
“…ปัจจุบันสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและฝังรากลึกอย่างยาวนาน มีทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย ทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ การขัดกันระหว่างประโยชน์ผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตในชีวิตประจำวัน เช่น การจ่ายเงินสินบนเพื่ออำนวยความสะดวก การหลีกเลี่ยงจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการทุจริตในระดับท้องถิ่นซึ่งมีค่อนข้างมาก…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเห็นชอบสองในสาม หรือ 6 คะแนนจากจำนวนกรรมการสรรหาฯทั้งหมด ให้เสนอชื่อนายสุชาติ สุนทรีเกษม อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา (ตำแหน่งขณะสมัคร) เป็นบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. แทน พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตประธานกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ นายมนูภาน ยศธแสนย์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา (ตำแหน่งขณะสมัคร) แทน นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งจะพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระ
อ่านข่าวประกอบ : สรรหา ป.ป.ช.ใหม่ แทน 'วัชรพล-สุวณา' ลงคะแนน 2 รอบ ได้ชื่อ 'สุชาติ-มนูภาน'
ปัจจุบันกระบวนการสรรหาอยู่ในขั้นตอนของวุฒิสภา โดยจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 2 ราย ในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 7 ต.ค.68 นี้
ต่อไปนี้เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ในรอบการแสดงความคิดเห็น-การสัมภาษณ์ของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 2 ราย โดยเริ่มที่ รายนายสุชาติ สุนทรีเกษม และรายนายมนูภาน ยศธแสนย์ ตามลำดับดังนี้

@ ทุจริตคอร์รัปชันฝังรากลึก
สุชาติ สุนทรีเกษม : คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบเจ้าพนักงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำทุจริตต่อหน้าที่ ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ รวมทั้งจัดให้มีมาตรการและกลไกที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม สามารถป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในภาครัฐและภาคเอกชนได้
“ปัจจุบันสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและฝังรากลึกอย่างยาวนาน มีทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย ทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ การขัดกันระหว่างประโยชน์ผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตในชีวิตประจำวัน เช่น การจ่ายเงินสินบนเพื่ออำนวยความสะดวก การหลีกเลี่ยงจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการทุจริตในระดับท้องถิ่นซึ่งมีค่อนข้างมาก”
องค์กรเพื่อความโปร่งใส นานาชาติ (Transparency International : TI) ได้เผยแพร่ดัชนีการรับรู้ทุจริตคอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index : CPI) ปรากฏว่าประเทศไทยมีคะแนนและลำดับไม่น่าพอใจนัก ในปีล่าสุด 2567 ประเทศไทยได้คะแนนเพียง 34 คะแนนจาก 100 คะแนนอยู่ในอันดับที่ 5 ของอาเซียน และอันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนับเป็นคะแนนที่ตำสุดในรอบหลายปี บ่งบอกว่าสถานการณ์การทุจริตประพฤติมิชอบของประเทศไทยยังไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับได้ในระดับสากล
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งที่ต้องรับผิดชอบแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ เริ่มตั้งแต่การกำหนดมาตรการป้องกันการทุจริต เร่งสะสางคดีค้างเก่า บริหารจัดการคดีที่รับใหม่ ปรับปรุงกระบวนการทำงานและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการคดีทุกขั้นตอน ทุกระดับชั้น เร่งพัฒนาเพิ่มศักยภาพบุคลากรในองค์กร ส่งเสริมสนับสนุนสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะได้รับการคุ้มครอง มีความปลอดภัย สอดคล้องกับการขับเคลื่อนองค์กรตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือ การยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและสร้างสังคมที่ยืดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต หากกระผมได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผมมีความคิดเห็นและกรอบแนวทางในการดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
@ สร้างค่านิยมไม่ยอมรับการทุจริตทุกรูปแบบ
ด้านการป้องกันการทุจริต การป้องกันการทุจริตเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุจะต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยการรณรงค์สร้างจิตสำนึก ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความชื่อสัตย์สุจริต ปลูกฝังความคิดของเยาวชนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคดิจิทัล ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ตระหนักรู้ถึงพิษภัยของการทุจริต สร้างค่านิยมที่ไม่ยอมรับการทุจริตในทุกรูปแบบ มีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการป้องกันและสกัดยับยั้งไม่ให้การทุจริตแพร่ขยายตั้งแต่ต้น ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. การชี้มูลความผิดคดีทุจริตที่สำคัญ บทลงโทษตามคำสั่งของหน่วยงานต้นสังกัด รวมถึงผลคำพิพากษาของศาล เพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ตระหนักรู้ เกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าจะกระทำความผิด ทั้งเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษทางวินัยและทางอาญาตามกฎหมาย
ให้ความสำคัญกระบวนการประเมินคุณธรรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assesment : ITA) เนื่องจากผลการประเมินในปีที่ผ่านมาไม่สะท้อนความเป็นจริง ค้านต่อสายตาประชาชน มีค่าคะแนน ITA เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ดัชนีการรับรู้การทุจริต CPI กลับมีคะแนนลดต่ำลง ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนและของโลกอยู่มาก ไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำเป็นที่จะต้องทบทวนปรับปรุงแก้ไขการประเมินค่าคะแนน ITA ให้ตรงกับความเป็นจริง มีความน่าเชื่อถือ สอดคล้องตรงกับสถานการณ์การทุจริตของประเทศไทย และนำมาวิเคราะห์ในเชิงลึกถึงสภาพปัญหาอย่างละเอียดรอบด้าน ครอบคลุมทุกปัญหา เพื่อนำไปใช้กำหนดทิศทางและแนวทางในการป้องกันการทุจริตอย่างตรงจุด
ด้านการปราบปรามการทุจริต พัฒนาระบบงานด้านการตรวจรับ การตรวจสอบ การไต่สวน การทำคำสั่ง คำวินิจฉัย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรจะต้องดำเนินการเองเฉพาะในเรื่องที่เป็นความผิดร้ายแรง มีความสำคัญหรือมีผลกระทบต่อส่วนรวม กระจายอำนาจ ส่งเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง เรื่องที่มีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานชัดเจนแล้ว ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จังหวัดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค หรือมอบหมายให้หน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ตามกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการแทน
@ จัดตั้ง ‘คณะไต่สวนพิเศษ’ รับผิดชอบ ‘คดีดัง’
โดยปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย หลักเกณฑ์ในการดำเนินการให้มีความชัดเจนและมีขอบเขตที่กว้างขึ้น เพื่อลดปริมาณคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยตรง
รวมทั้งจัดตั้งคณะไต่สวนพิเศษที่มีความรู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รับผิดชอบคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนหรือคดีที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน เป็นคดีชุด หรือ คดีที่มีความเสียหายร้ายแรงกระทบต่อการบริหารประเทศ
ปรับปรุงระบบการรับเรื่องคำกล่าวหา ร้องเรียนและ/หรือการแจ้งเบาะแสให้สะดวกเข้าถึงง่าย ครอบคลมช่องทางออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม โดยมีระบบการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสได้รับการคุ้มครองและเก็บรักษาไว้เป็นความลับ ให้การช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสหรือพยานที่ให้ข้อมูลและ/หรือเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตในทุก ๆ ด้าน
@ ปฏิรูป ป.ป.ช. ใช้ Big Data – AI ตรวจสอบทรัพย์สิน
นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการคัดกรอง เพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนการทำงาน การให้บริการประชาชน รวมทั้งการวิเคราะห์จัดทำคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้มีมาตรฐานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยการใช้ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data และปัญญาประดิษฐ์ AI บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม คัดแยกจำแนกประเภทคดีง่ายเป็นคดีจัดการพิเศษ และคดีที่ยุ่งยากซับซ้อนเป็นคดีพิเศษ แล้วใช้วิธีบริหารจัดการในคดีแต่ละประเภทอย่างเหมาะสมลักษณะเช่นเดียวกับการบริหารจัดการคดีของศาลยุติธรรม ในระบบการพิจารณาคดีครบองค์คณะและต่อเนื่อง ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาคดีคั่งค้างในศาลยุติธรรมได้ผลอย่างดีเยี่ยมมาแล้ว
ด้านการตรวจสอบทรัพย์สิน ปฏิรูปสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เป็นสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ นำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data และปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อลดขั้นตอนในการตรวจวิเคราะห์ของบุคลากร โดยให้ผู้ยื่นบัญชีทรัพย์สินกรอกข้อมูลผ่านโปรแกรม บันทึกการตรวจสอบและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในทุกขั้นตอนผ่านระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินที่มีลักษณะเป็นการปกปิดหรือจงใจไม่ยื่น ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินและหนี้สินที่มีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าเป็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินโดยมิชอบ หรือ ร่ำรวยผิดปกติได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และนำมาตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
@ ตั้งหน่วยยึด-อายัดทรัพย์สิน บังคับคดีโดยตรง
จัดตั้งหน่วยงานที่มีความรู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทำหน้าที่ยึด อายัด ติดตามทรัพย์สินและบังคับคดีโดยตรง บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบทรัพย์สินอย่างครอบคลุม เช่น สถาบันการเงิน กรมที่ดิน สำนักงานพาณิชย์ ทะเบียนพาณิชย์ บริษัทรับซื้อขาย แลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล เพื่อให้การบังคับคดีมีประสิทธิภาพรวดเร็ว เป็นไปตามคำวินิจฉัยคำสั่ง คำพิพากษา สามารถจัดการนำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้นมาเป็นของแผ่นดินได้โดยเร็ว
ท้ายสุดนี้ การดำเนินการดังกล่าวข้างต้นจะสามารถแก้ไขปัญหาความล่าช้าและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารสำนวนคดี การไต่สวน และการทำคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินที่ยังขาดประสิทธิภาพและค้างการดำเนินการอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถช่วยลดปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบลงได้
“สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ การสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้แก่ประชาชน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องเป็นองค์กรคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ สามารถบริหารจัดการคดีแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ภายในกรอบเวลาตามกฎหมาย กระบวนการพิจารณาคดีและมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงในสำนวนและบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ด้วยเหตุและผลที่สามารถอธิบายและเข้าใจได้ เป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของประชาชนทุกฝ่าย การทุจริตประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะต้องทุเลาเบาบางลงจนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล ในระดับที่ดีเยี่ยมทั้งของอาเซียนและนานาประเทศทั่วโลก”

@ ไม่อยู่ใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง
มนูภาน ยศธแสนย์ : สำหรับองค์กร ป.ป.ช. นี้เริ่มก่อตั้ง ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2540 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ต่อมามีการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นมีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเรื่อยมา จนกระทั่งถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันปี 2560 ที่มีการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และปี 2561 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญฉบับล่าสุดในปัจจุบัน บทบาทหน้าที่หรืออำนาจที่สำคัญที่กฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่สำคัญ 3 - 4 ประการ คือ
ประการที่ 1 การไต่สวนและทำความเห็น กรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ ใช้อำนาจโดยมิชอบ ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ประการที่ 2 ที่สำคัญคือ มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ หรือหน้าที่ในทางยุติธรรม
ประการที่ 3 ที่สำคัญคือ กำหนดให้บุคคลดังกล่าวเหล่านั้นยื่นหรือแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินของตนเองและคู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วยังมีอีก 4 - 5 ประการ คือ มีอำนาจตามที่กฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
จากกฎหมายที่กำหนดดังกล่าวทำให้มองเห็นถึงข้อเด่นข้อดีขององค์กร ป.ป.ช. คือ เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีอำนาจในการบริหารงานบุคคล บริหารงบประมาณของตนเอง ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง และไม่อยู่ภายใต้การครอบงำขององค์กรหรือหน่วยงานหรือบุคคลใด
@ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยเทคโนโลยี
ข้อเด่นประการที่ 2 คือ การที่มีอำนาจหน้าที่ชัดเจนตามที่กฎหมายกำหนด กรอบอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน
ข้อเด่นประการที่ 3 การดำเนินงานที่มีส่วนที่เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ คือ บัญชีทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือองค์กรต่าง ๆ ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและต้องตรวจจสอบ และแสดงต่อสาธารณชนให้ทราบด้วย เพื่อให้ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมช่วยกันตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินถึงความผิดปกติที่ยื่นมา
“ส่วนข้อจำกัดหรือความท้าทายของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในปัจจุบันมีอยู่ คือ การที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีมาผนวกใช้กับการบริหารราชการซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามาก เราสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมโยงข้อมูลพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนคดีความ และเชื่อมโยงกับองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคการเงิน ภาคการธนาคาร ร้านค้าอัญมณี ร้านค้าทองคำเหล่านี้ ถ้าสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ มีระบบแจ้งเตือนการเคลื่อนไหวการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ จะทำให้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสำนักงานคณะกะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความท้าทายประการที่ 2 การทำสำนวนไต่สวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ในกรอบกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดซึ่งประมาณ 2 ปี กฎหมายกำหนดไว้หรือขยายได้อีก 1 ปี ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้เสร็จสิ้นหรือเสร็จตามกฎหมายที่กำหนด เพราะว่าสำนักงานคณะกะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับสำนวนคดีมาทำมากเกินไป ควรจะกระจายบางเรื่องไปให้องค์กรอื่นทำ เช่น เรื่องการสอบสวน ลงโทษทางวินัย หรือกระจายงานไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ
@ ใช้ดุลพินิจอนุมัติ-อนุญาต เกิดช่องทางทุจริต
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเมื่อก่อนเคยใช้วิธีการแก้ไข ซึ่งผิดหลักนิติธรรม คือ คดีใดที่ไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดจะขาดอายุความอยู่แล้ว ใช้วิธีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องนี้ประสบการณ์ที่ผมเจอจากการที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งผมมองว่าวิธีการนี้ไม่น่าจะชอบธรรม น่าจะขัดกับหลักนิติธรรรม เพราะข้อเท็จจริงที่นำมาแจ้งข้อหาใหม่เป็นข้อเท็จจริงพยานหลักฐานในชุดเดิมที่ไต่สวนมาตั้งแต่ต้น แต่กลับมาแจ้งข้อหาเพิ่มเพื่อให้อายุความยืดออกไปอีก อันนี้น่าจะไม่ชอบธรรมและน่าจะขัดต่อหลักนิติธรรม แต่ปัจจุบันมีการแก้ไขในทิศทางที่ดีขึ้นเพราะว่ามีการแก้ไขกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาทำงานที่ชัดเจนว่า จะต้องทำให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าไรและต้องมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ ทุกขั้นตอนในการทำสำนวนให้แล้วเสร็จ”
ความท้าทายประการที่ 3 ปัจจุบันนี้ ค่าหรือดัชนีการรับรู้เรื่องการทุจริตหรือเรียกว่า “CPI” ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาบางทีทรงตัวและลดต่ำลง และมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อย ๆ เท่าที่ดูข้อมูลล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ได้ประมาณ 36 คะแนน อยู่อันดับที่ 104 แต่ปีนี้คะแนนลดต่ำลง เหลือ 34 คะแนน ตกไปอยู่อันดับที่ 107 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก เหมือนกับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการที่ชาวต่างชาติหรือนักธุรกิจต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจากที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับภาคธุรกิจ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ เขามีความกังวลเรื่องนี้ค่อนข้างมาก
นอกเหนือจากกังวลในเรื่องอื่นแล้วเรื่องการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ การยื่นคำขอ การอนุญาตเพื่ออนุมัติ การลงทุน ขออนุญาตต่างๆ เขากังวลเรื่องนี้ค่อนข้างมีปัญหามาก ในความเห็นผมคิดว่าควรต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในเรื่องนี้ค่อนข้างมากที่สุด โดยเฉพาะให้ยื่นคำขอคำอนุมัติต่าง ๆ ผ่านระบบ online ทั้งหมด ‘ไม่ให้ผู้ขอกับผู้ที่ต้องใช้ดุลพินิจในการอนุญาตมาพบกัน เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดช่องทางในการทุจริต’ ซึ่งเรื่องนี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไม่สามารถทำเองได้ ที่ทำให้ค่า CPI สูงขึ้น ต้องร่วมมือกับหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคการเมือง ภาครัฐบาล ภาคหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคสื่อสารมวลชน ให้ทุกคนต้องมาเห็นปัญหานี่อย่างจริงจังว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องส่งผลกระทบต่อประเทศชาติค่อนข้างมาก และนับวันจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติคงจะต้องทำในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเท่าที่ทำได้
@ ชี้แจง ปม ร้องเรียน-ยืนยันจ่ายตามลำดับอาวุโส
กรณีมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับท่านในประเด็นเกี่ยวกับขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่กรณีรับผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง มีการจำหน่ายคดีให้ผู้พิพากษาที่ตนสนิทเพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปในแนวทางที่ต้องการขอชี้แจงดังนี้ :
สมัยผมรับราชการเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง การจ่ายสำนวน ถ้าคดีสำคัญผมจะจ่ายไปตามลำดับอาวุโส ไม่ได้เจาะจงว่าจะให้ใครทำคดีอะไรเป็นกรณีพิเศษ คำนึงถึงความรู้ความสามารถของผู้พิพากษาแต่ละท่าน ไม่ใช่จ่ายแล้วเพื่อหวังผลคดี เพราะว่าอำนาจของผู้พิพากษาในศาล อธิบดีผู้พิพากษาจะไปก้าวล่วง ไปชักจูง อย่างนั้นทำไมได้ จะมีความผิด ผู้พิพากษาจะเป็นอิสระในตัวของเขาเอง บางเรื่องผมออกนโยบายอะไรไปเขายังไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปล็อกจ่ายสำนวนคดีเพื่อหวังผลให้เกิดการตัดสินไปตามที่ต้องการ เพราะจ่ายแล้วแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรเลย เว้นแต่เจ้าของสำนวนเขาจะมาปรึกษาถึงปัญหาข้อขัดข้องต่าง ๆ
ต้องกราบเรียนจริง ๆ ว่าขณะที่ผมเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีการร้องเรียนผู้พิพากษาในศาลมาก และเฉพาะผู้พิพากษาในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถูกฟ้องเกินกว่าครึ่ง ตั้งแต่รองอธิบดีลงไปถูกฟ้องหมด และจากการตรวจสอบคดีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2559 ที่มีการก่อตั้งศาลอาญาคดีทุจริตฯ มาเป็นที่น่าตกใจมาก ผู้พิพากษาทั้งประเทศถูกฟ้องทั้งหมด 300 คดี ทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ถูกฟ้องหมด อย่าว่าแต่ผู้พิพากษา แม้แต่ท่านประธานศาลฎีกาย้อนไป 7 ท่าน ในอดีตก็ถูกฟ้องหมด เป็นเรื่องที่อาจเกิดจากความไม่เข้าใจ เป็นเรื่องที่จินตนาการ หรือ คิดเอาเองว่าศาลตัดสินไม่เป็นไปตามที่เขาประสงค์ และเขาคิดว่าเรามีผลประโยชน์ มีธง ซึ่งไม่ใช่
สุดท้ายถูกฟ้องกันมาก เฉพาะศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ผมอยู่ ผู้พิพากษาถูกฟ้องเกินครึ่ง ผมเพิ่งทราบ แต่สมัยนั้นผมไม่ได้ถูกฟ้อง แต่หลังจากย้ายมา ทราบข่าวว่ามีการฟ้องผมเหมือนกัน แต่ว่าเป็นการฟ้องที่ผิดตัว เพราะว่าช่วงระยะเวลาที่เขาฟ้องเป็นช่วงที่ผมย้ายอกจากศาลนั้นแล้ว การกระทำที่เขากล่าวหาว่าผมกระทำความผิด ผมได้ย้ายออกมา 6 - 7 เดือนแล้ว เพราะฉะนั้นเขาเข้าใจว่าผมยังดำรงตำแหน่งอยู่อันนี้เป็นที่มา
ต้องกราบเรียนข้อมูลเชิงลึกในศาลจริง ๆ ว่ามีปัญหาอย่างนี้มาโดยตลอด บางคดีผู้พิพากษาถูกร้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก จนบางที่ท้อแท้ไม่อยากทำสำนวน ซึ่งผมต้องให้หลักประกันกับเขาว่าให้ปฏิบัติหน้าที่ ทุกครั้งที่มีคำสั่งคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการจะมีการร้องเรียนฟ้องคดีตามมาตลอด แต่ผมยืนยันว่าจ่ายสำนวนไปตามความรู้ความสามารถของผู้พิพากษาลักษณะความซับซ้อนของคดี ไม่ใช่จ่ายตามผู้พิพากษาที่เราต้องการ เพราะเราไปก้าวล่วงและแทรกแซงส่วนนั้นไม่ได้ ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ทำตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ คือ ถ้าทำความเห็นแย้ง แต่ที่ผ่านมาผมไม่เคยก้าวล่วงผู้พิพากษาหรือไปแทรกแซงหรือทำความเห็นแย้ง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา