หลายประเทศเลือกรักษาชีวิตผู้คนโดยปิดเมืองอย่างเด็ดขาด บางประเทศเลือกที่จะปิดประเทศอย่างมีเงื่อนไข และปิดเมืองแบบผ่อนปรน โดยเฉพาะมาตรการปิดเมืองของสหรัฐ โดยคำสั่งของรัฐต่างๆ นั้น ทำให้มีผู้ประท้วงอย่างกว้างขวาง นับว่า เป็นความขัดแย้งทางบริหารที่ไม่ควรเกิดขึ้นในยามวิกฤติ เป็น “ ปัญหารถราง“ ที่ท้าทายการตัดสินใจครั้งสำคัญระหว่าง การอดตายกับการป่วยตาย ของคนอเมริกันที่ยังคงเกิดขึ้นทุกวันราวกับใบไม้ร่วง
ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ ผู้คนมักจะถกกันถึง “ปัญหารถราง” (Trolley problem) อย่างกว้างขวาง เนื่องจาก “ปัญหารถราง” คือปัญหาทางจริยธรรมที่ท้าทายต่อการตัดสินใจของปัญญาประดิษฐ์ เพราะวันใดก็ตามที่รถไร้คนขับที่ทำงานด้วยปัญญาประดิษฐ์ออกมาวิ่งบนท้องถนนร่วมกับรถคันอื่นๆ สิ่งที่ต้องเผชิญอยู่เกือบทุกนาทีบนท้องถนนคือการเกิด “ปัญหารถราง” ซึ่งระบบอัตโนมัติต้องตัดสินใจเลือกระหว่างจริยธรรมหรือหน้าที่ที่ถูกสั่งให้ทำ
ปัญหารถรางเป็นปัญหาทางจริยธรรม ที่ยากต่อการตัดสินใจแม้แต่มนุษย์เองก็ยังยากที่จะเลือกตัดสินใจในทางใดทางหนึ่งได้ เมื่อสถานการณ์นั้นมาถึง สมมุติว่า มีใครก็ตามเป็นคนขับรถรางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังปลายทาง เมื่อมองไปข้างหน้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งจำนวนห้าคนถูกมัดอยู่บนราง สิ่งที่ผู้ขับรถจะทำได้ในขณะนั้นคือการหยุดรถด้วยเบรก แต่โชคร้ายเพราะเบรกไม่ทำงาน ยังดีที่ก่อนจะถึงร่างคนทั้งห้า มีรางอีกรางหนึ่งแยกไปทางซ้าย การตัดสินใจที่จะไม่ทับร่างคนทั้งห้าคนคือการสับรางเบี่ยงซ้าย แต่โชคไม่ช่วยเพราะมีคนอีกคนหนึ่งถูกมัดอยู่บนรางเบี่ยงซ้ายด้วยเช่นกัน
สถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นเสมือนผู้ขับรถกำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่งแห่งจริยธรรมที่ยากต่อการตัดสินใจ ถ้าผู้ขับรถปล่อยให้รถวิ่งไปตามปกติโดยไม่สับราง คนทั้งห้าก็จะถูกรถรางทับเสียชีวิตทั้งหมดอย่างแน่นอน หากผู้ขับรถเลือกสับรางเบี่ยงซ้ายคนเพียงคนเดียวจะเสียชีวิต ปัญหาคือ ผู้ขับรถจะเลือกไปทางไหน ?
เมื่อมีการถาม “ปัญหารถราง“ คนส่วนมากเลือกที่จะตอบว่า ควรสับรางใช้ทางเบี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคนทั้งห้าเอาไว้และยอมให้มีคนตายเพียงคนเดียว เหตุผลที่คนส่วนใหญ่มักอ้างเมื่อต้องเลือกสับราง เพราะว่าจริยธรรมบังคับให้ต้องทำเช่นนั้น แต่ในสถานการณ์เดียวกันนี้อาจมีผู้คนไม่เห็นด้วยและเลือกตัดสินใจในทางตรงข้ามก็เป็นได้ ปัญหารถรางจึงเป็นปัญหาที่อ่อนไหวเมื่อมีการเผชิญกับทางสองแพร่งทางจริยธรรมและกลายเป็นทางเลือกระหว่างแนวคิดแบบประโยชน์นิยม (Utilitarian) ซึ่งมักมีแนวโน้มจะเป็นผู้เลือกวิธีสับรางและแนวคิดแบบ จริยศาสตร์เชิงหน้าที่(Duty Ethics) ซึ่งมักจะมีแนวโน้มไม่เลือกสับราง
การระบาดของโควิด -19 เกิดปัญหาท้าทายมากมายที่คนคนทั้งโลกต้องแก้ไข ทั้งปัญหาทางการแพทย์และปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาจำนวนหนึ่งกลายเป็น “ปัญหารถราง” ที่ท้าทายต่อการใช้หลักจริยธรรมเข้ามาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งน่าจะสร้างความอึดอัดใจต่อผู้ที่อยู่ในสถานะดังกล่าวอยู่ไม่น้อย
ในระยะแรกที่เชื้อไวรัส โควิด -19 ระบาดในประเทศแถบยุโรป ประเทศอีตาลีเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากและมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดประเทศหนึ่ง ทำให้อีตาลีกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคในยุโรป การที่มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้อีตาลีอยู่ในภาวะวิกฤติ แพทย์ในเมืองมิลานแจ้งว่า โรงพยาบาลของพวกเขาต้องปิดวอร์ดทุกแผนกเพื่อรับคนไข้โควิด เป็นการเฉพาะ เนื่องจากมีคนไข้โควิดเข้ามารักษาเพิ่มขึ้นวันละ 50 เคส ต้องเพิ่มเตียงในห้อง ICU เป็นสามเท่าจากปกติ
การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนไข้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทำให้แพทย์ในอีตาลีต้องเผชิญกับ “ปัญหารถราง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะคนไข้ที่อาการวิกฤตหมออาจต้องเลือกว่า คนไหนจะทำการรักษาและคนไหนจะต้องปล่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนไข้อายุ 60 ปีขึ้นไปนั้น หมออาจช่วยไม่ได้หมดทุกคน
สมาคมวิสัญญีวิทยา การระงับปวด การกู้ชีพ และการดูแลผู้ป่วยวิกฤตแห่งประเทศอิตาลี ตีพิมพ์คำแนะนำให้แพทย์ให้ความสำคัญกับคนไข้ที่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวได้ มากกว่าจะยึดตามระบบคิว มาก่อนได้ก่อน สมาคมวิสัญญีวิทยา ฯ ได้อธิบายว่า คำแนะนำนี้มิใช่การบอกให้แพทย์รักษาเฉพาะบางคนและจำกัดการรักษาสำหรับคนไข้คนอื่น แต่ "เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่บังคับให้แพทย์มุ่งความสนใจให้การรักษาที่เหมาะสมกับคนที่จะได้รับประโยชน์ที่สุด"
คนไข้หลายคนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ที่โรงพยาบาลบางแห่งมีเครื่องดังกล่าวไม่เพียงพอ โรงพยาบาลขนาดใหญ่บางแห่งในเมืองมิลานไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจให้กับคนที่อายุมากกว่า 60 ปี แต่เลือกรักษาให้คนอายุน้อยกว่าแทน
แพทย์บางคนออกมายอมรับว่า "ตอนนี้ถ้าเรามีคนป่วยกว่า 10,000 คนในอิตาลีที่ต้องการเครื่องช่วยหายใจ แต่ในประเทศเรามีเครื่องช่วยหายใจช่วยคนได้แค่ 3,000 คน อีก 7,000 คนอาจต้องตาย" จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า แพทย์ในอีตาลีกำลังเผชิญกับ “ปัญหารถราง” ที่ยากลำบากเพียงใดในการเลือกให้เครื่องช่วยหายใจกับคนจำนวนหนึ่งแต่กลับทำให้คนอีกจำนวนหนึ่งต้องอยู่บนความเสี่ยงถึงขั้นที่อาจเสียชีวิต
เหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับคำพูดของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันครอบครัวหนึ่ง ซึ่งติดอยู่ในเมืองเบอร์กาโม่ของอิตาลี ที่กล่าวว่า ไวรัสได้ทำให้อิตาลีทั้งประเทศคุกเข่ายอมแพ้ แพทย์ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะให้คนไข้รายไหนอยู่ รายไหนไป เพราะระบบของโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับได้อีกแล้ว “ปัญหารถราง” ในอีตาลี จึงเป็นปัญหาที่แพทย์ต้องตัดสินใจด้วยความยากลำบากเพราะเป็นปัญหาทางจริยธรรมระหว่างแนวคิดประโยชน์นิยมที่สอดคล้องกับคำแนะนำของสมาคมวิสัญญีวิทยาฯของอีตาลีกับแนวคิด จริยศาสตร์เชิงหน้าที่ ซึ่งไม่อาจบอกได้เลยว่าทางเลือกไหนถูกหรือทางเลือกไหนผิด
ช่วงที่โควิด-19 เริ่มต้นระบาด นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ต่อปัญหาทางจริยธรรมโดยใช้ชีวิตคนอังกฤษหลายสิบล้านคนเป็นเดิมพัน เขาเลือกที่จะใช้ยุทธศาสตร์ที่ไม่เหมือนชาวโลก โดยไม่ใช้วิธีการป้องกันรักษาแบบที่ประเทศอื่นทำกัน แต่เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ตามวิธีที่ แพทริก วัลแลนซ์ (Patrick Vallance) หัวหน้าที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของอังกฤษเสนอ โดยให้ประชากรส่วนใหญ่หรือประมาณ 60% ติดเชื้อไวรัสเสียก่อน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในกลุ่มคนที่หายป่วยแล้ว ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้จะช่วยป้องกันกลุ่มคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจากไวรัสได้โดยอัตโนมัติ และอาจจะหยุดการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ ซึ่งเรียกกันว่า ยุทธศาสตร์ ภูมิต้านทานฝูงชน( Herd Immunity : สถานการณ์ที่สัดส่วนของประชากรมีภูมิคุ้มกันมีจำนวนมากพอจนเชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่กระจาย หรือถูกส่งผ่านไปยังคนอื่นๆได้)
การใช้ยุทธศาสตร์ ภูมิต้านทานฝูงชน มีความเสี่ยงที่จะทำให้คนติดเชื้อได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด ซึ่งกว่าคนกลุ่มนี้จะมีภูมิต้านทานมากพอก็อาจเสียชีวิตเสียก่อน
การเอาชีวิตมนุษย์เข้าไปแลก ทั้งๆ ที่ยังมีทางเลือกอื่นจึงทำให้รัฐบาลอังกฤษท้าทายต่อจริยธรรมของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
หาก บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังคงดึงดันที่จะใช้วิธี ภูมิต้านทานฝูงชน ต่อไป เราอาจเห็นอังกฤษในอีกรูปโฉมหนึ่งและเป็นไปได้ว่าจริยธรรมของรัฐบาลอังกฤษอาจถูกสั่นคลอนด้วยความเห็นของคนส่วนใหญ่จนถึงขั้นไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้
เคราะห์ดีที่นักวิทยาศาสตร์อังกฤษกว่า 229 คนส่งจดหมายถึงรัฐบาลวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานรัฐบาลต่อมาตรการรับมือกับ COVID-19 และคัดค้านข้อเสนอเรื่อง ภูมิต้านทานฝูงชน เพราะมองว่า เป็นมาตรการที่เสี่ยงเกินไป และอาจทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน
“ปัญหารถราง” ของอังกฤษจึงมีตัวช่วยที่ทำให้สถานการพลิกผันและมีทางออกโดยการรักษาด้วยวิธีอื่น
อย่างไรก็ตามแนวคิด ยุทธศาสตร์ ภูมิต้านทานฝูงชน ของ บอริส จอห์นสัน ในครั้งแร กซึ่งเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยนั้น อาจอยู่บนหลักคิดทางจริยธรรมบนแนวคิด จริยศาสตร์เชิงหน้าที่โดยไม่เลือกสับราง ซึ่งเป็นเส้นทางที่คนส่วนน้อยเลือกเดินก็เป็นไปได้เช่นกัน
ประเทศจีนเองก็มิได้รอดพ้นจาก “ปัญหารถราง” ไปได้ เพราะการระบาดของโรคที่เริ่มต้นจากเมืองอู่ฮั่น ทำให้ทางการจีนต้องปิดเมืองอู่ฮั่นอย่างสิ้นเชิงเพื่อรักษาเมืองอื่นๆไว้ แม้ว่าการตัดสินใจเลือกปิดเมืองอู่ฮั่นซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ชิคาโกตะวันออก จะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในเมืองอู่ฮั่นมากมายเพียงใดก็ตาม ในช่วงแรกของการระบาดมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในเมืองอู่ฮั่นทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยเพราะไม่มีการเตรียมการมาก่อน การรักษาผู้ป่วยในหลายกรณีจึงจำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจทางจริยธรรมเพื่อเลือกคนไข้คนใดคนหนึ่งเอาไว้
แพทย์จีนยอมรับว่า เขาจำเป็นต้องเลือกรักษาผู้ป่วยบางคนเพื่อให้มีชีวิตรอด แม้ว่าคนอีกจำนวนหนึ่งต้องอยู่บนความเสี่ยงต่อการสูญเสียก็ตาม ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งของแพทย์เมื่อมีปัญหาจริยธรรมบนทางสองแพร่งค้ำคออยู่
การที่ทุกประเทศใช้มาตรการ ปิดเมือง (Lockdown) เพื่อลดการเดินทางของผู้คนรวมทั้งมาตรการลดระยะจากสังคม ทำให้ผู้คนต้องตกงานเป็นจำนวนมาก ธุรกิจต้องปิดกิจการ และคนจำนวนมากต้องแกร่วอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นมาตรการที่ลดการแพร่เชื้อโควิด-19 ที่ได้ผลที่สุด แต่สถานการณ์เช่นนี้กลายเป็นทางสองแพร่งที่บีบให้รัฐบาลทุกประเทศ ต้องเลือกระหว่างความความมั่นคงทางเศรษฐกิจกับการรักษาชีวิตของผู้คนไม่ให้มีการติดเชื้อและล้มตายเพิ่มขึ้นและกลายเป็น”ปัญหารถราง” ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบเห็น
หลายประเทศเลือกรักษาชีวิตผู้คนโดยการปิดเมืองอย่างเด็ดขาด ในขณะที่บางประเทศเลือกที่จะปิดประเทศอย่างมีเงื่อนไข และปิดเมืองแบบผ่อนปรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการปิดเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยคำสั่งของรัฐต่างๆ นั้น ทำให้มีผู้ประท้วงอย่างกว้างขวาง ทั้งด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและความต้องการเสรีภาพ แถมยังได้รับเสียงเชียร์จากประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ เสียอีก นับว่า เป็นความขัดแย้งทางบริหารที่ไม่ควรเกิดขึ้นในยามวิกฤติ และเป็น “ ปัญหารถราง“ ที่ท้าทายการตัดสินใจครั้งสำคัญระหว่าง การอดตายกับการป่วยตาย ของคนอเมริกันที่ยังคงเกิดขึ้นทุกวันราวกับใบไม้ร่วง
โควิด-19 เป็นวิกฤติที่ทำให้เกิด “ปัญหารถราง” ครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ในหลายประเทศต้องตัดสินใจทางจริยธรรมครั้งสำคัญโดยมีชีวิตผู้ป่วยเป็นเดิมพัน รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการเกิดคดีความ แต่ด้วยความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของเมืองไท ยและมาตรการที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ เราจึงไม่เห็นความโกลาหลของการรักษาคนไข้จนนำไปสู่การเกิด “ปัญหารถราง” ดังเช่นประเทศอื่นๆ
แม้วิกฤติครั้งนี้จะยังไม่ผ่านพ้นไปแต่รอยแผลต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จากพิษ สึนามิ โควิด -19 กลายเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของมนุษย์และกลายเป็นประวัติศาสตร์โลกที่ผู้คนไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่าย “ปัญหารถราง” จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การทดลองปัญหาทางความคิดเชิงทฤษฎีอีกต่อไป แต่กลายเป็นบททดสอบการตัดสินใจทางจริยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆบนโลกใบนี้
อ้างอิงจาก
1. Artificial Intelligence : A Guide for Thinking Human โดย Melanie Mitchell
3. https://www.posttoday.com/world/617470
4. https://www.bbc.com/thai/international-51988794
5. CGTN : ICU Doctor in Wuhan, 21 April 2020
6. https://www.hfocus.org/content/2020/04/18908
8. http://www.parst.or.th/philospedia/Deontologicalethics.html
ภาพประกอบ
https://medium.com/jigarjain/moral-reasoning-the-trolley-problem-1bfa17e830fa