"...หากนับช่วงระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี ในคดีนี้ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลากว่าปีครึ่งแล้ว ที่คดียังไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาล เพื่อตัดสินว่า นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี มีความผิดตามที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลจริงหรือไม่ เนื่องจากเจ้าตัว ใช้ช่องทางการอุทธรณ์ - ขอความเป็นธรรม - เลื่อนการรายงานตัว ทุกช่องทาง ..."
ในการแถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 8 และ ภาค 9 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยข้อมูลคดีชี้มูลเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้หลายกรณี ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวไปแล้ว
หนึ่งในคดีชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐรายสำคัญ ที่ถูกจับตามองในการแถลงข่าวดังกล่าว คือ กรณี นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปัตตานี นำรถยนต์ส่วนกลาง ของ อบจ. ปัตตานี ไปใช้ส่วนตัวและเดินทางไปท่องเที่ยว ซึ่งมีการส่งสำนวนอัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลตามขั้นตอนกฎหมายไปแล้ว
อย่างไรก็ดี มีการเปิดเผยความคืบหน้าคดีในการแถลงข่าวครั้งนี้ ว่า ภายหลังจากที่ อสส. มีความเห็นสั่งฟ้อง และมีการออกหนังสือแจ้ง นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ให้ไปรายงานตัวเพื่อส่งฟ้องคดีต่อศาลมาแล้วถึง 7 ครั้ง
แต่นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ยังไม่ไปรายงานตัว
- ป.ป.ช.ภาค 9 แถลงชี้มูลจนท.รัฐ 5 จว.ใต้-นายกอบจ.ปัตตานี เลื่อนรายงานตัวสู้คดี 7 ครั้ง
- ฉบับเต็ม! มติ ป.ป.ช.ชี้มูลผอ.สพป.ตรัง เขต 2 อมรถหลวงนาน 3 ปี -โกงเบิกน้ำมัน 2 แสน
เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา ขอย้อนข้อมูลลำดับเหตุหารณ์เกี่ยวกับคดีนี้ มานำเสนออีกครั้ง
@ จุดเริ่มต้นคดี
ในช่วงเดือนธันวาคม 2566 ปรากฏข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี กรณีนำรถของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว และนำรถไปจอดไว้ในโรงจอดรถบัสของ บริษัท เซาท์สยามไอเอ็มที คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่ง นายเศรษฐ์ เป็นเจ้าของบริษัท และเป็นเจ้าของสถานที่ ทั้งยังได้จัดแรลลี่ท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือ เหตุเกิดเมื่อราวๆ ปี 2560 โดยไม่เกี่ยวกับงานราชการ
ต่อมา ในช่วงเดือนมีนาคม 2567 สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 6 แถลงผลการชี้มูลความผิดคดีนี้เป็นทางการ ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับเรื่องไต่สวนเมื่อ พ.ศ. 2565 และได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกานยน 2566 ชี้มูลความผิดนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ยังมีการให้ถอดถอนจากตำแหน่ง และให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วย
@ พฤติการณ์ในคดี
สำหรับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคดีนี้ คือ ในช่วงปีงบประมาณ 2560 นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี ได้มีการเขียนใบขออนุญาตใช้รถส่วนกลาง แบบ 3 ฉบับลงวันที่ 29 กันยายน 2560 และอนุมัติให้ใช้รถยนต์ส่วนกลาง หมายเลขทะเบียน กข 6969 ปัตตานี เพื่อใช้ในราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี มีคนนั่ง – คน (ไม่ได้ระบุคนนั่ง) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เวลา 08.30 น. ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 เวลา 16.30 น. มอบหมายให้นายประดิษฐ์ มามะ พนักงานขับรถยนต์ เป็นผู้ขับรถยนต์ ระบุหมายเหตุ “ขอนำรถยนต์หมายเลขทะเบียน กข 6969 ปัตตานี เก็บรักษาไว้ที่บ้านเลขที่ 352 หมู่ที่ 1 ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เนื่องจากไม่มีสถานที่เก็บรักษารถยนต์ที่ปลอดภัย” ซึ่งบ้านดังกล่าวเป็นบ้านของนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ทั้งที่ในความเป็นจริงองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี มีสถานที่ในการเก็บรักษารถที่มีความปลอดภัย
ต่อมาในระหว่างวันที่ 23 - 30 ธันวาคม 2560 นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ได้มีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยว pattani rally 2017 โดยเดินทางจากจังหวัดปัตตานี ไปยังจังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น ซึ่งคณะเดินทางประกอบไปด้วยนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี และเครือญาติของนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ประมาณ 20 คน ในการเดินทางดังกล่าว นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี เป็นผู้กำหนดแผนการเดินทางเองทั้งหมด มีการนำรถยนต์ส่วนกลางขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ไปจำนวน 2 คัน คือ คันหมายเลขทะเบียน กข 5500 ปัตตานี และ กข 6969 ปัตตานี ในการเดินทางไปท่องเที่ยวดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับงานราชการแต่อย่างใด เป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวในเรื่องส่วนตัว โดยนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เป็นผู้อนุญาตให้ขับและให้ใช้รถดังกล่าว ในการเดินทางไปท่องเที่ยวปี 2560
ปกติไม่มีเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานีใช้รถทั้ง 2 คันดังกล่าว เนื่องจากรถทั้ง 2 คันดังกล่าวเป็นรถที่ใช้สำหรับนายกฯ และรองนายกฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ เสมือนดังเช่นรถประจำตำแหน่ง เจ้าหน้าที่จึงไม่กล้าที่จะขอใช้รถดังกล่าว กล่าวคือ นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี จะใช้รถคันหมายเลขทะเบียน กข 6969 ปัตตานี ได้มีการใช้มาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2555 จนถึงปี พ.ศ. 2564 โดยนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ได้ใช้รถดังกล่าว ในการเดินทางมาทำงานทุกวัน รวมถึงในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ
โดยรถคันดังกล่าวได้มีการจอดในช่วงเวลากลางคืน ที่บ้านพักส่วนตัวของนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ณ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ไม่ได้จอดที่โรงจอดรถขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี โดยนายประดิษฐ์ มามะ จะมาเป็นคนขับรถรับส่งนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ทุกวัน
ดังนั้น จากพฤติการณ์ดังกล่าวของนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ได้ทำบันทึกขอใช้รถและบันทึกขออนุญาตใช้รถส่วนกลางขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยเป็นการขอใช้ระยะเวลายาว 1 ปีงบประมาณ เป็นการใช้เสมือนรถประจำตำแหน่ง ไม่ได้ระบุรายละเอียดในการขอใช้สมบูรณ์ตามแบบที่กำหนด ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้และรักษารถยนต์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 11
อีกทั้งนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ยังมีพฤติการณ์การใช้รถส่วนกลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ในการเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม 2560 โดยมิได้เกี่ยวข้องกับงานราชการ และเป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวในเรื่องส่วนตัว โดยมีการอนุมัติ อนุญาตให้ใช้รถส่วนกลาง ตลอดจนอนุมัติให้มีการเบิกจ่ายเงินค่าน้ำมันอันเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามที่มีการกล่าวหาร้องเรียน
@ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 126/2566 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นว่าการกระทำของนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น
และฐานเป็น เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 79
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งสำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ กับนายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 ต่อไป ทั้งนี้ ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทราบด้วย
ต่อมา สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือเมื่อเดือนมกราคม 2567 แจ้งกระทรวงมหาดไทย เพื่อถอดถอน (ภายใน 30 วัน) โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยอีก และให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมส่งสำนวนและเอกสารถึงอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจ
นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ กกต. ทราบ
@ เศรษฐ์ อัลยุฟรี สู้ยื่นขอความเป็นธรรม
ขณะที่ นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี ยื่นขอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยตรงและขอให้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยยื่นทบทวนมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมจำนวน 2 ครั้ง ในปี 2567 ซึ่งกรณีนี้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น มีความเห็นว่ากรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ขอให้ทบทวนมติมิใช่พยานหลักฐานใหม่และอยู่ระหว่างพิจารณาของกระทรวงมหาดไทย และได้ทำความเห็นเสนอปลัดกระทรวงมหาดไทยว่าผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดปี พ.ศ. 2560 – 2561 ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง คสช. ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งระหว่าง วันที่ 14 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 จึงได้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่นายก อบจ. ปัตตานี ในวาระที่กระทำความผิดไปแล้วเกิน 2 ปี
ดังนั้น จึงไม่สามารถขอให้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยถอดถอนบุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งนายก อบจ.ปัตตานี ได้
ด้าน สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 ได้เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประชุมทบทวนมติครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 67 มีมติไม่ทบทวนมติเดิม ที่ชี้มูลความผิดเนื่องจากหนังสือขอความเป็นธรรมและขอทบทวนมติของผู้ถูกกล่าวหามิใช่หนังสือของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนและไม่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใหม่
ครั้งที่ 2 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประชุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 68 เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนและอัยการสูงสุดมีคำสั่งรับดำเนินคดีเรื่องดังกล่าวแล้ว ประกอบกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยมีมติไม่ทบทวนฯ จึงได้มีมติไม่ทบทวนมติเดิม
ทั้งนี้ ได้มีหนังสือแจ้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อทราบและดำเนินการส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว
@ อัยการเรียกรายงาน ขอเลื่อนไม่ไป 7 ครั้ง
ต่อมา สำนักงานคดีปราบปรามทุจริตภาค 9 แจ้งสำนักงาน ป.ป.ช. ให้ส่งตัวผู้ถูกกล่าวหาไปพบอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตฯ ภาค 9 ในวันที่ 29 ส.ค. 67 แต่ผู้ถูกกล่าวหาขอเลื่อน ผู้ถูกกล่าวหามอบอำนาจยื่นคำร้องต่ออัยการขอเลื่อนการฟ้องคดีออกไป
อัยการเห็นว่ามีเหตุอันสมควร จึงอนุญาตให้เลื่อน 3 ครั้ง
16 ธันวาคม 2567 อัยการกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ไปรายงานตัว และมอบอำนาจเพื่อขอเลื่อนฟ้องคดีเป็นครั้งที่ 4
22 มกราคม 2568 ผู้ถูกกล่าวหามอบอำนาจผู้รับมอบอำนาจให้เลื่อนฟ้องคดีเป็นครั้งที่ 5
อัยการจึงได้มีหนังสือแจ้งผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวต่ออัยการเพื่อฟ้องต่อศาลในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวต่ออัยการ แต่ไม่ไปศาลโดยอ้างว่าอยู่ในระหว่างขอความเป็นธรรม/ขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนมติ
อัยการจึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวอีกครั้งวันที่ 11 มีนาคม 2568 (รวม 7 ครั้ง) ล่าสุดทราบว่ายังไม่ไปรายงานตัว
เบื้องต้น สำนักงาน ป.ป.ช. ระบุว่า จะได้ประสานงานและติดตามความคืบหน้าไปทางอัยการสูงสุดทั้งนี้หากอัยการส่งฟ้องและศาลที่มีเขตอำนาจประทับรับฟ้อง จะมีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ต่อไป
************
ทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลลำดับเหตุการณ์คดีนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา รวมรวบมาได้
จากข้อมูลข้างต้น หากนับช่วงระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี ในคดีนี้ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลากว่าปีครึ่งแล้ว ที่คดียังไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาล เพื่อตัดสินว่า นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี มีความผิดตามที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลจริงหรือไม่ เนื่องจากเจ้าตัว ใช้ช่องทางการอุทธรณ์ - ขอความเป็นธรรม - เลื่อนการรายงานตัว ทุกช่องทาง
ปัจจุบัน ยังไม่มีความชัดเจนว่า ฝ่ายอัยการ จะดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้ ภายหลังจากที่ นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ.ปัตตานี ขอเลื่อนไม่ไปรายงานตัวฟ้องคดีหลายครั้งแล้ว
อนึ่ง นอกจากคดีนี้แล้ว นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายก อบจ. ปัตตานี ยังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณี มีส่วนได้เสียในการดำเนินการโครงการเช่าเหมารถบัสปรับอากาศ 2 ชั้น อีก 1 คดี ด้วย
อย่างไรดี การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด