คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมกลุ่ม BRN ซึ่งเป็นขบวนการติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จึงก่อเหตุรุนแรงได้ไม่หยุด และไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะเรื่องของการ “สูญเสียมวลชน”
ทั้งๆ ที่การก่อเหตุในหลายๆ ครั้งของพวกเขา ก่อผลกระทบกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิงท้อง ครู นักเรียน หรือแม้แต่พระ เณร
ถือเป็นการสวนทางทฤษฎี “สงครามแย่งชิงมวลชน” ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้ของ “กลุ่มขบวนการที่ไม่ใช่รัฐ” อย่างชัดแจ้ง
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง เขียนบทความอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ โดยเรียกพฤติกรรมนี้ของ BRN ว่า “ความเหิมเกริมในภาคใต้” ซึ่งก็คือ ความเหิมเกริมของ BRN นั่นเอง โดยอาจารย์ถอดรหัสว่า มาจาก 4 ปัจจัยที่เกื้อหนุน BRN จนทำให้ก่อเหตุได้อย่างเสรี ไม่สนใจผลกระทบใดๆ
@@ “ความเหิมเกริม” ในภาคใต้ !
สถานการณ์ความรุนแรงจากการก่อเหตุร้ายของกลุ่ม BRN อย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้สะท้อนอะไรมากไปกว่า “ความเหิมเกริม” ของขบวนติดอาวุธที่แอบอิงอยู่กับเรื่องของศาสนาและชาติพันธุ์
ความเหิมเกริมเช่นนี้ดูจะทวีมากขึ้น จนอยากจะขอตั้งข้อสังเกตถึงปัจจัยต่างๆ ที่เป็นดัง “สารตั้งต้น” ที่ทำให้บรรดาผู้ก่อเหตุเหล่านี้ สามารถปฏิบัติการได้ในแบบที่ไม่ต้องคิดถึง “ผลเสีย” ในทางการเมืองอีกเลย
หากเราพิจารณาจำแนกปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความเหิมเกริมของ BRN แล้ว เราจะเห็นปัญหาพื้นฐานของสงครามในภาคใต้ไทย ดังนี้
1.ปัจจัยสงครามกองโจร - หากพิจารณาถึงสถานภาพสงครามในภาคใต้แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า กลุ่ม BRN ใช้ปฏิบัติการแบบกองโจรเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจทางทหารของฝ่ายตน ซึ่งมีองค์ประกอบ คือ
- การรบแบบกองโจรด้วยการก่อการร้าย และการเข้าตีแบบโฉบฉวย ซึ่งทำให้เจ้าหน้ารัฐติดตามจับกุมได้ยาก อีกทั้งไม่ใช่สงครามที่ปรากฏรูปที่ชัดเจน
- ความชำนาญภูมิประเทศในการหลบหนี เป็นหัวใจหลักของสงครามนอกแบบประการหนึ่ง ประกอบกับเงื่อนไขของพื้นที่ที่มีความเป็นชนบทและป่าเขา จึงสามารถใช้เป็นทั้งเส้นทางการเข้าตีที่ดี และเป็นเส้นทางการหลบหนีที่ง่าย
- ความสนับสนุนของมวลชนในท้องถิ่น ปัจจัยนี้เป็นอีกส่วนที่สำคัญ เพราะสงครามกองโจรไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือในชนบท จะดำเนินไปไม่ได้ หากปราศจากความสนับสนุนของมวลชน
ผลสืบเนื่อง - ไม่ว่าสมาชิก BRN กระทำการ “ชั่วร้าย” อย่างไร ก็มักรอดพ้นจากการถูกจับกุมได้เสมอ หรือที่เคยมีนักวิชาการต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า ทหารไทยรบกับ “ผี” ในภาคใต้ เพราะอาศัยความชำนาญพื้นที่และมีมวลชนคอยช่วยเหลือในการหลบหนี
2.ปัจจัยสงครามแนวร่วม - งานแนวร่วมเป็นพื้นฐานของสงครามก่อความไม่สงบ ถ้าไม่มีแนวร่วมแล้ว ขบวนการติดอาวุธจะขยายงานออกไปไม่ได้จริง ดังนั้น BRN จึงสร้างแนวร่วมใน 3 ส่วนหลัก คือ
- แนวร่วมองค์กรการเมือง อาจจะต้องยอมรับว่า BRN ประสบความสำเร็จมากกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในการขยายงานแนวร่วมกับองค์กรในภาคการเมือง ซึ่งจะทำให้ข้อเรียกร้องและการโฆษณาชวนเชื่อในการแบ่งแยกดินแดนถูกนำมาเสนอในรัฐสภาไทย หรือมีการกล่าวยกย่องเชิดชูสมาชิก BRN ที่ฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แต่กลับถูกนำเสนอให้เป็น “วีรบุรุษ” ในรัฐสภาผ่านพรรคการเมืองบางพรรค โดยไม่มีเสียงค้าน
- แนวร่วมองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรในส่วนนี้มักมีทัศนคติเชิงลบกับรัฐ และมองฝ่ายต่อต้านด้วยการ “ยกย่อง” จึงพร้อมที่จะสร้างทฤษฎี หรือวาทกรรมในการ “แก้ตัว” ให้กับการก่อการร้ายเสมอ และองค์กรนี้มีทั้งภายนอกและภายในประเทศ
- แนวร่วมสื่อ ปัจจัยสื่อเป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะสื่อสร้างอิทธิพลทางความคิดให้กับคนในสังคมได้มาก สื่อหลายส่วนรับ “วาทกรรมและเรื่องเล่า” ของการแบ่งแยกดินแดน จนสื่อบางส่วนกลายเป็น “กระบอกเสียง” ของการแบ่งแยกดินแดนไปอย่างน่าตกใจ หรือแม้กระทั่งมีทีวีบางช่องหรือนักข่าวบางคนออกมาปกป้องโจร
ผลสืบเนื่อง - สมาชิก BRN กระทำการอย่างไรก็ได้ จะมีคน/กลุ่มคน/องค์กรออกมาปกป้องให้เสมอ เสมือนหนึ่ง BRN ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะรัฐเท่านั้นที่ผิด ฉะนั้น พวกแนวร่วมจึงพร้อมที่ร่วมเชิดชู “วีรกรรมโจร” ได้เสมอ
3.ปัจจัยแนวหลังสงคราม - การทำสงครามต่อต้านรัฐจะดำเนินการไม่ได้โดยไม่มี “แนวหลัง” ให้เป็นที่หลบภัย
- การมีฐานที่มั่นที่ปลอดภัยในแนวหลัง อันเป็นเสมือนฐานที่มั่นแข็งแรง สำหรับหลบภัยจากการติดตามจับกุมของรัฐไทย
- การได้รับการสนับสนุนทางการเงิน การต่อต้านรัฐจะไปต่อไม่ได้เลยโดยไม่มีเงินสนับสนุน การสนับสนุนทางการเงินที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญ ไม่มีการก่อการร้าย/การก่อความไม่สงบที่ใดในโลกที่ดำเนินการไปได้โดยปราศจากการสนับสนุนทางการเงิน
- การได้รับการฝึกจากภายนอก แนวหลังนอกจากจะเป็นที่พักพิงแล้ว จะเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้ในการฝึกอาวุธ ซึ่งพื้นที่นี้มักจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวพรมแดนติดต่อกัน ซึ่งสะดวกในการข้ามพรมแดนมาปฏิบัติการในประเทศเป้าหมาย
ผลสืบเนื่อง - สมาชิก BRN มีสถานที่พักเป็นดัง “สวรรค์ที่ปลอดภัย” (safe haven) เสมอ เพราะอำนาจรัฐไทยเอื้อมมือเข้าไปไม่ได้ หรือเอื้อมเข้าไปไม่ถึง
4.ปัจจัยเสริมพลังสงคราม นอกเหนือจากธรรมชาติสงคราม แนวร่วม และแนวหลังสงครามแล้ว ยังมีปัจจัยที่เป็น “พลังเสริม” ในการสร้างขบวนการต่อต้านรัฐอีก ได้แก่
- การขยายการบ่มเพาะ ซึ่งขบวนการนี้ดำเนินไปด้วยการประกอบสร้างประวัติศาสตร์ เรื่องบอกเล่า และวาทกรรม เพื่อสร้างความเชื่อเรื่องการถูกกดขี่ และถูกปราบปราม เพื่อให้เกิดอารมณ์ร่วมในการต่อต้านรัฐ
- การขยายมวลชน การบ่มเพาะที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป้าหมาย มุ่งที่จะสร้างและขยายมวลชนเพื่อสนับสนุนการทำสงครามต่อต้านรัฐ เพราะถ้าไม่บ่มเพาะความรุนแรง ก็จะสร้าง “เมล็ดพันธุ์ความรุนแรง” ต่อไปไม่ได้
- การขยายกองกำลัง เมื่อกระบวนการบ่มเพาะเริ่มทำงานได้จริงแล้ว ก็จะทำให้เกิดการขยายจำนวนกองกำลัง เพราะกองกำลังถูกสร้างจากการการปลุกระดมผ่านกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรง
ผลสืบเนื่อง - เมื่อ BRN มีปัจจัยที่เป็นพลังเสริม จึงทำให้ขบวนการสามารถขับเคลื่อนความรุนแรงได้ไม่หยุด
@@ ปฏิบัติการด้วยความเหิมเกริมยิ่ง!
จากปัจจัยต่างๆ ทั้ง 4 ประการเข้ามาผสมผสานกันดังที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ให้คำตอบแก่เราอย่างชัดเจนว่า BRN สามารถปฏิบัติการใช้อาวุธด้วยความ “เหิมเกริม” อย่างยิ่ง เพราะพวกเขา “ฆ่า” โดยไม่ต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น
และวันนี้ดูจะเหิมเกริมมากขึ้น จนถึงขั้นคนที่มีตำแหน่งในองค์กรการเมืองในระดับชาติ กล้าที่จะยกย่อง นายมะรอโซ จันทรวดี “มือสังหาร” ของ BRN (ฆ่ามาแล้ว 38 ศพ) กลางรัฐสภาของรัฐไทยอย่างไม่น่าเชื่อ … เหิมเกริมยิ่งบนความอ่อนแอของรัฐไทย!