
คณะรัฐมนตรี เห็นชอบ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... แก้ไขสาระสำคัญ 5 ประเด็น กำหนดให้สถาบันการเงิน-เครือข่ายมือถือ ร่วมรับผิดชอบ เพิ่มโทษสูงสุด ปรับกระทงละ 5 ล้าน จำคุกสุด 5 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 28 มกราคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับปี 2566 จำนวน 5 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 กำหนดความรับผิดชอบร่วมของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ กำหนดให้ผู้บริการมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้
ประเด็นที่ 2 กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องมีหน้าที่ระงับการใช้งานซิมการ์ดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที
ประเด็นที่ 3 เร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย เป็นการเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้าที่มีการเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้สามารถตรวจสอบและสามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้โดยเร็ว 6 เดือน หรือ ไม่เกิน 1 ปี หรือ คืนได้ทันที หากผู้เสียหายยืนยันบัญชีตรงกัน
“เดิมใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1-2 ปี เพราะต้องผ่านกระบวนการทางศาล แต่จากการแก้ไขพ.ร.ก.ฉบับนี้ ทำให้การคืนเงินรวดเร็วขึ้น”นายประเสริฐกล่าว
ประเด็นที่ 4 เป็นการเพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์มทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยกำหนดแพลตฟอร์มให้ต้องร่วมรับผิดชอบการทำธุรกรรมและการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น แพลตฟอร์มของบริษัทไหนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ถ้าไม่ดูแลระบบให้ดี จะต้องมีส่วนในความรับผิดชอบนั้นด้วย
ประเด็นที่ 5 การเพิ่มบทกำหนดโทษสำหรับการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ต้องมีบทลงโทษที่เหมาะสม โดยกำหนดบทลงโทษเป็นสองลักษณะ ลักษณะที่ 1 เปิดเผยแบบส่งต่อ และลักษณะที่ 2 เปิดเผยโดยการขายข้อมูล โทษหนักเบาต่างกัน ซึ่งโทษสูงสุด คือ ปรับสูงสุด 5 ล้านบาทต่อ 1 กระทง จำคุกสูงสุด 5 ปี
นายประเสริฐกล่าวว่า ภายหลังครม.เห็นชอบแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะตรวจร่างและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา