
ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติ เห็นชอบ 328 ต่อ 266 เสียง ตั้ง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ-กมธ.รับฟังความคิดเห็นฯ คณะละ 35 คน จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ใช้สูตร สส.-สว. 20 คน รวมกลุ่ม เลือกได้ 1 คน หรือ สูตร 20 หยิบ 1 - 'เพื่อไทย' ชี้ ข้อบกพร่อง-เสี่ยงเผชิญหน้า 'ปชน.' ยืนยัน ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ-ปชช.เป็นผู้ร่างรธน.โดยตรง 'นันทนา' ซัด 93 ปี ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือ แก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว โดยเป็นการพิจารณาเรียงลำดับไปตามมาตราจนจบร่าง ตามข้อบังคับที่ 127 ตั้งแต่มาตราแรก และลงมติทั้งร่างในวาระที่สอง ระหว่างวันที่ 10-11 ธ.ค.68 สาระสำคัญอยู่ที่ตั้งแต่มาตรา 4 ให้เพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาตรา 256/1 ถึงมาตรา 256/39
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า โดยเฉพาะมาตรา 256/1 ที่ กมธ.เสียงข้างมากได้แก้ไขเปลี่ยนจากร่างรัฐธรรมนูญฯ ของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งเป็นร่างหลักที่ผ่านการลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง โดยให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย 1. กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ 2. กมธ.รับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ คณะละ 35 คน ซึ่งรัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกจากการสมัครรับการคัดเลือก ภายใต้หลักเกณฑ์ ดังนี้
ผู้ใดประสงค์รับสมัครให้ยื่นใบสมัครและรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 100 คน ที่ให้การสนับสนุนตนเป็นผู้สมัคร ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยวันรับสมัครต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ภายในหกสิบวัน ทั้งนี้ ให้กกต. ส่งบัญชีรายชื่อไปยังประธานรัฐสภาภายใน 30 วันนับแต่วันสิ้นสุดการรับสมัคร
เมื่อประธานรัฐสภาได้รับบัญชีรายชื่อผู้สมัครแล้ว ให้รัฐสภาคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ภายใต้หลักเกณฑ์ให้จำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (สส.500 คน สว. 200 คน รวม 700 คน) หารด้วย 35 ผลลัพธ์ที่ได้ (20 คน) ให้ถือเป็นจำนวน สส. หรือ สว. หรือ สมาชิกทั้งสองสภารวมกัน ที่ต้องเข้ารวมกันเป็นกลุ่มเพื่อเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็นกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ กลุ่มละ 20 คน เสนอชื่อได้ 1 คน หรือ ‘สูตร 20 หยิบ 1’
ทั้งนี้ ห้ามไม่ให้ กมธ.ทั้งสองคณะ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 2 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง
รายงานข่าวระบุว่า ภายหลังสมาชิกรัฐสภาและกมธ.ฯ เสียงข้างน้อย สัดส่วนของพรรคการเมือง และสมาชิกวุฒิสภา ที่ขอสงวนความเห็นและผู้แปรญญัติที่ขอสงวนคำแปรญัตติ ที่ไม่เห็นด้วยกับกมธ.ฯ เสียงข้างมากใช้เวลาอภิปรายกันอย่างกว้างขวางกว่า 4 ชั่วโมง ครบแล้ว ที่ประชุมลงมติเห็นด้วยให้มีการแก้ไข มาตรา 256/1 ด้วยคะแนน 454 ไม่เห็นด้วย 147 งดออกเสียง 10 ไม่ลงคะแนน 4 จำนวนผู้ลงมติ 615 คน เป็นอันว่า ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นด้วยกับการให้มีการแก้ไข
จากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก จำนวน 328 เสียง ไม่เห็นด้วย 266 งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 3 จำนวนผู้ลงมติ 618 คน เป็นอันว่า ที่ประชุมรัฐสภา มีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของกมธ.เสียงข้างมาก
ต่อมาที่ประชุมรัฐสภา มีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256/5 ด้วยคะแนนเห็นด้วย 490 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 4 เสียง จำนวนผู้ลงมติ 504 คน และมีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของกมธ.เสียงข้างมาก หรือ สูตร 20 หยิบ 1 ด้วยคะแนน 405 ไม่เห็นด้วย 91 งดออกเสียง 10 ไม่ลงคะแนนเสียง 2 จำนวนผู้ลงมติ 506 คน
ทั้งนี้ การประชุม กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก ต้องจัดขึ้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ประธานสภารัฐสภา ประกาศรายชื่อบุคคลที่ได้รับคัดเลือกฯในราชกิจจานุเบกษา และมีอำนาจหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน นับแต่วันที่กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญประชุมครั้งแรก ขณะที่ กมธ.รับฟังความคิดเห็นฯ ประชุมครั้งแรกภายใน 15 วัน
@ 'ชูศักดิ์' ชี้ '20หยิบ1' บกพร่อง
ก่อนการลงมตินายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะ กมธ. ผู้สงวนความเห็นอภิปรายมาตรา 256/1 ว่า รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญใหม่จะเป็นปัญหา จึงขอเสนอ 3 องค์กรที่จะมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 151 คน โดยมาจากการเลือกของประชาชน 300 คนทั่วประเทศ และให้รัฐสภาเลือก 100 คน อย่างน้อยต้องมี สสร.จังหวัดละ 1 คน เชื่อว่าไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ว่า ‘รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง’ อีก 51 คน มาจากองค์กร เช่น สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรเอกชน องค์กรท้องถิ่น โดยรวมตัวกันและเสนอรัฐสภาแต่งตั้ง
“กมธ.เสียงข้างมากเสนอ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กมธ.รับฟังความคิดเห็นฯ คณะละ 35 คน คัดเลือกโดยรัฐสภาอย่างเดียว หรือ สูตร 20 หยิบ 1 เราเห็นว่า อาจจะมีข้อบกพร่อง ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่ใครคุมเสียงรัฐสภาข้างมากได้ ก็จะคัดเลือกกมธ.ได้ตามที่ตนเองต้องการ กมธ.35 คน อาจจะเป็น กมธ.ของเสียงข้างมาก จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะยกร่างนั้นบิดเบี้ยว”นายชูศักดิ์กล่าว
นายชูศักดิ์กล่าวว่า กมธ.35 คน ควรจะใช้สูตรใหม่ คือ ให้มี กมธ.ที่รัฐสภาเลือก 25 คน และให้มีการเสนอแต่งตั้งโดยผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม 10 คน เช่น ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ กฎหมายมหาชน ซึ่งมาจากแต่งตั้งรัฐสภา เพื่อถ่วงดุลกมธ.ให้มีที่มาหลากหลายมากขึ้น ขณะที่ กมธ.รับฟังฯ เช่นเดียวกัน ผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คนให้มาจากการเสนอโดยคณบดี เช่น คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ หรือ องค์กรเอกชนด้านสื่อสารมวลชน
“ทั้ง 3 องค์กรยึดโยงประชาชน ไม่ตัดการเลือกโดยประชาชน จะทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญหลากหลายขึ้น มีความเป็นกลาง ไม่ยึดโยงกับเสียงข้างมาก ไม่ยึดโยงกับพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือ พรรคเสียงข้างมากเป็นการเฉพาะ ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาจากประชาชนโดยตรงอย่างแท้จริง”นายชูศักดิ์กล่าว
@ ไม่มี 'สสร.' เสี่ยง เผชิญหน้า 'ปชช.'
นายจาตุรน ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พท. อภิปรายว่า ทำไมต้องมี สสร. และการไม่มี สสร. จะเป็นผลเสียอย่างไร เป็นประเด็นใหญ่ ไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่เฉพาะการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่เป็นประเด็นใหญ่ทางการเมืองตลอดมาหลายสิบปี ผู้ที่ต้องการผลักดันการแก้ไข ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญขนานใหญ่ ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา เช่น ปี 2539 นำไปสู่รัฐธรรมนูญปี 40
“การมี สสร.คั่นกลาง จะทำให้ผู้คนที่มาจากหลากหลาย เชื่อมโยงประชาชน ไม่มีข้อครหาว่า ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่ออำนาจของสมาชิกรัฐสภา เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเมือง และจะทำให้โอกาสในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับของประชาชนได้มากกว่า”นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์กล่าวว่า การมีเฉพาะกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ โดยไม่มี สสร. เป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญมาแล้ว กลับมายังรัฐสภา อาจจะมีการเผชิญหน้าได้ทั้งสองทาง ทางหนึ่ง เผชิญหน้ากับรัฐสภา อีกทางหนึ่ง คือ เผชิญหน้ากับประชาชน ประชาชนรู้สึกว่ามีส่วนร่วมน้อย กมธ.ร่างเอง ตัดสินเอง เป็นจุดอ่อน
“คำวินิจของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้หมายความว่า จะให้ประชาชนร่วมเลือก ร่วมแสดงความเห็น ร่วมพิจารณาคัดเลือก หรือ ร่วมเลือกตั้งมา ถ้าสุดท้ายรัฐสภาคัดกรองอีกชั้น การตัดสินสุดท้ายอยู่ที่รัฐสภา”นายจาตุรนต์กล่าว
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กมธ.ฯ อภิปรายว่า องค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมและตรวจสอบ ต้องมีที่มาจากสมาชิกหรือกมธ.ที่มีความเป็นอิสระ เป็นกลางทางกลางทางการเมือง ไม่ถูกครอบงำ ชี้นำ โดยกลุ่ม หรือ สีใดทั้งสิ้น
“กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และกมธ.รับฟังความเห็นฯ ถ้าเป็นไปตามร่างของกมธ.เสียงข้างมาก มีโอกาสและสุ่มเสี่ยงมากที่จะถูกครอบงำ ชี้นำ จากบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือ สีใดสีหนึ่ง ในรัฐสภาชุดต่อไปที่มาจากการเลือกตั้งในครั้งหน้า ผู้ที่ครองเสียงข้างมากได้สามารถที่จะชี้นำ ครอบงำ คนที่จะมาเป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญได้”นพ.ชลน่านกล่าวและว่า
“ที่สำคัญ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญของกมธ.เสียงข้างมาก ทำหน้าที่สองอย่างในคราวเดียวกัน หนึ่ง ยกร่างฯ สอง พิจารณาร่างฯ ให้ความเห็นชอบร่างฯ ก่อนเสนอรัฐสภาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เบ็ดเสร็จ (กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ) 35 กำหนดประเทศได้ ถ้า 35 คน ที่เป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกครอบงำ ชี้นำ มาตั้งแต่กระบวนการรับสมัคร ซึ่งเสมือนไปเอื้อให้กลุ่มคนนี้จัดตั้งมาตั้งแต่แรก 35 คน ใส่ชื่อมาได้ทันที และมีผู้สนับสนุนอีก 100 คน บุคคลทั่วไปยากมากที่จะไปหาผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 100 คน มาสนับสนุนตัวเองให้สมัครกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ที่มีสมาชิกพรรคอยู่แล้ว ง่ายมาก”นพ.ชลน่านกล่าว
@ 'ปชน.' ยัน ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรธน.
ด้านนายพริษฐ์ กมธ.ขอสงวนความเห็นและไม่เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมาก อภิปรายว่า มาตรา 256/1 เป็นหัวใจของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะเป็นการกำหนดโครงสร้างขององค์กรหรือกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งยืนยันว่า ข้อเสนอของพรรคประชาชน โดยการให้ประชาชนมาเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญเบื้องต้นก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเลือกและให้ประชาชนเลือกสมาชิกที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
นายสหัสวัต คุ้มคง กมธ.สัดส่วน ปชน. อภิปรายว่า กมธ.ยกร่างฯของพรรคประชาชน 35 คน โดยประชาชนเลือก 70 คน และให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน และการมีสภาที่ปรึกษา 100 คน โดยมาจากการเลือกตั้งของประชนชนโดยตรง ไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
“วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ ขอเรียกร้องต่อสมาชิกรัฐสภาทุกคน ให้ตัดสินใจเรื่องนี้บนฐานแห่งความกล้า กล้าที่จะยืนยันหลักการการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของประชาชน และยืนยันว่า ต้องมีคูหาเลือกตั้ง ประชาชนต้องได้ออกสิทธิออกเสียงในการเลือกผู้ร่างไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ยืนยันว่า ประชาชนต้องมีตัวแทนของตัวเอง เพื่อเปิดช่องให้ประชาชนได้ส่งเสียงว่าอยากได้รัฐธรรมนูญแบบใด อยากเห็นรัฐธรรมนูญหน้าตาเป็นอย่างไร ส่งตัวแทนเข้ามาให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญมากที่สุด ไม่ต้องกลัวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนออกแบบมาอย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และสอดคล้องกับหลักการอย่างเต็มที่”นายสหัสวัตกล่าว
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กมธ.ฯ อภิปรายว่า ไม่เห็นด้วยเรื่องจำนวน กมธ.ยกร่างฯ จากเดิม 35 คน เปลี่ยนเป็น 70 คน หรือ 10 คน หยิบ 1 คน เพื่อให้โอกาสพรรคประชาชาติมีส่วนในการเลือกผู้ร่างฯ หาคนที่เก่งที่สุดให้มาลดความเหลื่อมล้ำประชาชน ลดการกดทับ ทำให้คนในพื้นที่ดีขึ้น มาเป็นผู้ร่างฯ
@ 'นันทนา' ซัด 93 ปี รธน.ไม่ได้มาจากประชาชน
น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. อภิปรายว่า พวกเราอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ history moment ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ คือ การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ประชาชนฝากความหวังไว้ว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญที่เขียนด้วยมือประชาชนเอง ในวันอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ วันรัฐธรรมนูญ
“แต่แล้วประชาชนคงรู้สึกผิดหวังกับมติกมธ.เสียงข้างมาก ที่ให้ตัดคูหาที่ให้ประชาชนเลือก สสร. หรือ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญด้วยตนเองออก แต่ให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกผู้ร่างจากการสมัครกันเอง ถือว่า ขัดหลักการของร่างหลักของนายพริษฐ์ จึงถือเป็นการบิดเบือนเจตจำนงของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”น.ส.นันทนากล่าว
น.ส.นันทนากล่าว่า 93 ปีของประชาธิปไตยไทย มีรัฐธรรมนูญมา 20 ฉบับ ประชาชนไม่เคยได้มีโอกาสร่างรัฐธรรมนูญด้วยประชาชนเอง รัฐธรรมนูญที่ใกล้เคียงกับฉบับประชาชนมากที่สุด คือ ฉบับปี 2540 แต่ก็ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนโดยตรง
“ที่ผ่านมาเรามีนิติกรฝีมือดี ที่ร่างรัฐธรรมนูญได้ซับซ้อน ซ่อนอำนาจของประชาชนได้อย่างแนบเนียน จนไม่เหลืออำนาจใดๆ ไว้เลย ดังเช่นรัฐธรรมนูญที่ใช้กันอยู่นี้ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่อัปลักษณ์มากเกินกว่าที่จะพูดถึงได้หมด ยกตัวอย่างเช่น สว.ที่มาจากการเลือกกันเอง ฮั้วกันเข้ามาเอง ประชาชนไม่ได้เลือกเลย แต่มีอำนาจมหาศาลในการเห็นชอบองค์กรอิสระ ควบคุมการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยเสียง 1 ใน 3 ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชนเลย”น.ส.นันทนากล่าวและว่า
“ส่วนอำนาจของประชาชนกลับถูกโยนทิ้ง ไม่อาจลงชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ได้เลย ตรงกันข้ามกับอำนาจองค์กรอิสระที่มีอำนาจกว้างขวาง ใหญ่โตมหาศาล ผูกพันทุกองค์กร สามารถถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้รายปี ยุบพรรคการเมืองได้รายเดือน เป็นตัวอย่างของการร่างรัฐธรรมนูญโดยเนติบริกร แถมยังคุยโม้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่ตลอดเวลาที่ใช้มา ดัชนีคอร์รัปชั่นของไทยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บทบัญญัติเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมืองไม่ได้ควบคุมการทุจริตแต่อย่างใด กลับเป็นเครื่องมือในการทำลายนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น”น.ส.นันทนากล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา