"...ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่าไม่มีข้อความตอนใดที่ตนเอง เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ..."
กรณี ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ในคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
หลังภายประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปนั้น

ในตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ยื่นคำชี้แจงคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด พร้อมขอให้ศาลฯ ออกคำสั่งยกเลิกการให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ด้วย
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ยื่นรายชื่อพยานมา 5 ปาก ประกอบด้วย 1. นายฉัตรชัย บางชวด ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 2. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย 3. พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา 4. พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตำแหน่งรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร และ 5. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะกำหนดนัดไต่สวน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาให้ปากคำในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เพียงแค่ 2 ปากเท่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ได้สิทธิโต้แย้งเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งมีชื่อ นายฉัตรชัย บางชวด รวมอยู่ด้วย

- เบื้องหลัง! เรียก'แพทองธาร-เลขา สมช.'ไต่สวนคดี‘ฮุนเซน’ให้สิทธิโต้แย้ง-ก่อนชี้ชะตา29 ส.ค.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' ยันไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมคดีฮุนเซน ยื่นพยาน 5 ปาก ได้แค่ เลขาฯ สมช.
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า ในการยื่นคำชี้แจงคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้อง ยังได้ระบุข้อเท็จจริงสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเด็น
อาทิ การใช้ถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น เป็นใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ความตั้งใจเดียวของตนเองตลอดบทสนทนา เป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ

@ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
ปรากฏรายละเอียดคำชี้แจงทั้งหมด นับจากบรรทัดต่อไปนี้
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้อง ยืนยันว่า การเจรจากับนายฮุนเซน เป็นความพยายามในการสร้างความไว้วางใจเพื่อนำไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย -กัมพูชาเท่านั้น
สำหรับถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" มีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation)
โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น
น.ส.แพทองธาร ยังย้ำว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อสมเด็จฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง ตนก็เสนอกลับไปว่าให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว นอกจากนี้ ตนเองก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน
เนื่องจากข้อเสนอใด ๆ จากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ตนเองจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
น.ส.แพทองธาร ยังระบุด้วยว่า ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น
ดังที่ได้ชี้แจงว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุนเซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) เป็นการเฉพาะเจาะจง
ตนเองจึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด
แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
น.ส.แพทองธาร ยังระบุอีกว่า อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ตนเองก็ได้มีการชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) แล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ยืนยันต่อสาธารณชนว่าไม่ติดใจคลิปเสียงของตนเอง และไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพแต่อย่างใด

@ พลโท บุญสิน พาดกลาง
น.ส.แพทองธาร ยังระบุด้วยว่า ทั้งนี้ การที่ตนเองกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ในบทสนทนาเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของไทย ณ ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในวันที่ 4 มิถนายน 2568 ตนเองจึงจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง ซึ่งสมเด็จฮุน เซน รู้สึกว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชาในขณะนั้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่อาจนำไปสู่การเปิดเจรจาในระดับทางการต่อไปโดยไม่ใช้มาตรการทางทหาร และทางเศรษฐกิจ อันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ
ความตั้งใจเดียวของข้าพเจ้าตลอดบทสนทนาจึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน
ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่าไม่มีข้อความตอนใดที่ตนเอง เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
รายละเอียดความไม่พอใจของทางฝั่งกัมพูชาปรากฏอยู่ในบทสนทนาที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวถึงนาทีที่ 3.45 - 5.01 เป็นภาษากัมพูชา
ทั้งนี้ พฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าวอยู่ในกรอบแห่งแนวนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล หาใช่การดำเนินการในเชิงลับหรือมีเจตนาบ่อนทำลายผลประโยชน์ของรัฐไม่ และเป็นไปตามแนวทางการหารือในช่วงบ่าย วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ระหว่างตนเอง กับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงียมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช)
นอกจากนี้ ผู้ร่วมสนทนา คือ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพัมพันธ์ระหว่างรัฐได้
อีกทั้งในระหว่างที่มีการสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน นั้น ไทยและกัมพูชายังถือว่ามีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่ใกล้ชิดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน และในฐานะประเทศในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)
ถึงแม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกันตามแนวเขตชายแดนบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มีการปะทะด้วยกำลังกันอย่างรุนแรง และยังไม่มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต
*********************
ทั้งหมดนี้ คือ ข้อมูลคำชี้แจงสำคัญอีกส่วนหนึ่ง ของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลล่าสุด
หากมีข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก สำนักข่าวอิศรา จะมานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา