"...มาบัดนี้ เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นข้าราชการตุลาการแห่งความภาคภูมิใจสูงสุดของข้าพเจ้ากำลังจะถูกริดรอน ถูกบั่นทอน หรือถูกลงโทษด้วยเหตุที่ข้าพเจ้า อุทิศ ทุ่มเทเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ตุลาการอย่างเต็มความสามารถได้ย้อนกลับมาทำร้ายข้าพเจ้า จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าชี้แจ้งข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องความไม่เป็นธรรมใดๆที่ข้าพเจ้าและครอบครัวฯต้องเผชิญในภายหน้า..."
กลายเป็นประเด็น ‘ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์’ ในวงการศาลยุติธรรมมาเป็นเวลานานหลายเดือนในคดีนักธุรกิจตระกูลดังฟ้องร้องกันไปมาระหว่างพี่น้องทั้งคดีมรดก คดีอาญา คดีแย่งชิงหุ้นบริษัทมูลค่านับหมื่นล้านและเงินปันผลหลายพันล้านบาท ลุกลามบานปลายมีการร้องเรียนผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินคดี
จนกระทั่งคณะกรรมการตุลการ(ก.ต.)มีมติตั้งคณะกรรมการสอบวินับร้ายแรงและสั่งพักราชการอธิบดีผู้พิพากษาศาล ส่วนรองอธิบดีฯโดนแค่ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเท่านั้น
ทั้งนี้ ก่อนที่ ก.ต.จะมีมติให้สั่งพักราชการอธิบดีผู้พิพากษาศาลนั้น รองอธิบดีผูพิพากษาศาลรายดังกล่าวได้ทำหนังสือลงวันที่ 31 มกราคม 2568 ร้องขอความเป็นธรรมต่อ ก.ต.โดยอ้างว่า อธิบดีผู้พิพากษาศาลได้แจ้งให้ทราบว่า คู่ความในคดีเสนอเงินค่าตอบแทน 100 กิโลหรือ 100 ล้านบาท เกี่ยวกับการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่ออายัดเงินปันผลมูลค่านับพันล้านบาท แต่อดีตรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
โดย ล่าสุดในการประชุม ก.ต.เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา มีมติให้อธิบดีศาลรายดังกล่าวซึ่งเป็นเป็นผู้พิพากษาอาวุโสประจำศาลอุทธรณ์ไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสประจำสำนักงานศาลยุติธรรม
- ก.ต.ตั้งสอบวินัยร้ายแรงอธิบดี-รองฯ ผู้พิพากษาเอื้อปย.คู่ความศึกฟ้องร้องตระกูลนักธุรกิจดัง
- ก.ต.เห็นชอบพักราชการอธิบดีผู้พิพากษา กรณีเอื้อปย.คู่ความศึกฟ้องร้องตระกูลนักธุรกิจดัง
- อดีตรองอธิบดีศาลร้อง ก.ต.มีการเสนอเงิน 100 โล คดีตระกูลดัง-ส่ง กก.วินัยสอบต่อ
ต่อมาสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมของรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลรายดังกล่าวเห็นว่า เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งและมีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเสนอเงิน 100 โลหรือ 100 ล้านบาทในการพิจารณาคดี จึงนำมาสรุปเป็นสาระสำคัญและเรียบเรียงมานำเสนอ ดังนี้
ตามที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมพิจารณารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าพเจ้า นาย...และนาย....... เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีผู้พิพากษาศาล....และอธิบดีผู้พิพากษาศาล....... ตามลำดับ ดังความแจ้งอยู่แล้วนั้น
ข้าพเจ้าได้รับทราบมติดังกล่าวผ่านหนังสือแจ้งข่าวของสำนักคณะกรรมการตุลาการและข่าวหนังสือพิมพ์ ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้าก็คือ การอุทิศ ทุ่มเท เสียสละ ในการปฏิบัติหน้าที่ตุลาการของข้าพเจ้าตั้งแต่เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาจนถึงณ.เวลาปัจจุบันนี้
ข้าพเจ้ารู้สำนึกและตระหนักในภาระหน้าที่อันมีเกียรติยศและสำคัญยิ่งที่ต้องประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้แก่คู่ความ โดยไม่เลือกฝ่าย ไม่อนาทรต่อสิ่งใดๆที่ผ่านเข้ามาอันจะเป็นอุปสรรคที่จะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่คู่ความ ทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ยึดมั่นตามแบบอย่างของบรรพตุลาการที่เป็นเนื้อนาบุญค้ำชูสถาบันศาลยุติธรรมให้ดำรงคงอยู่เป็นที่เชือถือศรัทธาของประชาชนคนในชาติมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังมีบิดา คือนาย..... อดีตผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญยิ่งแก่ข้าพเจ้าที่มุ่งมั่นเข้ามาสอบเป็นผู้พิพากษา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือหล่อหลอมให้ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งข้าราชการตุลาการด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่สุด ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์สุจริตอย่างแท้จริง ยึดถือความยุติธรรมที่คู่ความพึงได้รับเป็นที่ตั้งในทุกคดีที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมาย ไม่เคยหวั่นเกรง หรือหวั่นไหวต่อสิ่งเร้าใจใดๆ ที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
สำนวนคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของข้าพเจ้าที่เป็นเครื่องยืนยันถึงคำกล่าวของข้าพเจ้าได้ชัดเจนที่สุดคือ คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งผลจากที่ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของสำนวนในคดีดังกล่าวข้าพเจ้าต้องพบกับความยุ่งยากในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่พักใหญ่ รวมถึงข้าพเจ้าถูกตั้งกรรมการสอบสวนอันเนื่องมาจากการนั่งพิจารณาพิพากษาคดีนี้ แต่ผลสอบในชั้นที่สุดสำนักงานศาลยุติธรรมมีคำสั่งยุติเรื่อง
สำหรับเรื่องที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการ มีมติว่าข้าพเจ้าและท่านอธิบดี.... มีมูลเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงครั้งนี้นั้น ข้าพเจ้าเคยมีหนังสือชี้แจงเพื่อสดับรับฟังข้อเท็จจริงไว้โดยละเอียดแล้ว เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 และข้าพเจ้าเข้าใจว่า เรื่องคงยุติไปเรียบร้อยแล้ว
ในชั้นนี้ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในส่วนที่น่าจะเป็นมูลเหตุฯที่มาของมติที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการ กรณีที่มีมติว่า ข้าพเจ้ามีมูลเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง คือเรื่องที่ข้าพเจ้ามีคำสั่งไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีคือคดีแพ่งหมายเลขดำที่ .... โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
(เนื้อหาส่วนนี้เป็นรายละเอียดและขั้นตอนในการพิจารณาคดี)
ผลจากการออกคำสั่งดังกล่าวก็เป็นมูลเหตุให้ฝ่ายจำเลยทั้งสี่ร้องเรียนข้าพเจ้าต่อท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลคนใหม่ซึ่งมารับตำแหน่งต่อจากท่านอธิบดี.....ว่า ข้าพเจ้ามีอคติ ไม่มีความเป็นกลาง เพราะหากเป็นทางฝ่ายจำเลยข้าพเจ้ามีคำสั่งให้นำหมาย หากไม่นำถือว่าทิ้งคำร้อง แต่กับทางฝ่ายโจทก์ให้แจ้งทางโทรศัพท์ กับขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาล.... เปลี่ยนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้กราบเรียนต่อท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาล....ท่านใหม่ว่า หากเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่เหมาะสมหรือไม่สมควรที่จะเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ก็สามารถเรียกคืนสำนวนได้ ข้าพเจ้าไม่ขัดข้อง
ท่านอธิบดีฯ สอบถามข้าพเจ้าหากเรียกคืนแล้วจะให้ท่านใดรับผิดชอบสำนวนคดีนี้ต่อไป ข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่านอธิบดีฯว่าขอให้เป็นดุลพินิจของท่านอธิบดีฯ เพราะที่ผ่านมาหากมีสำนวนคดีใดที่คู่ความร้องเรียนผู้พิพากษา ข้าพเจ้าก็จะได้รับมอบหมายจากท่านอธิบดีฯให้เข้าไปแก้ไขปัญหาเกือบแทบทุกเรื่อง
หากเรื่องใดท่านผู้พิพากษาไม่สามารถทำสำนวนคดีได้ต่อไปจริง ๆ หรือ ต้องการปกป้องท่านผู้พิพากษาเอาไว้ ท่านผู้พิพากษาก็จะทำบันทึกขอคืนสำนวนแล้วท่านอธิบดีมักจะ มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแลทำสำนวนต่อไปเป็นประจำ และส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปได้ไม่มีปัญหา มีสำนวนคดีที่เหลืออยู่ก็เฉพาะสำนวนของตระกูลนี้ ก็ขอให้เป็นดุลพินิจของท่านอธิบดีฯ
แต่ถ้าจะให้ข้าพเจ้ารับผิดชอบทำสำนวนคดีต่อไปข้าพเจ้าก็ไม่ขัดข้องและพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาไม่เข้าข้างหนึ่งข้างใด เพราะเมื่อยึดหลักถึงความถูกต้องและความเป็นธรรมข้าพเจ้าก็ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ๆ จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากศาลฎีกาว่า มีการร้องเรียนคดีนี้และมีการสดับฟังข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยว่าคดีนี้มีการร้องเรียนเรื่องอะไรกันเพราะยังไม่มีการสืบพยานกันเลยสักนัด คงมีเพียงแค่การไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวและคำสั่งอื่น ๆ ที่มีการยื่นเข้ามาในภายหลังนั้น
เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าพเจ้ามีคำสั่งไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 เมื่อถึงวันนัดคู่ความทุกฝ่ายมาศาลพร้อม ศาลสอบฝ่ายโจทก์แล้วไม่ขัดข้องที่จะให้ฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าไต่สวนได้ทันทีในวันดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกถ้อยคำแทนคำเบิกความ ประกอบคำเบิกความเพิ่มเติมโดยทนายโจทก์ทั้งสองได้ถามค้านพยานในวันเดียวกัน หลังจากไต่สวนเสร็จแล้ว ข้าฯ นัดฟังคำสั่งวันที่ 11 สิงหาคม 2565
ก่อนวันฟังคำสั่ง 1 วัน คือวันที่ 10 สิงหาคม 2565 เวลา ประมาณ 15 นาฬิกา ท่านอธิบดี....เดินเข้าที่ห้องทำงานฯของข้าพเจ้าพร้อมพูดเปรยทำนองว่า ...พรุ่งนี้มีอ่านคำสั่งฯมิใช่หรือ ...
ข้าพเจ้าตอบไปว่า ...ครับท่านอาจารย์ ปรึกษาองค์คณะเซ็นชื่อแล้ว คงต้องยกคำร้อง เพราะก่อนนี้น้องๆ เขายกคำร้องกันมาแล้วหลายครั้ง ไม่มีเหตุให้ต้องเพิกถอน ผมกำลังจะไปปรึกษาท่านอาจารย์อยู่พอดีครับ ...
จากนั้นท่านอธิบดี....พูดว่า...เดี๋ยวเซ็นปรึกษาฯตอนนี้เลยก็ได้ ...
ข้าพเจ้าจึงนำสำนวนมาให้ท่านอธิบดีลงชื่อปรึกษาแล้ว แต่ในขณะที่ท่านอธิบดีลงนามปรึกษาฯเสร็จแล้วได้พูดบอกข้าพเจ้าว่า...ถ้าเพิกถอนให้เขาได้ เขาให้ร้อยนึง ...
ข้าพเจ้าพูดตอบไปว่า ร้อยอะไรครับท่านอาจารย์..
.ท่านอธีบดี....พูดว่า ร้อยโล ...
ข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า ร้อยล้าน
ท่านอธิบดีทำเสียงพูดอีอ..และพยักหน้าว่าใช่
ข้าพเจ้าพูดบอกว่า ไม่ไหวครับท่านอาจารย์ ผมไม่กล้า ...
ท่านอธิบดีพูดต่ออีกว่า...ถ้าไม่ไว้ใจ เดี๋ยวเขาให้พี่ (ท่านอธิบดีฯพูดแทนตัวเองว่าพี่) มาเก็บไว้ก่อนก็ได้...
ข้าพเจ้าพูดย้ำขึ้นอีกว่า ไม่ไหวครับท่านอาจารย์... จากนั้นท่านอธิบดีก็เดินออกไปจากห้องทำงานฯข้าพเจ้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว แม้ข้าพเจ้าทราบดีว่าท่านอธิบดี…กระทำความผิดอาญาอย่างร้ายแรง ฝ่าฝืนจริยธรรมข้าราชการตุลาการ โดยเฉพาะในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตุลาการ ข้าพเจ้าก็ไม่คิดที่จะดำเนินการใดๆให้เกิดผลในทางลบแก่ท่านอธิบดี....
โดยข้าพเจ้าคิดว่าในเมื่อข้าพเจ้ามิได้เปลี่ยนแปลงแนวคำสั่งตามที่มีการร้องขอมา เรื่องไม่น่ามีผลกระทบใดๆต่อข้าพเจ้าและองค์คณะฯ
ข้าพเจ้าจึงเก็บเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันดังกล่าวไว้เพียงในความทรงจำของข้าพเจ้าเท่านั้น ไม่เคยแพร่งพรายพูดบอกต่อให้ใครฟัง
มาบัดนี้ เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นข้าราชการตุลาการแห่งความภาคภูมิใจสูงสุดของข้าพเจ้ากำลังจะถูกริดรอน ถูกบั่นทอน หรือถูกลงโทษด้วยเหตุที่ข้าพเจ้า อุทิศ ทุ่มเทเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ตุลาการอย่างเต็มความสามารถได้ย้อนกลับมาทำร้ายข้าพเจ้า จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าชี้แจ้งข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องความไม่เป็นธรรมใดๆที่ข้าพเจ้าและครอบครัวฯต้องเผชิญในภายหน้า
อนึ่ง หากมีกรณีที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม มีวาระต้องพิจารณาคำสั่งพักราชการข้าพเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าใคร่ขอโอกาสเข้าชี้แจงด้วยวาจาต่อที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก่อนพิจารณาลงมติอันสำคัญต่อชีวิตในการรับราชการ ตลอดถึงครอบครัวของข้าพเจ้าด้วย จักเป็นพระคุณอย่างสูง
จึงขอประทานกราบเรียนมาด้วยความเคารพยิ่ง และโปรดพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป
***********
ทั้งหมด คือ รายละเอีดยในหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมของรองอธิบดีผู้พิพากษาศาล ที่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการเสนอเงิน 100 โลหรือ 100 ล้านบาท ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคดีพิพาทนักธุรกิจตระกูลดัง ที่กำลังถูกจับตามองจากสังคมในขณะนี้