
ราชกิจจานุเบกษาแพร่ระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2568-จะไม่พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายเรื่องที่ผลการพิจารณาจะไม่สามารถแก้ไขผลที่เกิดขึ้น-เรื่องไม่เกิดประโยชน์ที่จะพิจารณา-เรื่องที่เป็นเรื่องนโยบายโดยแท้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา แพร่ระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2568
โดยที่ระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ใช้มาเป็นระยะเวลานาน สมควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและสภาพการณ์ในปัจจุบัน และเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้ถูกกระทบโดยไม่จําเป็นและเกินสมควร จึงสมควรปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าด้วยการรับปรึกษา ให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2568”
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522
ข้อ 4 ในระเบียบนี้ “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ข้อ 5 กรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่บุคคล ดังต่อไปนี้
(1) คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี
(2) กระทรวง ทบวง กรม
(3) รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ
(4) คณะกรรมการซึ่งมีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะเรื่อง โดยผ่านทางกระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการนั้น ๆ
(5) ผู้ว่าราชการจังหวัด เฉพาะปัญหาตามกฎหมายที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ หรือรับผิดชอบ
(6) คณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือประธานสภาท้องถิ่น เฉพาะปัญหา ตามกฎหมายที่คณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือประธานสภาท้องถิ่นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหรือรับผิดชอบ
(7) ผู้ซึ่งคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ขอความเห็นทางกฎหมาย เป็นการเฉพาะราย
หนังสือหารือตาม (1) ต้องลงนามโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีอื่นต้องลงนามโดยผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้น
ข้อ 6 เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปตามขั้นตอนของการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่องที่กรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย จะต้องเป็นเรื่องที่ได้มีการปรึกษาหารือ ระหว่างส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายแล้ว เว้นแต่จะเป็นกรณีเร่งด่วน และมีความจําเป็นตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีจะได้มีมติหรือคําสั่ง
ข้อ 7 ในกรณีที่การขอความเห็นทางกฎหมายมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบนี้ ถ้าเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือจําเป็น จะสั่งรับไว้เพื่อพิจารณาก่อน แล้วแจ้งให้ส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบหรือรักษาการตามกฎหมายทราบก็ได้
แต่ถ้าเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเห็นว่ากรณีไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรือจําเป็น ก็ให้ส่งเรื่องคืน ไปยังส่วนราชการที่ขอความเห็นมาเพื่อพิจารณาดําเนินการตามระเบียบต่อไป
ข้อ 8 ในกรณีที่เคยมีคําวินิจฉัยของกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นเดียวกันหรือในประเด็น ที่อยู่ในลักษณะเดียวกันมาก่อนแล้ว เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจะตอบโดยส่งคําวินิจฉัยที่เคยมีมาแล้วไปให้โดยไม่ต้องดําเนินการให้มีการพิจารณาวินิจฉัยใหม่ก็ได้
ในกรณีที่เป็นปัญหากฎหมายที่ไม่ซับซ้อนหรือเป็นเรื่องเร่งด่วนซึ่งจะต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในเวลาที่กําหนด เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ในสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดําเนินการให้เสร็จสิ้นตามอํานาจหน้าที่ของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้
ข้อ 9 ในการพิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมาย กรรมการกฤษฎีกา หรือสํานักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาอาจพิจารณาเชิญบุคคลดังต่อไปนี้ ชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงหรือให้ความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา
(1) ผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจเจ้าของเรื่อง
(2) ผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พิจารณา ตามที่กรรมการกฤษฎีกาหรือสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นสมควร
ในการพิจารณาของกรรมการกฤษฎีกา ถ้าเรื่องที่พิจารณาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิของเอกชน และกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าการฟังความคิดเห็นของเอกชนจะเป็นประโยชน์ จะขอให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนของสถาบันฝ่ายเอกชน หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่กรรมการกฤษฎีกาเห็นสมควร เข้าร่วมชี้แจงให้ข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยก็ได้
ข้อ 10 ในกรณีที่ผู้แทนที่กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐส่งมาชี้แจง หรือให้ความคิดเห็นตามข้อ 4 ไม่มีผู้ซึ่งทราบข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาของปัญหากฎหมายที่กําลังพิจารณา เพียงพอที่จะให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่กําลังพิจารณาได้ เมื่อสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นสมควร หรือเมื่อได้รับคําร้องขอจากกรรมการกฤษฎีกา ก็ให้แจ้งให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐนั้นส่งผู้แทนมาใหม่หรือส่งผู้แทนมาเพิ่มเติมก็ได้
ข้อ 11 กรรมการกฤษฎีกาจะไม่พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(1) เรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล
(2) เรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของสถาบันอื่นอยู่แล้วตามกฎหมายและกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าสมควรให้มีการดําเนินการตามกฎหมายนั้นก่อนเพื่อประโยชน์แก่การบริหารราชการแผ่นดิน
(3) เรื่องซึ่งหากให้ความเห็นแล้วจะมีผลกระทบกระเทือนในทางการเมือง หรือทางการต่างประเทศ
(4) เรื่องที่ผลการพิจารณาจะไม่สามารถแก้ไขผลที่เกิดขึ้น หรือไม่เกิดประโยชน์ที่จะพิจารณา หรือเรื่องที่เป็นเรื่องนโยบายโดยแท้
ความในวรรคหนึ่ง ไม่ใช้บังคับแก่เรื่องที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมีมติหรือมีคําสั่งเป็นการภายในให้พิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน
ข้อ 12 เมื่อกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องใดเสร็จแล้ว ให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือผู้ที่ขอความเห็นมา ทราบโดยเร็ว และให้ส่งสําเนาให้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนําเรื่องนั้นเสนอต่อคณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือเพื่อมีมติหรือคําสั่ง แล้วแต่กรณี
ในการแจ้งความเห็นตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งไปด้วยว่าเรื่องดังกล่าวได้วินิจฉัยโดยกรรมการกฤษฎีกาคณะใด หรือวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่กรรมการกฤษฎีกา
กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือผู้ขอความเห็นอาจขอให้ทบทวนปัญหาที่กรรมการ กฤษฎีกาคณะใดคณะหนึ่งได้วินิจฉัยไปแล้วอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ในกรณีนี้ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของกรรมการกฤษฎีกาสองหรือสามคณะเป็นการประชุมพิเศษ หรือจัดให้มีการประชุมใหญ่กรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาปัญหานั้นได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ 13 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกามีอํานาจวางข้อกําหนดและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับ การเผยแพร่ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกาได้ตามความเหมาะสมเท่าที่ไม่เป็นการเปิดเผยความลับของทางราชการ และคํานึงถึงการกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล
ให้ไว้ ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
รองนายกรัฐมนตรี
ปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา