
ปฏิบัติการไล่ล่า “เป้าหมายอ่อนแอ - เปราะบาง” ของกลุ่มก่อความไม่สงบชายแดนใต้ มีนัยต่อภาพสถานการณ์มากกว่าการสร้าง “อาณาจักรแห่งความกลัว”
ศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง วิเคราะห์ว่า ยุทธวิธี “โจมตีแบบไม่จำแนกเหยื่อ” นำมาสู่การใช้ “ลัทธิสุดโต่ง” กดดันข่มขู่รัฐไทยให้เปิดการเจรจา
โดยคำตอบสุดท้ายเรื่อง “เขตปกครองพิเศษ - เขตปกครองตนเอง” เป็นเพียงสินค้าทางการเมืองหลอกขาย ท่ามกลางเสียงเชียร์จาก “สำนักข่าว BRN” ซึ่งมีแนวร่วมทั้งจากเอ็นจีโอ ภาคประชาสังคม และสมาชิกรัฐสภาไทยที่ยังรับเงินเดือนจากประเทศไทยอยู่
ปลายทางหากรัฐไทยเสียท่า แก้ปัญหาไม่ได้ อาจต้องเจอ “รัฐสุดโต่ง” แห่งใหม่ที่จะก่อปัญหาให้กับทั้งไทย และประเทศรอบบ้านแถบนี้ทั้งหมด
ทางออกของปัญหานี้คืออะไร และรัฐไทยควรเริ่มต้นจากตรงไหน
อ่านได้ในบทความล่าสุดของ อาจารย์สุรชาติ โดยพลัน!
@@ “ฆ่าไม่จบ-ฆ่าไม่หยุด” ในภาคใต้ @@
สำหรับคนที่สนใจติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดูจะเป็นวันแห่งความเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ถูกสังหารรายแรกของวันนั้น เป็นคุณยายวัย 76 ปี ที่ตาบอดทั้ง 2 ข้าง (ผู้เสียชีวิตนอนกอดไม้เท้าช่วยเดินอยู่ข้างกาย) และบุตรชายที่มีอาการพิการทางสมอง แต่พยายามพาผู้เป็นแม่ที่ตาบอดไปหาหมอ ถูกยิงบาดเจ็บ
ผู้ถูกสังหารรายต่อมาเป็นคุณลุงอายุ 70 ปี รายต่อมาเป็นเด็กหญิงอายุ 9 ขวบและคนในครอบครัว ถูกยิงเสียชีวิตขณะนั่งดูทีวีในบ้าน ตามมาด้วยการทำร้ายผู้บาดเจ็บอีกหลายราย
ก่อนเกิดเหตุชุดนี้ ก็มีเหตุการณ์สะเทือนใจที่สามเณรถูกยิงเสียชีวิตขณะที่โยมพ่อไปรับกลับออกมาจากวัด พร้อมพระและเณรรูปอื่นๆ
หรือความหวังในช่วง “เดือนรอมฎอน” อันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของพี่น้องมุสลิมในการถือศีลอด ทำให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พยายามนำเสนอ “รอมฎอนสันติ” แต่ผลที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงกลับกลายเป็นตรงข้าม คือเป็น “เดือนแห่งความรุนแรง” ไปอย่างหดหู่ใจ
ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หลายคนที่คุ้นเคยกับงานภาคใต้ จะรู้สึกทันทีว่า รัฐไทยกำลังกลับไปสู่วงจรของความรุนแรงหลังรัฐประหาร 2549 ที่กระแสความรุนแรงในเชิงปริมาณขยับตัวสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ดังนั้นในสภาวะเช่นในปัจจุบันนี้ เราอาจตั้งข้อสังเกตถึงกระแสความรุนแรงที่กำลังถูกยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนี้
1.ดังที่ปรากฏชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา ขบวนการติดอาวุธ BRN มีแนวโน้มไปในทางนิยมความรุนแรงมากขึ้น จนภาพลักษณ์ของขบวนดังกล่าวดูจะเปลี่ยนสภาวะของตัวเองจากการเป็น “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ไปเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
2.การก่อการร้ายของ BRN มีลักษณะเป็น “การโจมตีแบบไม่จำแนก” หรือที่ในทางทหารเรียกว่าเป็น “indiscriminate attacks” โดยไม่ยอมรับความแตกต่างระหว่างเป้าหมายอ่อนแอที่เป็นพลเรือน กับเป้าหมายทางทหาร ซึ่งสิ่งนี้เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของการก่อการร้าย
3.วันนี้ การก่อการร้ายของ BRN ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึง “ยุทธศาสตร์การทหารนำการเมือง” และถือเอาการฆ่าและการทำลายชีวิตอย่างไม่จำแนกเป็นทิศทางหลัก ทั้งเพื่อข่มขู่รัฐและคนในพื้นที่
4.แต่คู่ขนานกับการก่อความรุนแรงกับเป้าหมายต่างๆ เหล่านี้ กลุ่ม BRN ก็ยังต้องการการเปิด “โต๊ะเจรจา” เพื่อรองรับต่อสถานะทางการเมืองของตน และเพื่อผลักดันข้อเรียกร้องที่จะเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้แก่ฝ่ายตน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินการภายใต้ทิศทาง “ฆ่าไป/คุยไป คุยไป/ฆ่าไป”
5.ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า การก่อการร้ายของ BRN มีวัตถุประสงค์ปลายทางคือ “การแบ่งแยกดินแดน” ไม่ใช่การปกครองตนเองที่ถูกนำมาเสนอหน้าฉาก การปกครองตนเองจึงเป็นเพียง “วาทกรรมการเมือง” เพื่อการ “หลอกขาย” สินค้าทางการเมืองอีกชุด
6.ในทุกครั้งที่มีการก่อเหตุเกิดขึ้น เราจะได้ยินคำอธิบายจากแนวร่วม BRN ทั้งที่อยู่ในภาควิชาการ และภาคประชาสังคมว่า เป็นเพราะ “รัฐไม่ยอมเจรจา เลยต้องฆ่า” ซึ่งทำให้เกิดคำถามอย่างมากว่า คำอธิบายความรุนแรงจากบรรดาแนวร่วมเช่นนี้ มีความจริงเพียงใด
จริงหรือว่ารัฐเปิด “โต๊ะเจรจา” แล้ว การก่อการร้ายของ BRN จะยุติลง/ลดลง จนบางครั้งคำอธิบายเช่นนี้ ถูกตีความว่า BRN กำลัง “ข่มขู่รัฐ” โดยอาศัยปากของแนวร่วม ที่ทำหน้าที่เป็นดัง “สำนักข่าว BRN” ไปแล้ว
7.นอกจากเรียกร้องให้ต้องเจรจาแล้ว ถ้าเราติดตามให้ดี เราจะพบคำอธิบายอีกประการหนึ่ง คือ เป็นเพราะรัฐไทยไม่ยอมรับเอกสาร “JCPP” ที่กลุ่ม BRN โดยความสนับสนุนของ NGO ตะวันตก (ดำเนินการที่เยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์) และมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าร่วมด้วยความ “ไร้เดียงสาและอ่อนหัด”
ดังจะเห็นได้ว่า แม้เอกสารนี้ยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นกรอบการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ แต่ก็กลายเป็นสิ่งที่บรรดาแนวร่วมซึ่งทำหน้าที่เป็น “สำนักข่าว BRN” ออกมาเรียกร้องหาไม่จบ
8.การเรียกร้องให้รัฐไทยต้องยอมรับเอกสาร “JCPP” อย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้เราอาจต้องอนุมานว่า เอกสารนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่าย BRN อย่างมาก มิฉะนั้นการเรียกร้องเช่นนี้จะไม่ปรากฏชัด จนเป็นเสมือนการ “ขู่กรรโชก” รัฐไทยให้ต้องยอมพวกเขาในเรื่องนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วรัฐบาลไทย/หน่วยงานความมั่นคงไทยควรต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ไม่ใช่การไหลไปกับ “กระแส สมช.” และ “กระแสแนวร่วม”
9.BRN เชื่อว่า กลุ่มสามารถก่อเหตุร้ายอย่างใดก็ได้ หรือกระทำการอุกอาจเพียงใดก็ได้ เพราะมีบรรดาแนวร่วมคอยอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำดังกล่าวอยู่เสมอ จนเกิดสภาวะ “ความตายที่ไร้เสียง” สำหรับบรรดาเหยื่อของการก่อเหตุ
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ผู้ก่อการร้าย BRN เสียชีวิต คนเหล่านั้นจะได้รับการยกย่องถึงขั้นต้องนำมากล่าวในรัฐสภาไทย (หลังจากกล่าวยกย่องผู้ก่อการร้าย BRN และจบลงด้วยการประณามรัฐไทยแล้ว ในตอนสิ้นเดือนก็ไปรับเงินประจำตำแหน่งจากรัฐไทยอย่างน่าย้อนแย้ง!)
10.การก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ในอีกด้านหนึ่งอาจจะมาจากปัจจัยการ “เปลี่ยนเจน-เปลี่ยนทิศ” ของผู้ก่อการรุ่นใหม่ที่ถูกประกอบสร้างให้นิยมความรุนแรงมากขึ้น และเชื่อว่าความรุนแรงของการก่อเหตุจะทำให้รัฐไทยต้องแพ้ และนำไปสู่การตั้งรัฐเอกราชใหม่ อีกทั้งความรุนแรงของพวกเขาจะได้รับการปกป้องจากบรรดาแนวร่วมทั้งจากภายในและภายนอกเสมอ จึงไม่ต้องคำนึง “ภาพลบ” ที่จะเกิดขึ้น
11.การก่อเหตุรุนแรงที่มากขึ้นสะท้อนถึงกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงที่มีมากขึ้นในหมู่เยาวชนคนหนุ่มสาว และ “ลัทธิสุดโต่ง” เช่นนี้ กำลังทำลายทุกอย่างในพื้นที่ และ “ฉีก” พหุสังคมที่ชอบพูดกันจนแทบไม่เหลือ
12.สมมุติหากพวกเขาได้รับชัยชนะ ก็จะนำไปสู่การกำเนิดของ “รัฐสุดโต่ง” ที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทยเองด้วย และทั้งเป็นปัญหาอย่างมากกับพี่น้องมุสลิมเองที่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของ “ลัทธิสุดโต่ง”
13.การก่อเหตุยังมุ่งหวังที่จะทำลายความร่วมมือ “อันวาร์-ทักษิณ” ที่เป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่สำคัญของการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในภาคเหนือของมาเลเซีย เพราะพวกเขาส่วนหนึ่งกลัวแรงกดดันจากรัฐบาลมาเลเซียด้วย
14.การสร้างความรุนแรงต่อเนื่องยังหวังที่จะทำให้รัฐไทยใช้กำลังเข้าปราบปรามมากขึ้น หรือเกิด “กับดักทางยุทธวิธี” ซึ่งก็จะเข้าทางบรรดาแนวร่วมที่พร้อมจะจับรัฐไทยเป็นเป้าหมายในการโจมตี และผลักดันให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามาจัดการปัญหา เช่นในแบบกรณีติมอร์ตะวันออก อันนำไปสู่การตั้งรัฐเอกราชใหม่
15.ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐไทย ที่มีนัยถึงรัฐบาลไทย และองคาพยพของความเป็นรัฐไทยทั้งหมด จะต้องคุยและกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นจริงเป็นจังมากกว่านี้
หรือว่า เราจะต้องรอ “ยุทธศาสตร์ สมช.” ด้วยชีวิตของพี่น้องชาวพุทธอีกกี่ศพ ด้วยชีวิตพี่น้องมุสลิมสายกลางอีกกี่ศพ และด้วยชีวิตของเจ้าหน้าที่อีกกี่ศพ จึงจะทำให้เกิดการเริ่มต้นอย่างแท้จริง …
การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่การเล่น “ลิเก” ที่ออกแขกไม่จบ หรือเป็น “โนราห์” ที่แต่งตัวไม่เสร็จ เพราะสำหรับ BRN แล้ว พวกเขามีหลักการเพียงประการเดียวคือ “ฆ่าไม่หยุด-ฆ่าไม่จบ” เพราะไม่เคยต้อง “รอออกแขก” หรือ “รอแต่งตัว” ให้เสร็จเช่นในแบบรัฐบาลไทย ที่วันนี้ “ยังรอ” ยุทธศาสตร์ สมช. ต่อไปเรื่อยๆ !
@@ ท้ายบท @@
ขอประณามการใช้ความรุนแรงอย่างไม่รับผิดชอบของ BRN!
ขอแสดงความเสียใจ และขอเป็นกำลังใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกท่าน
