‘ครม.เศรฐกิจ’ ไฟเขียวมาตรการ ‘Quick Big Win’ เพิ่มโอกาสการออม-ความมั่นคงทางการเงินของประชาชน เสนอ ‘ครม.’ เคาะ 9 ธ.ค.
............................................
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย มอบหมายนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือ ครม.เศรษฐกิจ โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการและรับทราบการดำเนินมาตรการ ‘Quick Big Win’ การเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน
โดยจะมีการนำเสนอมาตรการ ‘Quick Big Win’ การเพิ่มโอกาสการออมฯดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ และจะมีรายแถลงรายละเอียดภายหลังการประชุม ครม.
สำหรับมาตรการเพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชนดังกล่าว จะช่วยให้ประชาชนมีช่องทางในการออมที่หลากหลายและสะดวกมากขึ้น ประชาชนมีแรงจูงใจในการออม กระตุ้นให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางและมีรายได้น้อยมีการออมเพิ่มขึ้น มีภาวะทางการเงินที่ดี รายได้ที่เพียงพอในการดำรงชีพยามเกษียณอายุ และภาครัฐสามารถบรรเทาภาระงบประมาณด้านสวัสดิการกรณีชราภาพในการดูแลผู้ที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
ก่อนหน้านี้ นายเอกนิติ ระบุว่า นโยบาย Quick Big Win เสาที่ 5 เรื่อง มาตรการส่งเสริมการออม ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว โดยให้ผู้ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) และกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยาว (SSF) นำค่าใช้จ่ายในการซื้อกองทุนฯมาหักลดหย่อนภาษีฯรวมกันไม่เกิน 8 แสนบาท/ปี
ทั้งนี้ ผู้ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนฯที่จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีฯ ต้องเปิดบัญชีเพื่อการลงทุน หรือ Thailand individual Saving Account กับธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) 1 บัญชี และต้องถือครองหน่วยลงทุนไปจนกว่าจะอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และหากอายุเกิน 55 ปี จะต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยมาตรการนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569
ส่วนรายละเอียดของเงื่อนไขในการลดหย่อนภาษีฯนั้น กรณีเป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/ปี สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมฯ มาหักลดหย่อนภาษีบุคคธรรมได้ 1.3 เท่าของค่าใช้จ่ายซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่เกิน 8 แสนบาท/ปี และกรณีเป็นผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท/ปี สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมฯ มาหักลดหย่อนภาษีบุคคธรรมได้ 0.7 เท่าของค่าใช้จ่ายซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่เกิน 8 แสนบาท/ปี
นอกจากนี้ กรณีได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ย จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในอัตรา 10% สำหรับวงเงิน 2 แสนบาทแรก
นายสิริพงศ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ตัว ได้แก่ 1) ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาค 2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ 3) ดัชนีความเชื่อมั่น SMEs มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาค ปรับเพิ่มขึ้นจาก 65.9 ในเดือน ก.ย.2568 เป็น 71.1 ในเดือน ต.ค.2568
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มีการฟื้นตัวจาก 50.7 ในเดือน ก.ย.2568 มาอยู่ที่ 53.2 ในเดือน พ.ย.2568 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่น SMEs ปรับเพิ่มจาก 48.0 ในเดือน ก.ย.2568 เป็น 53.2 ในเดือน พ.ย.2568
นายสิริพงศ์ กล่าวด้วยว่า นายเอกนิติ กล่าวในที่ประชุมฯว่า นายกฯมีข้อสั่งการว่าได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา ประกาศข้อกำหนด และคำสั่งที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุภัยพิบัติได้คลี่คลายลง และเข้าสู่ช่วงการฟื้นฟูเมือง และนายกฯได้ให้นโยบายกระทรวงมหาดไทย เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การจ่ายเงินผู้เสียชีวิตรายละ 2 ล้านบาท ขยายให้ครอบคลุมผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมทั้งหมด 9 จังหวัดภาคใต้ด้วยแล้ว
อ่านประกอบ :
ชง‘ครม.เศรษฐกิจ’เคาะนำค่าใช้จ่ายซื้อกองทุน‘RMF-ThaiESG-SSF’ลดหย่อนภาษีฯไม่เกิน 8 แสน/ปี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา