
"...เหล่านี้เป็นประมวล 10 เหตุการณ์สำคัญของประเทศไทยประจำปี 2568 ที่บางเหตุการณ์ก็เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2567 แล้วมีผลลัพธ์ในปี 2568 บางเหตุการณ์ก็เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน บางเหตุการณ์ก็ต้องติดตามผลลัพธ์ต่อในปี 2569..."
ประเทศไทยในรอบปี 2568 มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย บางเหตุการณ์ก็เป็นความต่อเนื่องจากเมื่อปี 2567 ซึ่งเหุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ประมวล 10 เหตุการณ์สำคัญของประเทศไทยในรอบปี 2568 เพื่อส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 2569
@ คดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ อัยการสั่งไม่ฟ้อง ‘บอสแซม-บอสมีน’
เริ่มที่ 'คดีดิไอคอน' คดีนี้ต่อเนื่องมาจากปี 2567 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับสำนวนการสอบสวน กรณีกล่าวหา บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) มาดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2567 โดยมีผู้เสียหายจำนวน 7,875 ราย มูลค่าความเสียหาย จำนวน 1,644 ล้านบาท ปรากฏตัวผู้ต้องหา จำนวน 19 ราย ซึ่งเป็นนิติบุคคลจำนวน 1 ราย คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา จำนวน 18 ราย ได้แก่ นายวรัตน์พล หรือบอสพอล กับพวก
โดยเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2568 อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดย
นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาที่ 1
นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาที่ 2
นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือบอสแล็ป ผู้ต้องหาที่ 3
นายกลด เศรษฐนันท์ หรือบอสปีเตอร์ ผู้ต้องหาที่ 4
น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน ผู้ต้องหาที่ 5
นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือบอสหมอเอก ผู้ต้องหาที่ 6
น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ หรือบอสสวย ผู้ต้องหาที่ 7
น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสโซดา ผู้ต้องหาที่ 8
นายนันทธรัฐ เชาวนปรีชา หรือบอสโอม ผู้ต้องหาที่ 9
นายธวิณทรภัส ภูพัฒนรินทร์ หรือบอสวิน ผู้ต้องหาที่ 10
น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ หรือบอสแม่หญิง ผู้ต้องหาที่ 11
น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา หรือบอสอูมมี ผู้ต้องหาที่ 12
นายเชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ หรือบอสทอมมี่ ผู้ต้องหาที่ 13
นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสป๊อบ ผู้ต้องหาที่ 14
นางวิไลลักษณ์ ยาวิชัย หรือบอสจอย ผู้ต้องหาที่ 15
นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ หรือบอสออฟ ผู้ต้องหาที่ 16
นายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ผู้ต้องหาที่ 19
และมีคำสั่งไม่ฟ้อง 2 ราย ได้แก่ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแซม ผู้ต้องหาที่ 17 และ น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมีน ผู้ต้องหาที่ 18

ล่าสุดคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล ทั้งคดีอาญาที่อัยการฟ้องข้อหาฉ้อโกง-ฟอกเงิน (มีบอส 16 คน และดาราบางส่วน) และคดีแพ่งแบบกลุ่มที่ผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 6,000 ล้านบาท โดยศาลมีคำสั่งจำคุก 'กฤษอนงค์' (ผู้ที่เคยเป็นพาร์ทเนอร์) 2 ปีไม่รอลงอาญา และมีการนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีแพ่งในเดือนธ.ค. 2568
@ ความไม่สงบไทย-กัมพูชา นำไปสู่ 'คลิปเสียง' ถอด ‘นายกฯแพทองธาร’
ในช่วงเดือน ก.พ. 2568 ทหารไทยห้ามกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือนธม ไม่ให้ร้องเพลงชาติกัมพูชา ก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศ หลังจากนั้นก็เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างไทยกับกัมพูชา นำไปสู่มาตรการปิดด่านข้ามแดนและมาตรการต่าง ๆ ต่อมาในช่วงเดือน มิ.ย. มีการแชร์คลิปเสียงบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งพื้นที่ระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งคลิปนี้มีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กชาวกัมพูชารายหนึ่ง ความยาวประมาณ 17 นาที 6 วินาที แต่แชร์คลิปสู่สาธารณะความยาวประมาณ 9 นาที
มีเนื้อหาการสนทนาบางส่วน ดังนี้
“...ต้องการอยากให้ทั้งสองประเทศสงบสุข และไม่อยากให้ทางพ่อ (นายฮุนเซน) ไปฟังฝั่งตรงข้ามกับเรา ซึ่งแม่ทัพภาค 2 เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ก็ไม่อยากให้ทางฝั่งนายฮุนเซนฟังแล้วรู้สึกโกรธ ไม่ชอบใจเพราะไม่ใช่ความตั้งใจของเรา โดยทางนั้นเขาอยากดูเท่ห์ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่เราต้องการก็คือต้องการให้มีความสงบสุขเกิดขึ้นเหมือนกับตอนก่อนที่จะปะทะกันที่ชายแดน และอยากให้นายฮุนเซนเห็นใจหลานหน่อย เพราะตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่ให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรีที่เขมรหมดแล้ว และถ้านายฮุนเซนอยากได้อะไร ให้บอกมาได้เลย เดี๋ยวจัดการให้…”
คลิปเสียงข้างต้นทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง อีกทั้งเมื่อวันที่ วันที่ 19 มิ.ย.2568 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ประกาศลงชื่อยื่นถอดถอน นางสาวแพทองธาร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง รวมทั้งจะมีการยื่นเอาผิดกับ นางสาวแพทองธาร ต่อองค์กรต่างๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ต่อมาในวันที่ 20 มิ.ย.2568 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ลงนามในหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. เพื่อส่งหนังสือกล่าวหา นางสาวแพทองธาร ของคณะสมาชิกวุฒิสภา ประกอบการไต่สวนฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจมีลักษณะเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน (20 มิ.ย.) ประธานวุฒิสภา ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ นางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
จึงเป็นเหตุให้เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยลงมติ ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีนับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากขาดความรอบคอบไม่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ชาติถือประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่า ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง
โดยในการพิจารณาคดีนี้ มี 2 ประเด็น ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยประเด็นแรกเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง ว่า นางสาวแพทองธาร ไม่ผิด ส่วนประเด็นที่สอง เรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรง ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า นางสาวแพทองธาร มีความผิด

ด้วยเหตุนี้ นางสาวแพทองธาร จึงเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรายที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ปิดฉากนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย ที่ดำรงตำแหน่งมาเป็นระยะเวลา 10 เดือน 15 วัน
@ ตึกสตง.ถล่ม
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. เกิดเหตุอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (หลังใหม่) ซึ่งมีความสูง 33 ชั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พังถล่มลงมาส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 95 ราย สูญหาย 1 ราย และมีผู้รอดชีวิต 9 ราย สาเหตุการถล่มเกิดจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวในประเทศพม่า พ.ศ. 2568 ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในภาคซะไกง์ของประเทศพม่าและส่งผลกระทบกว้างขวางถึงกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวอยู่ระหว่างการก่อสร้างในส่วนงานผนังและการตกแต่งภายนอก แม้โครงสร้างหลักจะแล้วเสร็จตั้งแต่ พ.ศ. 2567 จากกรณีข้างต้นทำให้สตง.ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สังคมตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและการตรวจสอบองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบภาครัฐ
ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีการออกเอกสารข่าวแจกแจ้งความคืบหน้าการตรวจสอบเหตุที่ตึก สตง.แห่งใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มจากแผ่นดินไหวช่วงปลายเดือนมีนาคม จากการตรวจสอบสาเหตุของการพังถล่มซึ่งได้มีการแถลงต่อสาธารณชนแล้ว มีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) การพังถล่มเริ่มต้นที่ส่วนล่างของอาคาร ชั้น 1-4 เนื่องจากแรงเฉือนที่เกิดจากแผ่นดินไหวกระทำต่อผนังรับแรงเฉือนจนเกิดการวิบัติ (2) ผลทดสอบเฉลี่ยของก้อนตัวอย่างคอนกรีตจากผนังรับแรงเฉือนได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (3) แบบรายละเอียดที่ใช้ในการก่อสร้างไม่เป็นไปตามกฎหมายที่บังคับใช้ ส่งผลให้อาคารรับแรงกระทำได้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด (4) ระยะฝังของเหล็กเสริมที่จุดต่อของ Link Beam กับผนังรับแรงเฉือนน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้จุดต่อบริเวณดังกล่าวอ่อนแอลง
ส่วนการดำเนินคดีอาญาพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ได้สรุปสำนวนและพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา จำนวน 23 ราย ต่อศาลอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการออกแบบ ควบคุม และก่อสร้างอาคารโดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำ เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย รวมถึงความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 227, 238, 264 และมาตรา 268, พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 , พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ตลอดจนกฎกระทรวงและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ส่วนผลลัพธ์ในการดำเนินคดีของหน่วยงานต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป
@ ป.ป.ง. ยึดทรัพย์ ‘แตงไทย’ โยง ‘เบน สมิธ’-เพื่อน ‘ธรรมนัส’
เริ่มจากการนำเสนอข่าวของ นายทอม ไรต์ สื่อมวลชนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าววอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) และยังเป็นหนึ่งในผู้สื่อข่าวที่เปิดโปงการทุจริต เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐ "1 มาเลเซีย ดีเวลอปเมนต์ เบอร์ฮัด" (1MDB) เมื่อเดือน ส.ค. 2568 ที่เขียนบทความลงบนเว็บไซต์ Whalehunting.projectbrazen.com ซึ่งเป็นเว็บบล็อกส่วนตัว
โดยเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวอ้างว่า นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ผู้มีประวัติอื้อฉาว เป็นผู้ที่เคยขายเครื่องบินส่วนตัวยี่ห้อ Gulfstream (ไม่ได้บอกรุ่น) ให้กับนายลิม เยียก ประธานกลุ่มบริษัท B.I.C ของกัมพูชาและพันธมิตรของนายฮุน เซน โดยมีบริษัทไทยที่เชื่อมโยงกับกลุ่ม B.I.C. จ่ายเงินมูลค่า 20.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (662,713,800 บาท) สำหรับคอนโดบนเกาะแมนฮัตตันโดยมี น.ส.คาตาลิยา บีเวอร์ หุ้นส่วนของเมาเออร์เบอร์เกอร์เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย
เว็บไซต์ projectbrazen ระบุว่าสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยนั้นก็คาดว่าจะใช้เครือข่ายของนายเมาเออร์เบอร์เกอร์ในการซื้อเครื่องบินรุ่น Bombardier Global G7500 ด้วยเช่นกัน โดยปรากฎภาพอดีตนายกรัฐมนตรีไทยเจรจากับนายเมาเออร์เบอร์เกอร์เมื่อช่วงเดือน เม.ย.2568

ขณะที่ นายเบน สมิธ บุคคลที่ปรากฏในภาพถ่ายที่นายทอม ไรต์ อ้างว่าเป็นภาพนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจรจากับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ เมื่อช่วงเดือนเม.ย.2568 ที่ร้านอาหาร Provence ในห้างเกสรพลาซ่า ซึ่งมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั่งรวมวงอยู่ด้วย
ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า นายเบน สมิธ เป็นเพื่อนนักธุรกิจของนายทักษิณ รู้จักกันที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อประมาณปี 2562 และชักชวนมาลงทุนในไทย เคยตรวจสอบข้อมูลตำรวจสากล ไม่มีหมายแดง เป็นในคดีทางแพ่ง ซึ่งเคลียร์จบไปหมดแล้ว

จนกระทั่งในช่วงเดือน ธ.ค. 2568 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง.) ได้ออกเอกสารข่าวแจกกรณี ปปง.ดำเนินการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์และฟอกเงินข้ามชาติ ที่มีฐานปฏิบัติการใหญ่อยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมทั้งสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินจำนวนกว่า 289 รายการ รวมเป็นมูลค่าประมาณ 10,165 ล้านบาท จำแนกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ นายเฉิน จื้อ (Chen Zhi) กับพวก , นายก๊ก อาน (MR.KOK AN) กับพวก , นางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวก นายเอื้ออังกูร สันติรักษ์โยธิน กับพวก
โฟกัสข้อมูลในส่วนของ นางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวก คณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 66 รายการ (เช่น ที่ดิน ห้องชุด หลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 9,279 ล้านบาท มากที่สุดในบรรดา 4 กลุ่มข้างต้น
ปปง. ระบุพฤติการณ์ความผิดว่า นางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวก ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าพบข้อมูลการส่งสินค้าซึ่งมีสิ่งของผิดกฎหมายจากจังหวัดเชียงรายไปที่ประเทศจีน และผู้เสียหายมียอดเงินในบัญชีธนาคารซึ่งเกี่ยวพันกับการฟอกเงินผิดกฎหมายต้องถูกตรวจสอบบัญชีธนาคาร จากการสืบสวนเส้นทางการเงิน พบข้อมูลว่า นางสาวแตงไทยฯ ได้รับมอบอำนาจให้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับบัญชีธนาคารของ นายยิม เลียก หรือ MR. LEAK YIM ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดทายาทเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา เป็นเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่หลอกลวงผู้เสียหายเชื่อมโยงกับเส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิดมูลฐาน พบข้อมูลการทำธุรกรรมนางสาวแตงไทยฯ เชื่อมโยงไปยังบุคคลและนิติบุคลจำนวนมาก รวมทั้งมีข้อมูลการโอนเงินไปยัง นายเบน สมิธ หรือ MR. SMITH BEN ซึ่งมีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน มีการโอนเงินไปมาระหว่างบริษัทต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เสมือนว่ามีการดำเนินธุรกิจ และใช้บริษัทในการถือครองทรัพย์สินแทนตนเอง และบุคคลใกล้ชิด ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมทางการเงินและการถือครองทรัพย์สินในลักษณะที่มีความซับซ้อนสูง

ส่วนผลการดำเนินการของป.ป.ง.จะเป็นอย่างไรต้องติดตามกันต่อไป
@ ‘ทักษิณ’ เข้าเรือนจำ หลังศาลฎีกาชี้ช่วงเวลาไปนอนรพ.ตร. ไม่นับเป็นโทษจำคุก
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ศาลฯ นัดอ่านคำสั่ง คดีหมายเลขดำ บค.1/2568 กรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ คดีติดคุกทิพย์ โดยมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยเข้าฟังด้วย โดยเมื่อเวลา 11.08 น. องค์คณะศาลฎีกาฯ มีคำตัดสินคดีว่า การส่งตัวนายทักษิณ จำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย จำเลยไม่อาจถือระยะเวลาที่อยู่ในรพ.ตร.เป็นโทษจำคุก จึงต้องบังคับโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ พร้อมให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพรับตัวจำเลยไปดำเนินการ
สำหรับโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร เดิมที่มีกำหนดระยะเวลา 8 ปี แต่ได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี เป็นผลมาจากคำพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี คือ
1. คดีที่ 1. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี (คดีให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้เงินแก่เมียนมา 4 พันล้านบาท )
2. คดีที่ 2. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี (คดีทุจริตโครงการหวยบนดิน) ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี
และคดีที่ 3. คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี (คดีให้นอมินีถือหุ้น‘ชินคอร์ปฯ’-เข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม )
แต่หลังถูกกำหนดโทษดังกล่าว มีการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ตลอดระยะเวลาที่ถูกลงโทษจำคุก 181 วัน ทำให้ถูกยื่นเรื่องร้องเรียนว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร โดยอาศัยช่องทางตามกฎกระทรวงฉบับนี้หลีกเลี่ยงอำนาจตุลาการ เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยศาลฯ เริ่มไต่สวนคดีมาตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 2568 จนกระทั่งนัดฟังคำตัดสินวันที่ 9 ก.ย.2568 และมีคำสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าไปรับโทษในเรือนจำให้ครบตามกำหนดเป็นเวลา 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ

นับว่าเป็นการปิดฉาก (ชั่วคราว) ของนายทักษิณ ส่วนหลังจากนี้นายทักษิณจะเป็นอย่างไรต้องตามดูกันต่อไป
@ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2568 สำนักพระราชวังได้ออกประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต สืบเนื่องตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันศุกร์ ที่ 24 ต.ค. 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 93 ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียใจแก่คนไทยทั้งแผ่นดิน

@ น้ำท่วมภาคใต้
ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2568 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ซึ่งถือเป็นอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมรวมกว่า 495,123 ไร่ ครอบคลุม 9 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช พัทลุง นราธิวาส ยะลา สตูล ตรัง และสุราษฎร์ธานี มียอดผู้เสียชีวิตรวม 170 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากการจมน้ำ (160 ราย) พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดคือจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย. 2568)
ซึ่งในช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยรัฐบาลที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ถูกชาวโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำงานล่าช้า ล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนด้านเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในอำเภอหาดใหญ่อย่าง นายณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ หรือ นายกแป้น เจ้าของคำพูด ‘เอาอยู่’ แต่สถานการณ์จริงหนักกว่าที่คาด เป็น ‘บุคคลสูญหาย’ ในช่วงเกิดวิกฤต ทำให้ประชาชนจำนวนมากเรียกร้องให้นายณรงค์พร ออกมารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งภายหลังนายณรงค์พรออกมาขอโทษและประกาศว่าจะไม่เล่นการเมืองอีกต่อไป
อีกทั้งยังมี นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอหาดใหญ่ ที่ถูกกรมการปกครองสั่งย้ายไปช่วยราชการ วิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง เป็นการประจำ ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. 2568 โดยกรมการปกครองให้เหตุผลว่า นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา ได้อยู่ในพื้นที่ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2568 และไม่สามารถต่อสื่อสารได้อีกเลย ประกอบกับผู้บังคับบัญชาในทุกระดับก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสารและสั่งการได้เช่นกัน ทำให้ไม่สามารถประสานงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ นายอำเภอหาดใหญ่ยังไม่เข้าร่วมประชุมประจำวันกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบก ที่ 46 เพื่อประสานงานและรับทราบแนวทางในการแก้ไขปัญหา ข้อสั่งการ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งต้องเข้าร่วมประชุมเป็นประจำทุกวัน ทำให้เกิดความเสียหายต่อการปฏิบัติราชการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 256 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบเพิ่มเติมเงื่อนไขและกรอบวงเงินช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบปัญหาอุทกภัย สืบเนื่องเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 ครม.เห็นชอบเงินงบกลางช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย 6,169 ล้านบาท ช่วยประชาชน 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งครอบคลุม 65 จังหวัด รวมถึงกรณีเงินช่วยเหลือแบบขั้นบันไดน้ำท่วมขังตามระยะเวลา ที่คนประสบอุทกภัยจะได้รับการเยียวยาไม่เกิน 29,000 บาทต่อครัวเรือน ครม.ได้เห็นชอบเพิ่มเติมอีก 7 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และสงขลา กรอบวงเงินเพิ่มเติม 3,814 ล้านบาท โดยดำเนินการเยียวยาหลังสถานการณ์คลี่คลายให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน

@ ซีเกมส์ 2568 ไทยเป็นเจ้าภาพ-ปัญหาโผล่เพียบ
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ประจำปี พ.ศ. 2568 จัดขึ้นที่ ประเทศไทย โดยมี กรุงเทพฯ ชลบุรี และ สงขลา เป็นเมืองเจ้าภาพหลัก การแข่งขันมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-20 ธ.ค. 2568 ซึ่งเผชิญกับปัญหาหลายประการ ทั้งในด้านการบริหารจัดการ งบประมาณ และการประชาสัมพันธ์ นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น ปัญหาด้านการเดินทางซึ่งมีรายงานว่านักกีฬาหลายชาติประสบปัญหาการรอรถรับส่งเป็นเวลานานถึง 5-6 ชั่วโมงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และการขนส่งภายในงานยังมีความล่าช้า ปัญหาความล่าช้าในการจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงและเงินอัดฉีดนักกีฬา ที่เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นก่อนการแข่งขันจนกระทั่งถึงหลังการแข่งขัน ปัญหาโครงสร้างการบริหารที่โครงสร้างการบริหารที่บิดเบี้ยวและทำงานไม่เข้าขากันภายในวงการกีฬาไทย รวมถึงปัญหาการบริหารงานที่ไม่ชัดเจนในหลายสมาคมกีฬา ปัญหาด้านภาพลักษณ์และการประชาสัมพันธ์ที่มีการใช้โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่สร้างจาก AI ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการด้อยค่านักออกแบบและแสดงถึงความมักง่าย รวมถึงความผิดพลาดของข้อมูลและการประชาสัมพันธ์ที่คลาดเคลื่อน ปัญหาการถอนตัวของนักกีฬาแบดมินตันที่ไม่พอใจกับการจัดการของฝ่ายพัฒนาของสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ที่ไม่ปกป้องสิทธิ์ของนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยในช่วงที่ผ่านมา เป็นต้น
ซึ่งทาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และประธานคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และนายกสมาคมกีฬาทางน้ำฯ มีคำสั่งแต่งตั้ง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นผู้รับเรื่องและปัญหาต่าง ๆ ของสมาคมกีฬาต่าง ๆ

@ ‘อนุทิน’ ยุบสภา-แก้รธน.ล้มเหลว
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯ ยุบสภาผู้แทนราษฎร พร้อมโพสต์เฟซบุ๊กว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” ภายหลังเกิดความขัดแย้งในสภาผู้แทนราษฎร ที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่เห็นชอบกับการตัดอำนาจของสว. ออกในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่พรรคประชาชนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เพราะจะทำให้สมาชิกวุฒิสภายังคงเสียง 1 ใน 3 ในการเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้อภิปรายในที่ประชุมร่วมรัฐสภาว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทย ไม่โหวตตามที่ พรรคประชาชนต้องการพรรคประชาชนก็จะไม่ให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย และขอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา
ต่อมาวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 โดยระบุเหตุผลว่า “...อย่างไรก็ตาม โดยที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีปัญหารุมเร้าในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้รัฐบาลไม่อาจบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพ หากปล่อยให้สภาวการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ย่อมจะเกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองและกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อระบบรัฐสภาและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ทางออกที่เหมาะสมคือการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนเจ้าของอำนาจสูงสุดโดยเร็ว…”

ผลจากการยุบสภาทำให้เหล่าพรรคการเมืองเตรียมตัวหาเสียงเพื่อเลือกตั้งในปี 2569 ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ได้กำหนดแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เป็นการทั่วไป โดยวันเลือกตั้งทั่วไป คือ วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2569 พร้อมกับการออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันเดียวกัน ส่วนวันเลือกตั้งล่วงหน้า (ในเขตและนอกเขต) คือ วันอาทิตย์ที่ 1 ก.พ. 2569 กำหนดวันรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ทั่วประเทศ จำนวน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 27-31 ธ.ค. 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. และวันที่ 28-31 ธ.ค. 2568 เป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ และวันแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองมีมติจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
@ ‘บิ๊กโจ๊ก’ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังถูกกล่าวหาให้สินบน ป.ป.ช.
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 พนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (บก.ปปป.) เข้าค้นบ้านพัก อาคารสำนักงาน และอาคาร ที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก อดีตรองผบ.ตร. รวม 11 จุด รวมถึงสมาคมชาวปักษ์ใต้ ถนนรัชดาภิเษก ในคดีที่มีการกล่าวหาว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ให้สินบน นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. และพวก เป็นทองคำ น้ำหนัก 246 บาท เพื่อให้ช่วยเหลือคดีที่ตนเองถูกกล่าวหาและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนอยู่
แหล่งข่าวกล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ข้อกล่าวหาที่มีต่อนายเอกวิทย์ เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงและกระทบต่อภาพลักษณ์ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขณะที่นายเอกวิทย์ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการให้ควบคุมดูแลสำนักตรวจสอบทุจริตภาครัฐ 1 (สตร.1) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนการทุจริตที่เกิดขึ้นในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม และอัยการ ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจจะขอให้นายเอกวิทย์ ถอนตัวจากการควบคุมดูแล สตร. 1 และสลับดูแลสำนักงานอื่นแทน
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2568 นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มอบอำนาจให้ทีมทนายความเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.อ.เอกภาคภูมิ พิศมัย อดีตนายตำรวจคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยตั้งข้อหาแจ้งความเท็จและกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นรับโทษทางอาญา
การแจ้งความครั้งนี้มีขึ้นภายหลังที่ พ.ต.อ.เอกภาคภูมิ เคยแจ้งความกล่าวหานายเอกวิทย์ว่าเรียกรับสินบนเป็นทองคำแท่งรวม 246 บาท ซึ่งทางทนายความผู้รับมอบอำนาจยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

'บิ๊กโจ๊ก' กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วคดีนี้จะจบลงอย่างไรต้องติดตามกันต่อไป
เหล่านี้เป็นประมวล 10 เหตุการณ์สำคัญของประเทศไทยประจำปี 2568 ที่บางเหตุการณ์ก็เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2567 แล้วมีผลลัพธ์ในปี 2568 บางเหตุการณ์ก็เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน บางเหตุการณ์ก็ต้องติดตามผลลัพธ์ต่อในปี 2569

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา