"...นายธนกร แก้วธรรม ได้เรียกให้นาง ส. ครูโรงเรียน ให้มาพบที่ห้องทำงานและมอบหมายให้นาง ส. รับเงินค่าเช่า จำนวน 450,000 บาท จากนางสาว ป. นาง ส. ครูโรงเรียน ได้ออกหนังสือรับมอบเงินค่าต่อสัญญาเช่า จำนวน 450,000 บาท ไว้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินค่าเช่า แต่ไม่ได้ออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าให้กับนางสาว ป. โดยไม่ได้นำเงินค่าเช่า จำนวน 700,000 บาท เข้าเป็นรายได้ของโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ)..."
กรณี นายธนกร แก้วธรรม อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ) จังหวัดศรีสะเกษ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคดีกล่าวหา ทุจริตเงินค่าเช่าร้านค้าจำหน่ายสินค้าโรงเรียน จำนวน 700,000 บาท โดยไม่ออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่า และไม่นำเงินค่าเช่าดังกล่าวเข้าเป็นรายได้โรงเรียน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดคดีนี้เป็นทางการ พร้อมให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวน การไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยกับ นายธนกร แก้วธรรม ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป
นอกจากนี้ ยังให้แจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 82 วรรคสองด้วย
ข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน คือ รายละเอียดพฤติการณ์การกระทำความผิดของ นายธนกร แก้วธรรม ในคดีนี้
สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบยืนยันข้อมูลพบว่า จุดเริ่มต้นคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 โรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ) ได้ต่อสัญญาเช่าร้านค้าจำหน่ายสินค้าในโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ) ระหว่างนางสาว ป. (สงวนชื่อ-นามสกุล) ผู้เช่าร้านค้า กับโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ) โดยนายธนกร แก้วธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ) ในขณะนั้น เจ้าของสถานที่
สัญญาเช่ากำหนดให้ผู้เช่าร้านค้าต้องจ่ายเงินล่วงหน้าในวันทำสัญญา จำนวน 700,000 บาท
โดยในการชำระเงินค่าเช่าเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 นางสาว ป. และบุตรสาว ได้นำเงินสดจำนวนวน 250,000 บาท ไปชำระค่าเช่า และบริจาคเงินสนับสนุนโรงเรียน จำนวน 50,000 บาท ให้กับนายธนกร แก้วธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียน
นายธนกร แก้วธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่ได้ออกใบเสร็จใบเงินค่าเช่า จำนวน 250,000 บาท ให้กับนางสาวป. ผู้เช่าร้านค้า
จากนั้น ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 นางสาว ป. พร้อมด้วยนาย ส. ได้นำเงินสดจำนวน 450,000 บาท ไปจ่ายค่าเช่างวดที่ 2 ให้กับนายธนกร แก้วธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ) ที่ห้องผู้อำนวยการ
นายธนกร แก้วธรรม ได้เรียกให้นาง ส. ครูโรงเรียน ให้มาพบที่ห้องทำงานและมอบหมายให้นาง ส. รับเงินค่าเช่า จำนวน 450,000 บาท จากนางสาว ป.
นาง ส. ครูโรงเรียน ได้ออกหนังสือรับมอบเงินค่าต่อสัญญาเช่า จำนวน 450,000 บาท ไว้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินค่าเช่า
แต่ไม่ได้ออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าให้กับนางสาว ป. โดยไม่ได้นำเงินค่าเช่า จำนวน 700,000 บาท เข้าเป็นรายได้ของโรงเรียนอนุบาลขุนหาญ (สิ)
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นว่า การกระทำของนายธนกร แก้วธรรม ผู้ถูกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172
นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจและหน้าที่ราชการของตน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม หาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 84 วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง
********
ทั้งหมดนี้ เป็นรายละเอียดพฤติการณ์การกระทำความผิดของ นายธนกร แก้วธรรม ในคดีนี้ ที่ทำให้คณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญา วินัย และสั่งชดใช้ค่าเสียหาย ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบล่าสุด แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันเป็นทางการว่า นายธนกร แก้วธรรม นำเงิน 7 แสนบาท ไปทำอะไรต่อ
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกชี้มูลความผิดยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก
บทสรุปผลการต่อสู้คดีในชั้นศาล จะออกมาเป็นอย่างไร ติดตามดูกันต่อไป