"...ในทางกฎหมายและปฏิบัติแล้ว ไม่มีตำแหน่งนายกฯ ชั่วคราวอย่างเป็นทางการ แต่เป็นเพียงแนวคิดที่ว่าหากมีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ในอนาคต บุคคลนั้นอาจจะ ขอเวลาอยู่ในตำแหน่งเพียงชั่วคราว (เช่น 6 เดือน) เพื่อทำหน้าที่หลักคือการเตรียมการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): จุดเริ่มต้นจากคลิปเสียงระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานพฤฒสภากัมพูชา นำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม 'รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย' เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่
สำนักข่าวอิศรา พูดคุยกับ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ถึงภาพรวมสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ผลกระทบจากชุมนุม และทิศทางที่เป็นไปได้ในอนาคต
@ครม. ชุดใหม่-การแบ่งเก้าอี้ที่ไร้แรงบันดาลใจ
ดร.สติธร กล่าวถึง ครม.ชุดใหม่ ว่าโฉมหน้าของ ครม. ใหม่ นั้นเป็นเพียงการ แบ่งสรรตำแหน่ง ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น ไม่ได้มีความน่าตื่นเต้นหรือบ่งชี้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากปฏิกิริยาของสาธารณชน
@นายกฯไป แต่ม็อบยังไม่จบ
ดร.สติธร กล่าวว่า แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่ผู้ชุมนุมหลายส่วนยังไม่ต้องการยุติการเคลื่อนไหว เนื่องจาก น.ส.แพทองธาร ยังคงดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งดูแลหน่วยงานสำคัญอย่างกรมศิลปากรและโบราณสถาน (รวมถึงปราสาท)
สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นการขาดความสำนึกผิดและยังคงเป็นประเด็นที่แกนนำและผู้ชุมนุมบางส่วนต้องการขับไล่
อย่างไรก็ตาม ดร.สติธร เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ออกมาชุมนุมน่าจะพอใจในระดับหนึ่งกับการที่นายกฯ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว แม้ว่าบางส่วนจะยังคงใช้ประเด็นการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมเป็นข้อเรียกร้องต่อไป
ดร.สติธร ประเมินว่าการประท้วงครั้งล่าสุดมีผลในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ในแง่ของจำนวนผู้เข้าร่วมที่มาก และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
@'นายกฯ ชั่วคราว' แนวคิดเพื่อทางลงของวิกฤต
สำหรับประเด็น 'นายกฯ ชั่วคราว' ดร.สติธร อธิบายว่า ในทางกฎหมายและปฏิบัติแล้ว ไม่มีตำแหน่งนายกฯ ชั่วคราวอย่างเป็นทางการ แต่เป็นเพียงแนวคิดที่ว่าหากมีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ในอนาคต บุคคลนั้นอาจจะ ขอเวลาอยู่ในตำแหน่งเพียงชั่วคราว (เช่น 6 เดือน) เพื่อทำหน้าที่หลักคือการเตรียมการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
แนวคิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันลาออก หรือ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง ก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ที่มีข้อตกลงเรื่องวาระที่จำกัด เพื่อเป็นทางออกในการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
@คำวินิจฉัยศาลคือตัวกำหนด-ปลายทางคือเลือกตั้งใหม่
ดร.สติธร มองว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวกำหนดทิศทางมากกว่า ครม. หรือแม้แต่การประท้วงเอง คำสั่งดังกล่าวทำให้ ครม. ชุดใหม่สามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่มีนายกฯ ซึ่งเป็นการตอบสนองข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ประท้วงที่ไม่อยากให้นายกฯ อยู่ในอำนาจ
ดร.สติธร ระบุว่า การที่นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ยังส่งผลให้ข้อเรียกร้องเรื่อง ยุบสภา ชะลอตัวลงไปอีก เพราะผู้รักษาการนายกฯ ไม่มีอำนาจในการยุบสภา ต้องรอให้นายกฯ พ้นจากคดี ซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 เดือน
นอกจากนี้ การที่นายกฯ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ยังทำให้การ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสภาไม่มีประโยชน์ เพราะนายกฯ ติดคดีอยู่แล้ว
ดร.สติธร กล่าวสรุปว่าสถานการณ์นี้บ่งชี้ว่า ครม. ชุดปัจจุบันน่าจะอยู่ได้เพียงชั่วคราว และไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน สัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะอยู่ไม่นาน และจะมีการ ยุบสภา อย่างแน่นอน ไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปีหน้า เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง
@คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ-เกมที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์และซื้อเวลา
ดร.สติธร กล่าวถึงคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น เป็นประโยชน์ต่อทั้งนายกฯ และพรรครัฐบาล ในหลายมิติ
หนึ่ง: ช่วยลดความตึงเครียดของม็อบ
ผู้ประท้วงรู้สึกว่าข้อเรียกร้องของตนได้รับการตอบสนองอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกได้รับการเยียวยา
สอง: เป็นเหตุผลในการไม่ยุบสภา
สามารถอธิบายได้ว่ายังยุบสภาไม่ได้ เพราะนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
สาม: ลดแรงจูงใจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ฝ่ายค้านไม่มีแรงจูงใจที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ที่ติดคดีและไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
สี่: ให้ ครม. ทำงานต่อได้
ครม. สามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่ต้องมีนายกฯ ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถดำเนินงานต่อไปได้
ทั้งหมดนี้ โดยรวมแล้ว ดร.สติธร ชี้ว่าสถานการณ์นี้เป็นการ 'เซฟ' ทุกฝ่าย และทุกฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์ในมุมของตน ทำให้สามารถประคองสถานการณ์ทางการเมืองต่อไปได้