
“สาวงามจาก 3 บ้านใหญ่ ที่ก้าวขึ้นประชันโฉมบนเวที สส.เขต 4 ลำปาง มีที่มาของคะแนนเสียงซึ่งจะทำให้มีโอกาสเบียดกันเข้าสู่เส้นชัยในระดับ 3 หมื่นคะแนนด้วยกันทุกคน โดยจะเฉือนกันแค่ปลายจมูกเท่านั้น”
มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจทางการเมืองสนามใหญ่จาก จ.ลำปาง
หลังจากนางสาวรภัสสรณ์ นิยะโมสถ สส.เขต 4 ลำปาง พรรคประชาชน ประกาศยุติการร่วมงานกับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา โดยจะย้ายไปสังกัดบ้านใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2566 นางสาวรภัสสรณ์ เป็นผู้สมัครหน้าใหม่อายุน้อยหน้าตาดีลงการเมืองครั้งแรก ได้รับกระแสจากพรรคส้มเอาชนะผู้สมัครอาวุโส สส.หลายสมัยจากอีกหนึ่งบ้านใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่ครองพื้นที่มายาวนานแบบขาดลอยชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น การย้ายสังกัดในครั้งนี้ ทำให้พื้นที่เขต 4 ลำปาง ซึ่งอยู่ทางตอนล่างของจังหวัดประกอบด้วย อ.เกาะคา อ.เสริมงาม อ.สบปราบ อ.แม่พริก และ อ.เถิน ในขณะนี้มีผู้เตรียมตัวลงสมัครที่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่มีขุมกำลังใกล้เคียงกันมาก เป็นสาวงามจากบ้านใหญ่ถึง 3 บ้าน และยังมีอีก 1 หนุ่มหล่อที่เป็นผู้สมัครคนใหม่ของพรรคประชาชน
โดยสาวงามจาก 3 บ้านใหญ่ ล้วนมีรูปร่างหน้าตาสะสวยไม่แพ้กัน อีกทั้งสังกัดพรรคการเมืองดังที่มีสรรพกำลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ได้แก่ นางสาวเพ็ญภัค รัตนคำฟู อดีตนายกเทศมนตรี แห่งบ้านใหญ่เกาะคา จากพรรคกล้าธรรม นางสาวรภัสสรณ์ นิยะโมสถ แห่งบ้านใหญ่บ้านสวน จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งย้ายสังกัดมาจากพรรคประชาชนตามที่เป็นข่าว และนางภุมรา จันทรสุรินทร์ แห่งบ้านใหญ่ดอยเงิน จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งย้ายค่ายออกมาจากพรรคเพื่อไทย ถึงแม้ 3 สาวสวยจะมีดีกรีและประสบการณ์แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ฐานคะแนนหลักและวิธีการสร้างคะแนนนิยม รวมถึงการเข้าครอบครองหัวคะแนน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะทำให้ผลรวมคะแนนของแต่ละคนเบียดกันขึ้นมาอย่างสูสี มีโอกาสเป็นผู้ชนะด้วยกันทั้ง 3 คน แน่นอนว่าจะไม่ใช่เป็นการชนะกันแบบขาดลอยเหมือนกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
นอกจากนี้คาดว่าพรรคประชาชนจะส่งหนุ่มหล่อดีกรีเป็นคุณหมอจาก อ.เถิน เป็นผู้สมัครคนใหม่ ซึ่งจะเบียดแทรกขึ้นมาแบบหายใจลดต้นคออีก 1 คน โดยจะมีเส้น 3 หมื่นคะแนน เป็นตัวชี้วัดว่าใครจะอยู่เหนือหรือใต้เส้นคะแนนนี้ ผู้ที่สามารถใช้สรรพกำลังถีบตัวเองให้หนีเส้นนี้ขึ้นไปได้มากที่สุดในช่วงของการ “ปล่อยของ” โค้งสุดท้าย จะมีโอกาสเป็นผู้คว้าชัยชนะ จึงนับเป็นอีกหนึ่งเขตเลือกตั้งที่มีการแข่งขันกันอย่างจริงจังครบทุกค่ายสีสำคัญ ทั้งเขียว แดง น้ำเงิน และส้ม โดยจะไม่มีใครยอมใคร ทำให้น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
@พลิกปูม ‘นายกปุ้ย’ บ้านใหญ่เกาะคา พรรคกล้าธรรม
สาวสวยคนแรกที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากประชาชนส่วนหนึ่งกังขาต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองเข้าสังกัดคือ นางสาวเพ็ญภัค หรือเรียกกันว่านายกปุ้ย หรือ ดร.ปุ้ย จากบ้านใหญ่เกาะคา สังกัดพรรคกล้าธรรม อดีตนายกเทศมนตรีตำบลเกาะคา เป็นคน อ.เกาะคา ที่ตั้งของพระธาตุลำปางหลวง พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของ จ.ลำปาง เป็นบุตรสาวของครอบครัวคหบดีใน อ.เกาะคา ซึ่งตั้งรกรากประกอบธุรกิจอยู่ในพื้นที่นี้มายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ มีพี่น้องรวม 3 คน ทุกคนล้วนจบการศึกษาระดับปริญญาเอก ประกอบธุรกิจเจ้าของตลาดสด ปั้มน้ำมัน ปตท. และโรงแรมสไตล์ล้านนาขนาด 50 ห้อง ตั้งอยู่ที่ อ.เกาะคา ในทางการเมืองเริ่มเข้าสู่การเมืองท้องถิ่นตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี เป็นนายกเทศมนตรีตำบลเกาะคา 4 สมัย ติดต่อกันกว่า 20 ปี จบการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาเอก ทางด้านรัฐศาสตร์ ปริญญาโท 2 ใบ ทางด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนิด้า ปริญญาตรีทางด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์เก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอาจารย์พิเศษหลักสูตรการปกครองส่วนท้องถิ่น และการเมืองการปกครองไทย ของคณะรัฐศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในระหว่างเป็นนายกเทศมนตรีนำพาเทศบาลตำบลเกาะคาคว้ารางวัลสำคัญต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้รับรางวัลพระปกเกล้าทองคำหลายครั้ง และโดยส่วนตัวได้รับรางวัลนักวิชาชีพสตรีดีเด่นด้านการอนุรักษ์โลก จากสหพันธ์สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เมื่อปี 2566 นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลักดันให้โครงการสำคัญต่าง ๆ จำนวนมากเกิดขึ้นในเขตเทศบาลตำบลเกาะคา

นางสาวเพ็ญภัค รัตนคำฟู
นางสาวเพ็ญภัค ได้รับการติดต่อทาบทามจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ทุกครั้งที่จะมีการเลือกตั้ง สส.แต่ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด ซึ่งในครั้งนี้ก็เช่นกัน มี 3-4 พรรคการเมืองติดต่อให้ลงสมัคร แต่ได้ตัดสินใจลงสมัครในนามพรรคกล้าธรรม เนื่องจากมีผู้ใหญ่ระดับประเทศหลายคนติดต่อมา เช่น อดีตประธานองค์กรอิสระแห่งหนึ่ง และอดีตแกนนำ สว.ที่มียศพลเอก ทาบทามขอให้เข้าร่วมงานและลงสมัครกับพรรคการเมืองนี้ ซึ่งต่อมาผู้บริหารสูงสุดของพรรคนี้ที่เป็นคนเหนือด้วยกันและอยู่จังหวัดติดกันได้ติดต่อมาอู้คำเมืองด้วยตนเองอีกครั้งขอให้เข้าร่วมงานกับพรรค จึงได้ตัดสินใจลงสมัครในนามพรรคกล้าธรรม จากเหตุผลสำคัญคือการเข้ามาช่วยเจือจางกระแสต่อต้านพรรคการเมืองนี้ และเห็นว่าประชาชนให้ความนิยมต่อผู้มีบทบาทสำคัญของพรรคนี้ซึ่งมีผลงานเชิงประจักษ์ในพื้นที่มากพอสมควร
แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โอกาสที่ ดร.ปุ้ย จะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ง่ายนัก เพราะมีผู้สมัครจากบ้านใหญ่อีก 2 คน และผู้สมัครหน้าใหม่ของพรรคประชาชนอีก 1 คน เป็นคู่แข่งที่สำคัญ โดยผู้สมัครสาวสวยจากพรรคกล้าธรรมคนนี้มีปัจจัยที่จะส่งผลต่อชัยชนะทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยด้านบวกที่สำคัญคือ เป็นคนในพื้นที่ เขต 4 ลำปาง แท้ ๆ เกิดและโตที่ อ.เกาะคา บิดามารดาเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในพื้นที่และให้การสนับสนุนในการทำงานการเมือง ในช่วงที่เป็นผู้บริหารท้องถิ่นมายาวนาน ได้คลุกคลีและเข้าถึงชาวบ้านอย่างใกล้ชิด เป็นที่รักและชื่นชมของชุมชนในพื้นที่ เป็นที่รู้จักของสังคมในระดับจังหวัด และหน่วยงานในระดับกรมของกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากได้รับรางวัลบ่อยครั้งและต้องประสานงานเพื่อนำงบประมาณลงพื้นที่ โดยมีผลงานโดดเด่นทางด้านสังคมตลอดเวลากว่า 20 ปี ทำให้เทศบาลตำบลเกาะคาเป็นพื้นที่ศึกษาดูงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ต่อเนื่องตลอดมาทุก ๆ ปี ส่วนปัจจัยด้านลบคือ ไม่เคยทำงานการเมืองในพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งในครั้งนี้พื้นที่เลือกตั้ง เขต 4 ครอบคลุมถึง 5 อำเภอ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 1.6 แสนคน ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับการเลือกตั้งในระดับเทศบาลตำบลที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพียงหลักพัน โดยตนเองไม่เคยมีฐานคะแนนนอกเขตเทศบาลมาก่อนเลย หากไม่สามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงทั้ง 5 อำเภอก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะทำให้เป็นข้อเสียเปรียบอย่างมาก ประกอบกับมีข่าวว่า ปฏิเสธการใช้กระสุนทั้งที่พรรคต้นสังกัดมีความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เพียงแต่จะขอใช้บารมีของผู้ใหญ่ในพรรคคุ้มครองไม่ให้ถูกคุกคามจากอิทธิพลในพื้นที่เท่านั้น โดยจะใช้ความรู้ทางวิชาการสำรวจข้อมูลในพื้นที่แล้วนำมาวิเคราะห์ จากนั้นจะเจาะหาเสียงเฉพาะพื้นที่ที่มีโอกาสได้รับคะแนนเป็นกอบเป็นกำเท่านั้น ซึ่งคาดว่าวิธีการนี้และการลงพื้นที่ทุกตำบลมาแล้วตั้งแต่ก่อนยุบสภาจะทำให้ได้รับคะแนนเสียงในเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อประกอบกับภาพลักษณ์ส่วนตัวมีชื่อเสียงในทางบวก กับความขยันในการลงพื้นที่ และมีผลงานทางด้านการประสานงานเพื่อนำงบประมาณลงพื้นที่ อีกทั้งความได้เปรียบจากการสังกัดพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลในขณะเลือกตั้ง ทำให้คาดได้ว่าประชาชนจะเทคะแนนให้เพียงพอที่จะเบียดเอาชนะคู่แข่งได้ ด้วยคะแนนในระดับ 3 หมื่นกว่าคะแนน ซึ่งคู่แข่งสำคัญอีก 2-3 คน ก็คาดว่าจะได้คะแนนในระดับ 3 หมื่น (บวก/ลบ) เช่นกัน จึงเป็นหนึ่งในผู้สมัครโซนภาคเหนือที่พรรคกล้าธรรมมีความคาดหวังสูงว่าจะได้เข้ามาช่วยเพิ่มจำนวน สส.ของพรรคให้อยู่ในอันดับที่ 3 ซึ่งจะมีผลต่อการต่อรองจำนวนเก้าอี้รัฐมนตรีในการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งใหม่
@ สส.มิ้ง สะใภ้เพื่อไทย เด็กเก่า ปชน.
ว่าที่ผู้สมัครคนต่อมาเป็นสาวสวยแห่งบ้านใหญ่บ้านสวน สังกัดพรรคเพื่อไทยคือ นางสาวรภัสสรณ์ นิยะโมสถ หรือเรียกกันว่า สส.มิ้ง ที่กำลังเป็นข่าวย้ายออกจากพรรคประชาชนอยู่ในเวลานี้ สาวสวยอายุไม่ถึง 40 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครอบครัวเป็นคนนครสวรรค์ ย้ายมาทำธุรกิจตู้คอนเทนเนอร์ อยู่ในตัว อ.เมือง จ.ลำปาง นอกพื้นที่เขต 4 ที่ลงสมัคร แต่เป็น สส.ของเขตนี้ เจ้าของพื้นที่เดิมในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2566 ในนามพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ได้โชค 2 ชั้น นอกจากได้รับเลือกเป็น สส.ครั้งที่ผ่านมาแล้ว ระหว่างเป็น สส.ได้พบรักและแต่งงานกับนายธนาธร โล่ห์สุนทร สส.ลำปาง เขต 2 พรรคเพื่อไทย บุตรชายนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ประมุขใหญ่แห่งบ้านสวน สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และ สส.ลำปางหลายสมัย สส.มิ้ง จึงกลายเป็นสะใภ้ของบ้านสวนพรรคเพื่อไทยในขณะที่เป็น สส.พรรคประชาชน การลงสมัคร สส.ครั้งนี้ ในครั้งแรกยังคงต้องการลงสมัครในนามพรรคประชาชนอยู่เช่นเดิม เนื่องจากต้องการกระแสของพรรคประชาชนเพื่อรักษาฐานคะแนนเดิมเอาไว้ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วกระแสของพรรคส้มส่งผลให้การลงสนามการเมืองครั้งแรกได้คะแนนสูงมากถึงกว่า 4 หมื่นคะแนน เอาชนะนายพินิจ จันทรสุรินทร์ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยที่เป็นประมุขแห่งบ้านใหญ่ดอยเงินอย่างขาดลอยไปถึงครึ่งต่อครึ่ง แต่ด้วยเหตุที่พรรคประชาชนมีข้อมูลว่ากระแสในพื้นที่ลดลงทางด้านตัวบุคคล จึงได้ประเมินผลและส่งผู้สมัครหน้าใหม่ลงแทน ทำให้ สส.มิ้ง ตัดสินใจได้ไม่ยากในการย้ายไปลงสนามในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งพร้อมจะสนับสนุนลูกสะใภ้คนงามด้วยการใช้ทรัพยากรเข้าไปแทนที่กระแสของพรรคประชาชน

นางสาวรภัสสรณ์ นิยะโมสถ
แหล่งข่าวคนเดียวกันระบุว่า สส.มิ้ง มีความได้เปรียบผู้สมัครรายอื่นอย่างมากในเรื่องฐานคะแนนเดิมที่มีมากกว่า 4 หมื่นคะแนน แม้ว่าครั้งนี้จะย้ายไปลงในนามพรรคเพื่อไทย แต่เชื่อว่าฐานคะแนนเดิมจะติดตัวไปด้วย 40-50 % หรืออย่างน้อยที่สุดไม่น่าจะต่ำกว่า 2 หมื่นคะแนน จากกลุ่มยังโหวตเตอร์ อายุ 18-30 ปี ที่ชื่นชอบคนหน้าตาดีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งอดีต สส.พรรคประชาชนคนนี้ หลังจากแต่งงานแล้วกลับมีหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าก่อนแต่งเสียอีก จึงทำให้จะยังคงได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุน้อย เมื่อประกอบกับทรัพยากรที่จะได้รับการสนับสนุนจากพ่อสามีประมุขแห่งบ้านสวน หรือจากพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดใหม่ รวมทั้งฐานคะแนนของนายก อบจ.ลำปาง (นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร) พี่สาวต่างมารดาของสามี เสริมด้วยคะแนนสงสารจากการหาเสียงในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้คะแนนที่ สส.มิ้ง ต้องการอีกเพียง 1 หมื่นกว่าคะแนนหาได้ไม่ยาก ซึ่งก็เพียงพอที่จะเบียดเอาชนะคู่แข่งขันไปได้แบบสบาย ๆ แม้ว่าน่าจะได้ไม่มากถึง 4 หมื่นกว่าคะแนนเหมือนกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็ตาม
@ จับตา ‘‘หญิง-ภุมรา จันทรสุรินทร์’ สอดแทรก
อีกหนึ่งสาวสวยคือ นางภุมรา จันทรสุรินทร์ ภรรยาหม้ายของนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ที่เสียชีวิตภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ซึ่งนายอิทธิรัตน์ เป็นบุตรชายนายพินิจ จันทรสุรินทร์ สส.พรรคเพื่อไทยหลายสมัย ประมุขใหญ่แห่งบ้านดอยเงิน ซึ่งตระกูลจันทรสุรินทร์ได้รับส่วนแบ่งตลาดใน จ.ลำปาง ในส่วนของพื้นที่ทางตอนล่างของ จ.ลำปาง คือเขต 3 และเขต 4 ในขณะที่พื้นที่ทางตอนบนคือ เขต 1 และเขต 2 เป็นของตระกูลโลห์สุนทร โดยเป็นเช่นนี้มาเป็นระยะเวลายาวนาน ที่ สส.ลำปางทั้ง 4 เขต เป็นของพรรคเพื่อไทยโดย 2 ตระกูลนี้ จนกระทั่งการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พรรคเพื่อไทยต้องสูญเสีย สส.ให้กับพรรคส้มไปถึง 3 เขต เหลือเพียง 1 เขตคือ เขต 2 เท่านั้นที่นายธนาธร สามี สส.มิ้ง เอาชนะมาได้อย่างเฉียดฉิว

นางภุมรา จันทรสุรินทร์
นางภุมรา ชื่อเล่นว่า ‘หญิง’ เป็นสะใภ้บ้านใหญ่อีกคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นเวทีครั้งนี้ แต่ไม่ใช่เป็นการสมัครในนามพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกับอดีตสามี เนื่องจากนายพินิจประมุขบ้านดอยเงินได้นำทีมผู้สมัครเขต 3 และเขต 4 ออกจากพรรคเพื่อไทยไปซบพรรคภูมิใจไทยที่คาดว่าจะได้เป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง โดยปล่อยให้ตระกูลโล่ห์สุนทรแห่งบ้านสวนเข้ามาครอบครองพื้นที่เขต 3 และเขต 4 ในนามพรรคเพื่อไทยแทน หญิงแห่งบ้านดอยเงิน จบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง (เกียรตินิยม) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทรัฐศาสตร์ จากสหรัฐอเมริกา ครอบครัวเดิมทำธุรกิจร้านทอง อยู่ที่ จ.อุตรดิตถ์ มีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นที่ปรึกษานายพินิจในช่วงที่เป็น รมว.เกษตร และ รมช.มหาดไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สส.อิทธิรัตน์ อดีตสามีก่อนเสียชีวิต เคยลงสมัคร สจ.ที่ จ.อุตรดิตถ์ บ้านเกิดของตัวเอง
แหล่งข่าวในพื้นที่กล่าวถึงผู้สมัครสาวสวยจากบ้านดอยเงินคนนี้ว่า มีความได้เปรียบจากการที่เขต 4 เป็นพื้นที่ดั้งเดิมที่ครอบครองโดยตระกูลของอดีตสามี และปัจจุบันนายพินิจพ่อสามีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ จึงทำให้มีฐานคะแนนอยู่มากพอสมควร อย่างน้อยที่สุดประมาณ 2 หมื่นคะแนน ที่นายพินิจเคยได้เมื่อปี 2566 เมื่อประกอบกับการใช้ทรัพยากร และกระแสความนิยมของพรรคภูมิใจไทยที่มาแรงแซงทุกพรรค (แม้จะลดลงบ้างจากกรณีน้ำท่วมหาดใหญ่) การที่จะทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นอีกเพียง 1 หมื่นกว่าคะแนน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้น คะแนนในระดับ 3 หมื่นคะแนนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้มาก แม้สะใภ้แห่งบ้านดอยเงินจะไม่เคยทำงานในพื้นที่ในนามตนเองอย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงผู้ช่วยอดีตสามี แต่ก็มีโอกาสเบียดแซงคู่แข่งได้หากระดมสรรพกำลังอย่างเต็มที่
@ เจอ 3 สาวงาม - ผู้สมัคร ปชน.เหนื่อยหนัก
แหล่งข่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า สาวงามจาก 3 บ้านใหญ่ ที่ก้าวขึ้นประชันโฉมบนเวที สส.เขต 4 ลำปาง มีที่มาของคะแนนเสียงซึ่งจะทำให้มีโอกาสเบียดกันเข้าสู่เส้นชัยในระดับ 3 หมื่นคะแนนด้วยกันทุกคน โดยจะเฉือนกันแค่ปลายจมูกเท่านั้น แต่ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคประชาชน ที่ลงสมัครแทน สส.มิ้ง ที่ย้ายไปพรรคเพื่อไทย คะแนนที่ สส.มิ้ง เคยได้รับในนามพรรคก้าวไกลเมื่อปี 2566 มากกว่า 4 หมื่นคะแนน น่าจะเป็นฐานคะแนนสำคัญให้กับผู้สมัครคนใหม่ของพรรคประชาชนคนนี้ แต่ไม่น่าจะได้คะแนนมากเท่ากับที่พรรคก้าวไกลเคยได้รับเมื่อปี 2566 เนื่องจากประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ เขต 4 ซึ่งไม่ใช่เขต อ.เมือง เริ่มเห็นว่าการเลือก สส.ของพรรคการเมืองที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลจะมีประโยชน์กับพื้นที่มากกว่าการเลือกตามกระแส หรือตามที่ลูกซึ่งเป็นวัยรุ่นหรือวัยเริ่มทำงานที่อยู่ในกรุงเทพบอกให้พ่อแม่เลือก ประกอบกับมีเหตุการณ์ที่แสดงว่าพรรคประชาชนมีโอกาสเป็นรัฐบาลแล้วแต่ไม่ยอมเป็น ทำให้ไม่สามารถใช้อำนาจบริหารผลักดันงบประมาณลงพื้นที่ได้ จึงเกิดคำพูดของพ่อแม่ที่จะบอกกับลูกหลานที่มีอายุ 18-30 ปี ว่า กระแสคือมายา งบประมาณที่ได้มาคือของจริง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีแนวโน้มว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่ในพื้นที่ เขต 4 ซึ่งไม่ใช่เขตเมืองจะหันไปเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากกว่าผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แต่ไม่อาจเป็นรัฐบาลได้ ส่งผลให้คะแนนที่ สส.คนเดิมของพรรคประชาชนเคยได้รับจะหายไปบางส่วน แต่อย่างน้อยก็น่าจะยังคงเหลือให้กับผู้สมัครคนใหม่อยู่ประมาณ 2 หมื่นคะแนน จาก 4 หมื่นกว่าคะแนน เมื่อประกอบกับความใหม่สดของตัวผู้สมัครใหม่คนนี้ที่ยังไม่เคยทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ การที่จะได้คะแนนเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นคะแนน ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก ทำให้ผู้สมัครจากพรรคประชาชนยังคงอยู่ในกระดานการแข่งขันในการเลือกตั้ง สส. เขต 4 ลำปาง ครั้งนี้
@วัดกันวันสุดท้าย
ดังนั้น บนเวที สส.เขต 4 ลำปาง จึงอาจไม่ใช่มีเพียงสาวงามจาก 3 บ้านใหญ่เท่านั้น แต่อาจมีหนุ่มหล่อดีกรีนายแพทย์จากพรรคส้มแอบขึ้นไปบนเวที หยิบเอา “มง” มาลงหัวตัวเองก็ได้
จากวิธีการได้มาซึ่งคะแนนเสียงของผู้สมัครทั้ง 4 คน ที่เป็น 3 สาวสวย และอีก 1 หนุ่มหล่อ ณ เวลานี้ ซึ่งการหาเสียงอย่างจริงจังกำลังจะเริ่มต้นขึ้น กราฟแสดงเส้นคะแนนของผู้สมัครทั้งสี่ ที่คาดว่าแต่ละคนจะได้รับ จึงเท่ากันอยู่ที่เส้น 3 หมื่นคะแนน รวมกันเป็น 1.2 แสนคะแนน ใกล้เคียงกับผู้มาใช้สิทธิปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ตัวเลขนี้ การแพ้ชนะกันจึงอยู่ที่ใครจะแบ่งเอาคะแนนของคนอื่นไปเพิ่มให้กับตัวเองได้มากน้อยเพียงใด โดยผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะมีผู้สมัครที่ได้คะแนนเหนือเส้น 3 หมื่นคะแนน จำนวน 2 คน และที่เหลืออีก 2 คน ได้ต่ำกว่าเส้น 3 หมื่นคะแนน (ไม่นับรวมผู้สมัครอื่น) แต่จะเป็นใครที่จะสามารถกระโดดขึ้นเหนือเส้นหรือใครที่จะถูกกดลงให้ต่ำกว่าเส้น 3 หมื่นคะแนน ไม่สามารถบอกได้ในเวลานี้ ขึ้นอยู่กับการรณรงค์หาเสียงหรือการอัดฉีดทรัพยากรทางการเมืองของแต่ละคนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งหลังจาก “ปล่อยของ” กันอย่างเต็มที่แล้ว หากมีการทำโพลที่ใกล้กับวันเลือกตั้ง อาจจะพบความนิยมของประชาชนต่อผู้สมัครแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปจากข้อมูลที่มีอยู่ในเวลานี้ก็ได้
เขต 4 ลำปาง จึงเป็นเขตเลือกตั้งหนึ่งของประเทศที่จะมีการชิงไหวชิงพริบกันอย่างถึงพริกถึงขิง จาก 4 พรรคการเมืองดัง ที่เป็นบ้านใหญ่และบ้านใหม่ นับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการพลิกผันได้ตลอดเวลา คอการเมืองที่สนใจการแข่งขันแบบมีลุ้นที่ไม่ใช่แบบขาดลอย หรือสำนักโพลต่าง ๆ น่าจะได้ติดตามหรือสำรวจความนิยมของประชาชนต่อผู้สมัครของเขตนี้อย่างใกล้ชิดแบบตาไม่กระพริบ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา