สถานการณ์ชายแดนใต้ช่วงนี้ย้อนกลับไปเหมือนเมื่อปีแรกๆ ของความรุนแรงระลอกใหม่ที่ปะทุขึ้นหลังเหตุการณ์ปล้นปืนครั้งใหญ่ 4 มกราฯ 47
กล่าวคีอ มีเหตุร้ายเกิดขึ้นรายวัน พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบาง และผู้บริสุทธิ์ เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายรัฐติดกับดัก ใช้ความรุนแรงตอบโต้
ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงไทยทำได้เพียงแค่ตั้งรับ หนำซ้ำยังป้องกันเหตุการณ์ความไม่สงบไม่ได้ ทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน
โดยเฉพาะการสถาปนาความปลอดภัยและการดูแลชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานของ “รัฐ” ทั้งฝ่ายการเมืองและกลไกราชการ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห้วง 2-3 วันมานี้ ช่างดูปั่นป่วน และฝ่ายรัฐก็ “ไร้ทรง” ในการรับมือกับปัญหา
- โชเล่ย์บอมบ์ริมกำแพงแฟลตตำรวจโคกเคียน นราธิวาส โดนเด็กฮาฟิซบาดเจ็บนับสิบ
- กราดยิงชาวบ้านไทยพุทธที่แว้ง นราธิวาส ขณะนั่งจับกลุ่มล้อมวงทำกิจกรรมร่วมกัน
- สั่งเด้งผู้กำกับ สภ.โคกเคียน แบบค้านสายตาชาวบ้าน ฯลฯ
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความไร้ยุทธศาสตร์ และไร้ทิศทางอย่างชัดเจนในบริบทไฟใต้ของ “รัฐไทย”
ทุกอย่างทำให้ดูประหนึ่งว่า 21 ปีที่ผ่านมา กับงบประมาณ 5 แสนล้าน 10 รัฐบาล ถูกละลายหายไปอย่างสูญเปล่า
- พื้นที่ไม่ได้ปลอดภัยขึ้น
- ชายแดนใต้ไม่ได้เจริญขึ้น
- ความยากจนไม่ได้ลดลง
- ประชาชนไม่ได้รักเจ้าหน้าที่ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ได้รู้สึกดีกับ “รัฐไทย” มากขึันเท่าไรเลย
คำถามคือเราจะเอาอย่างไรกันต่อไป เราจะปล่อยกันไปแบบนี้หรือ
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง เขียนบทความอย่างตรงไปตรงมา วิพากษ์รัฐไทย ฝ่ายความมั่นคงไทย และฝ่ายการเมืองอย่างรัฐบาลเพื่อไทย ในบริบทอันเจ็บช้ำ...
ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ในวันที่ไร้ยุทธศาสตร์!
@@ The Sound of Silence: ยุทธศาสตร์แห่งความเงียบงันในภาคใต้
นับตั้งแต่การขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย จากสมัยของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน สู่สมัยของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร นโยบายด้านความมั่นคงดูจะได้รับการให้ความสำคัญไม่มากนัก หรือดูจะเป็นประเด็นที่ถูก “ทิ้งหาย” ไปอย่างน่าแปลกใจ จนดูเหมือนนโยบายความมั่นคงของรัฐบาลปัจจุบัน ดำเนินไปบน “ยุทธศาสตร์แห่งความเงียบงัน” โดยเฉพาะในกรณีของปัญหาภาคใต้
ดังนั้นจึงกลายเป็นความคาดหวังอย่างมาก เมื่อเกิดการเดินทางเยือนไทยของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม เพื่อพบกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และพบกับนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่กรุงเทพฯ
แต่ทุกคนทราบกันดีว่า การเดินทางดังกล่าวเป็นความพยายามของประธานอาเซียนในการแก้ปัญหาสงครามในเมียนมา ดังจะเห็นถึงการเดินทางเยือนกรุงเทพฯ ของ พลเอกอาวุโส มินอ่องลาย
ฉะนั้น ในขณะที่มีการคุยเพื่อคลี่คลายปัญหาเมียนมานั้น จึงได้มีคำถามอย่างมากในสังคมไทยว่า แล้วผู้นำของทั้ง 2 ประเทศจะดำเนินการอย่างไรกับปัญหาสงครามใน 3 จังหวัดภาคใต้ไทย
แน่นอนว่า ไม่มีใครตอบได้ว่า นายกรัฐมนตรีทั้งไทยและมาเลเซียได้คุยกันในประเด็นภาคใต้อย่างไร แต่บทความนี้ จะอยากขอตั้งข้อสังเกตในภาพรวมทางยุทธศาสตร์ของปัญหาภาคใต้ไทย 16 ประการ ดังนี้
1.ไม่ว่าจะเกิดอะไรในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาในระดับของฝ่ายรัฐบาล ขบวนการติดอาวุธของ BRN ยังคงรักษาทิศทางทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการต่อสู้กับรัฐไทยอย่างไม่เปลี่ยนแปลง คือ “คุยไป-ฆ่าไป และ ฆ่าไป-คุยไป”
2.ทิศทางของ BRN จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ เพราะเชื่อว่า การกระทำในลักษณะนี้สร้างความได้เปรียบเหนือฝ่ายรัฐ และสร้างความกลัวเหนือชุมชนคนพุทธและมุสลิม
3.นับจากรัฐบาลเศรษฐาต่อเข้ารัฐบาลแพทองธาร ไม่มีความชัดเจนว่านโยบายและ/หรือยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัฐไทยในภาคใต้คืออะไร และต้องการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาไปในทิศทางใด
4.ฝ่ายการเมืองที่รับผิดชอบงานความมั่นคงมีคำตอบแต่เพียงว่า “รอการปรับยุทธศาสตร์” จากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่า การรอเช่นนี้มีมติของกรอบเวลาเป็นเวลาอีกนานเท่าใด
5.การที่ฝ่ายการเมืองตอบถึงการ “รอยุทธศาสตร์ สมช.” จึงเป็นเสมือนการโอนงานในการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายการเมืองควรจะมีบทนำ ให้ไปเป็นหน้าที่ของ สมช.แทน จนถูกมองว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “ยุทธศาสตร์ราชการ” ในบริบทแบบ “รัฐราชการไทย” ไม่ต่างยุครัฐบาลทหาร
6.การมอบให้กลไกรัฐราชการเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจกระบวนการทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายการเมืองเท่านั้น แต่กำลังสะท้อนอย่างมีนัยสำคัญว่า ฝ่ายการเมืองไม่มีทั้งความรู้และความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
7.ถ้าฝ่ายการเมืองไม่สามารถทำหน้าที่ของการเป็นผู้กำหนดนโยบายทางยุทธศาสตร์แล้ว ผู้มีตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องรับผิดชอบงานดังกล่าวจะกลายเป็นเพียง “กลไกราชการ” และจะไม่มีสถานะที่จะเป็นผู้ควบคุมกลไกราชการในกระบวนการทำนโยบายได้อีกต่อไป หรือหมดสภาพของการเป็น “ฝ่ายนำ” ในเชิงนโยบาย คือเป็นเพียง “ฝ่ายตาม” ในระบบราชการเท่านั้น
แม้ว่าฝ่ายการเมืองจะออกมาประกาศว่า ในยุคของรัฐบาลแพทองธารจะมี “นโยบายใหม่” เรื่องภาคใต้ก็ตาม ซึ่งไม่ชัดเจนว่า ความใหม่นี้คืออะไร
8.ในสภาวะเช่นนี้ เช่นที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันคือ การสร้างความสับสนในเชิงนโยบาย เพราะมีคำประกาศ “เขตปกครองพิเศษ” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และการจัด “สมช. ทัวร์” ที่พานายทหารชั้นผู้ใหญ่ในฝ่ายการเมืองลงพื้นที่ อันทำให้เกิดการตีความของสัญญาณทางการเมืองอย่างมากจากกรณีทั้งสอง
9.ในปีที่ 21 ย่างเข้าปีที่ 22 ของสงครามก่อความไม่สงบในภาคใต้ หลายฝ่ายมีความคาดหวังถึงการปรับตัวทางยุทธศาสตร์ของรัฐไทย แต่จนถึงวันนี้ ภาพที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับ “รัฐไทยแต่งตัวไม่เสร็จ” … ถ้าเป็นลิเก ก็ไม่ต่างจาก “ออกแขก” ไม่จบ ขณะที่ BRN รักษาความมุ่งมั่นในการก่อการร้ายเสมอต้นเสมอปลาย
10.การก่อเหตุร้ายของ BRN มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น เพราะเชื่อว่าการก่อความรุนแรงเป็นการสร้าง “กับดักทางยุทธวิธี” ที่หวังว่ารัฐไทยจะเข้ามาติดกับดัก ด้วยการตอบโต้ด้วยความรุนแรง เพื่อที่พวกเขาและบรรดาแนวร่วมจะนำไปใช้ในการโฆษณาทางการเมือง
11.BRN ยังสร้างความได้เปรียบผ่าน “กระบวนการบ่มเพาะความรุนแรง” ที่หว่าน “เมล็ดพันธุ์ใหม่” ของความรุนแรงในหมู่เยาวชนอย่างไม่หยุดยั้ง ประเด็นนี้เป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจ และคิดแก้ไข
12.ในช่วงที่ผ่านมา BRN มองว่า ขบวนติดอาวุธของพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างแนวร่วมกับองค์กรในระบบการเมืองไทย จนสามารถกล่าวชื่นชม “มือสังหาร” ของ BRN ในรัฐสภาไทย โดยไม่มีเสียงแย้ง หรือคำค้านในรัฐสภาแต่อย่างใด (กรณี นายมะรอโซ จันทรวดี ที่ก่อเหตุสังหารมาแล้ว 38 ศพ และมีคดีติดตัว 35 คดี แต่ถูกวิสามัญฯในเวลาต่อมา … ในยุคสงคราม พคท. ยังไม่เคยมีใครกล้ากล่าวเช่นนี้มาก่อนเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงงานแนวร่วมของขบวนแบ่งแยกดินแดนในปัจจุบันอย่างน่ากังวล)
13.วันนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องอ้างอิงข้อมูลข่าวกรองในทางปิดว่า ขบวนติดอาวุธ BRN มีพื้นที่แนวหลัง ที่เป็นดัง “ฐานที่มั่นหลัก” อยู่ในภาคเหนือของมาเลเซียที่รัฐกลันตัน และขบวนนี้มี “ความสัมพันธ์พิเศษ” กับพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซีย ปัญหานี้อาจต้องนำมาเป็นประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาในอนาคต
14.การแสวงหาความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียเป็นความจำเป็นในการแก้ปัญหา และต้องชักชวนให้ฝ่ายมาเลเซียมองเห็นประโยชน์ของความสัมพันธ์ในอนาคตที่ไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาการก่อการร้ายของ BRN หรือทำลายสภาวะที่ “ปัจจัย BRN” กลายเป็นอุปสรรคของความร่วมมือของประเทศทั้ง 2 ในอนาคต
15.น่าสนใจที่ต้องติดตามว่า บทบาทของ “นายกฯ อันวาร์ - อดีตนายกฯ ทักษิณ” ในการแก้ปัญหาภาตใต้ จะดำเนินไปอย่างไรในปี 2568 นี้ เพราะวาระในฐานะประธานอาเซียนของนายกฯ อันวาร์ ที่มีอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นที่ปรึกษานั้น จะหมดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (ผู้นำฟิลิปปินส์จะเข้ารับตำแหน่งนี้ในปี 2569)
16.รัฐบาลไทยต้องตระหนักและเข้าใจในมิติความมั่นคงว่า การไม่แสดงออกในเชิงนโยบาย หรือการอยู่ด้วย “ความเงียบงัน” กำลังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาวะการถดถอยของอำนาจรัฐในพื้นที่
@@ ท้ายบท
ทั้งหมดนี้ เป็นการนำเสนอในภาพรวมของปัญหาภาคใต้ปัจจุบัน ซึ่งคำถามสำคัญคือ จะหาทางทำอย่างไรที่จะปลุกให้ฝ่ายการเมืองไทย “ตื่นจากภวังค์” เพื่อหาทางพาการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ไทยให้หลุดออกจาก “ยุทธศาสตร์แห่งความเงียบงัน” เสียที
หรือว่าในทางกลับกัน เราจะต้องฟังเพลง “The Sound of Silence” ในภาคใต้ไปอีกนานเท่าใด !!!