สถานการณ์ของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร คือ กำลังถูกมรสุมรุมถล่มอย่างไม่ต้องสงสัย
ศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง เปรียบมรสุมการเมืองเป็นดั่ง “พายุ” ซึ่งรัฐบาลกำลังเผชิญอยู่อย่างน้อย 5 ลูก
แต่ละลูกล้วนเป็นระดับ “ไซโคลน” หรือ “ไต้ฝุ่น” ทั้งสิ้น บางลูกถึงขั้น “ทอร์นาโด” เพราะมีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา
ในมุมมองของอาจารย์ วิกฤตครั้งนี้จึงไม่มีประเภท “ลมเพลมพัด” หรือ “ลมบ้าหมู”
ที่น่าสนใจก็คือ หนึ่งใน “พายุหมุนลูกใหญ่” ที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหมุนซ้ำๆ มากว่า 20 ปีแล้ว คือ ปัญหาไฟใต้ที่ยังไร้ทางออก
@@ พายุฤดูร้อนที่ทำเนียบรัฐบาล !
หากเปรียบเทียบแล้ว ดูเหมือนรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี แพทองธารชินวัตร ในขณะนี้ กำลังเผชิญกับ “พายุ” 5 ลูกใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนเป็นเสมือน “พายุฤดูร้อน” ที่พัดเข้าหาทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น
1) พายุเศรษฐกิจที่เกิดจากกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2) พายุที่กำลังก่อตัวจากปัญหาเศรษฐกิจภายในที่เป็นผลจากกำแพงภาษีอเมริกัน
3) พายุที่ส่อเค้าว่าอาจจะมีลมแรงจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในกรณีเอนเตอร์เทนเม็นท์คอมเพล็กซ์
4) พายุคอร์รัปชั่นในกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ถล่ม ที่รอการจัดการของรัฐบาล
5) พายุที่เกิดต่อเนื่องมาโดยตลอด คือ พายุภาคใต้ ซึ่งเป็นพายุที่มีสัญญาณเตือนภัยถึงความแรงของลมที่พัดไม่หยุด
สำหรับพายุลูกที่ 1 และ 2 นั้น เป็นความท้าทายที่รอการพิสูจน์ “ฝีมือรัฐบาล” ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่อาจกลายเป็นวิกฤติภายในประเทศได้
แต่หาก “ทีมรัฐบาล” สามารถจัดการ โดยการเปิดการเจรจา หรือ “เปิดดีล” กับผู้นำสหรัฐ จนทำให้ “พายุของทรัมป์” ผ่านพ้นประเทศไทยไปได้จริงแล้ว สถานะของรัฐบาลน่าจะมีความเข้มแข็งมากขึ้นในอนาคต หรือตัวนายกรัฐมนตรีจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในทางการเมือง
คงต้องยอมรับในความเป็นจริงของเศรษฐกิจการเมืองโลกว่า การดีลกับทรัมป์ในภาวะปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เป้าหมายหลักของ “พายุทรัมป์” คือ การจัดการกับจีน แต่ก็จะมีผลกับเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง และกระทบกับการส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนพายุลูกที่ 3 เป็นเรื่องของการ “ดีลภายใน” ระหว่างผู้นำตัวจริงของพรรคเพื่อไทย กับผู้นำตัวจริงของพรรคภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม “นักอุตุนิยมวิทยาทางการเมือง” ยังไม่อาจคาดคะเนความแรงของลมพายุลูกนี้ได้ หรือเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่า พายุลูกนี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเช่นไร หรือในระดับใด
หรือที่ทุกคนคอยเฝ้าติดตามคือ “ลมพายุจากบุรีรัมย์” ลูกนี้ จะพัดแรงจนความสัมพันธ์ของ 2 พรรคหลักของรัฐบาลผสมคือ เพื่อไทยและภูมิใจไทยจะมีอาการ “ล้มระเนระนาด” ไปกับแรงพายุนี้หรือไม่
หรือว่าในที่สุดแล้ว ลมพายุจากบุรีรัมย์จะเป็นเพียงกระแสลมธรรมดาที่จบลงด้วยการ “ดีล” แม้การดีลจะเกิดขึ้นและสำเร็จได้จริง แต่ก็จะไม่สามารถลบล้างภาพความเสียหายจากแรงลมของพายุที่พัดในครั้งแรก
ในกรณีของพายุลูกที่ 4 เป็นลมแรงที่รอการจัดการของรัฐบาล เพราะการถล่มของตึก สตง.ที่แม้จะมาจากเหตุแผ่นดินไหวนั้น ก็เห็นชัดถึงปัญหาการคอร์รัปชันของหน่วยงานราชการไทย ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้ามาเพื่อแสวงหาประโยชน์ของกลุ่มทุนจีน พายุลูกนี้รอ “ความกล้าหาญทางจริยธรรม” ของผู้นำรัฐบาล ที่จะต้องกล้าแสดงการจัดการกับปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับ “การหากิน” ของทุนจีนที่อาศัยความอ่อนแอของรัฐไทยเป็นช่องทาง
พายุลูกที่ 4 จึงเป็นดังพายุ 2 ลูกในตัวเองที่ซ้อนกันอยู่ คือ “พายุคอร์รัปชัน” และ “พายุทุนจีน”
นักอุตุนิยมทางการเมืองจึงได้แต่เฝ้ามองว่าแล้วรัฐบาลจะจัดการอย่างไร แต่รัฐบาลจะคิดและคาดแบบง่ายๆ ว่า พายุจะอ่อนแรงลง และพัดผ่านทำเนียบฯไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยการอาศัยเพียงเวลาที่ผ่านไปนั้น คงไม่ได้ เพราะเป็นลมพายุที่สังคมจับตามองรัฐบาลในเรื่องนี้
สำหรับพายุลูกที่ 5 ที่เป็นลมแรงจากจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ลมยังแรงต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้ายด้วยปฏิบัติการต่างๆ ของกลุ่มบีอาร์เอ็น (BRN) ที่เพิ่มมากขึ้น การสร้างเวทีปลุกระดมเยาวชนให้เกิดอาการ “ต่อต้านรัฐ” อย่างอุกอาจในบริเวณชายหาด
อีกทั้งลมพายุลูกนี้ยังพัด “ประเดประดัง” ด้วยลมปากของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่นำเสนอเรื่อง “เขตปกครองพิเศษ” โดยอ้างอิงเขตปกครองพิเศษอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ซึ่งข้ออ้างอิงนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับในเวทีสากลแต่อย่างใด
ข้อเสนอนี้ ถูกตั้งคำถามอย่างมากว่า ข้อเสนอเขตปกครองพิเศษของรัฐมนตรีทวีครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอะไร และข้อเสนอนี้กำลังจะถูกผลักดันให้เป็นนโยบายของรัฐบาลแพทองธารด้วยหรือไม่
นายกรัฐมนตรีและฝ่ายการเมืองผู้รับผิดชอบควรจะต้องมีคำตอบบ้าง เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่การอาศัยความเงียบเป็นคำตอบ เพราะผู้นำเสนอมีสถานะทางการเมืองในระดับรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในกระทรวงหลักของงานภาคใต้ คือ กระทรวงยุติธรรมด้วย
อีกทั้ง เป็นการนำเสนอโดยยังไม่มีการเจรจาต่อรองในการยุติปัญหาภาคใต้แต่อย่างใด ซึ่งทำให้ถูกมองว่า เป็นการนำเสนอด้วยความอ่อนด้อยทางการเมืองหรือไม่
ขณะเดียวกัน มีคำถามอย่างมากถึงการดำเนินงานในภาคใต้ เนื่องจากจนถึงบัดนี้ก็ไม่ปรากฏความชัดเจนในทิศทางเชิงนโยบายของรัฐบาล เห็นแต่เพียงความชัดเจนในการจัด “ทัวร์ สมช.” ที่พานายทหารที่เป็นฝ่ายการเมืองลงไปเปิดตัวในพื้นที่ จนกลายเป็นคำถามพื้นๆ ว่า “รัฐบาลจะเอาอย่างไรกับงานภาคใต้?”
หรือถ้าต้องรอ “ยุทธศาสตร์สมช.” ก็จะต้องรอไปอีกนานเท่าใด เพราะการก่อการร้ายของ BRN ไม่เคยรอรัฐบาล สมาชิก BRN ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการก่อการร้ายตลอดช่วงสงกรานต์ เสมือนหนึ่งเป็น “สงกรานต์เลือด” ของ BRN
ดังนั้น หลังจากงานฉลองเทศกาลสงกรานต์ผ่านไปแล้ว ชีวิตทางการเมืองของสังคมไทยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และเห็นได้ชัดว่า พายุฤดูร้อน 5 ลูกกำลังพัดเข้าใส่ทำเนียบรัฐบาลไม่หยุด จึงน่าสนใจว่าผู้นำรัฐบาลจะจัดการกับพายุทั้ง 5 ลูกนี้อย่างไร …
จะทำอย่างไรที่สุดท้ายแล้วพายุแต่ละลูกจะไม่กลายเป็น “วาตภัย” ที่พัดทำลายสิ่งต่างๆ ที่รออยู่เบื้องหน้า!