม่สามารถกำหนดราคาน้ำมันแท้จริงได้ อีกทั้งก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ถูกปล่อยลอยตัวตามตลาดโลกตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งสร้างภาระให้ต้องนำเงินกองทุนมาชดเชยราคาภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ นายรุ่งชัย จันทสิงห์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ปัญหาหลักของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันเกิดจาก “โครงสร้างราคาพลังงานที่บิดเบือน” โดยเฉพาะการอุดหนุนราคาก๊าซ LPG และการกำหนดราคาน้ำมันที่อ้างอิงจากตลาดสิงคโปร์ ทั้งที่ประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศ ซึ่งหากยกเลิกการอ้างอิงราคานำเข้า น้ำมันในประเทศอาจลดลงถึงลิตรละ 1–1.50 บาท
การดำเนินงานของกองทุนในปัจจุบันกลายเป็นภาระต่อผู้บริโภคมากกว่าการช่วยเหลือ โดยเฉพาะในส่วนของ การชดเชย LPG และน้ำมันชีวภาพ ที่ส่งผลให้กองทุนติดลบเป็นวงกว้าง จึงเสนอว่า หากรัฐบาลสามารถปฏิรูปโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนจริง ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน และก๊าซ LPG ได้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะหมดความจำเป็น และสามารถยกเลิกได้ในที่สุด
นอกจากนี้ ในการแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการจัดการราคาก๊าซ LPG โดยให้ใช้ก๊าซจากอ่าวไทยสำหรับภาคครัวเรือนเป็นหลัก และกำหนดราคาที่โรงแยกก๊าซในประเทศให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน รวมถึง ทบทวนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและเงินส่งเข้ากองทุน ให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ใช้งานจริง โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันไม่ต้องจ่ายภาษีในส่วนนี้ เพื่อให้โครงสร้างราคาพลังงานของประเทศโปร่งใส เป็นธรรม และลดภาระของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา