การไล่ล่าชีวิตชาวบ้าน คนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธ ไม่มีศักยภาพในการป้องกันตัวเอง ซ้ำร้ายบางคนยังเป็น “กลุ่มอ่อนแอ - เปราะบาง” เช่น เด็ก ผู้หญิง คนท้อง คนชรา หรือแม้แต่คนพิการ โดยพุ่งเป้าไปที่คนนับถือศาสนาพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น
การสร้างสถานการณ์เช่นนี้มีนัยมากกว่าเป็นปฏิบัติการเพื่อตอบโต้รัฐไทย หรือฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ
แต่ อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง กำลังอธิบายว่า สิ่งที่กลุ่มติดอาวุธ BRN กระทำ สะท้อนถึงพฤติกรรมการ “ฆ่าต่อเนื่อง - ฆ่าไม่จำแนก” และอาจถึงขั้น “เจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” หนำซ้ำยังมีการฆ่า “ตัวแทนวัฒนธรรมไทย” อย่างจงใจ
ฉะนั้นเป้าหมายจึงย่อมขยายขอบเขตไปถึงการกวาดล้าง “วัฒนธรรมไทย” หรือ “คนต่างศาสนิก” ให้หมดไป เพื่อให้ดินแดนแห่งนี้เป็น “วัฒนธรรมเดี่ยว” เลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุการณ์บังคับขายที่ดิน ซึ่งโยงไปถึงเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจบนความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่ ซึ่ง อาจารย์สุรชาติ เห็นว่า รัฐบาลให้ความสนใจและใส่ใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากกว่านี้
เพราะผลผลิตที่เกิดขึ้นคือการสร้าง “ลัทธิสุดโต่ง” ในหมู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งจะทำให้ปัญหาไฟใต้แก้ยากมากขึ้นไปอีก
@@ ชีวิตและความตายของชาวพุทธ ! @@
การก่อเหตุความรุนแรงกับกลุ่มพี่น้องชาวพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นข่าวที่ปรากฏให้เห็นบนหน้าสื่อถึงความสูญเสียอย่างน่าหดหู่ใจ คู่ขนานกับภาพการเสียชีวิตและบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด
จนดูเหมือนว่าวันนี้ กลุ่ม BRN จะมีความ “ย่ามใจ” อย่างมาก และเชื่อว่าพวกเขาสามารถฆ่าคนพุทธได้เหมือนกับ “หั่นผัก-หั่นปลา” โดยไม่จำเป็นต้องมีความคิดคำนึงใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้ง ไม่ต้องคิดว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจะเป็นเช่นไร หรือจะรับผลในอนาคตอย่างไร
การฆ่าชาวพุทธเช่นนี้ อาจตั้งเป็นข้อสังเกตถึงนัยทางการเมือง ได้ดังนี้
1.การฆ่าของกลุ่ม BRN ที่เกิดมาโดยตลอดนั้น กำลังทำให้ภาพของขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลายสภาพเป็น “ฆาตกรต่อเนื่อง” (serial killers) ที่ถือเอาการฆ่าและการทำลายชีวิต โดยเฉพาะชาวพุทธ มุสลิมสายกลาง และเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเป้าหมายในตัวเอง (ใช้คำว่าเป็น “ฆาตกรต่อเนื่อง” เพราะอาวุธที่ใช้ในการยิง เป็นปืนกระบอกเดิมที่ใช้ฆ่าคนมาแล้วอย่างต่อเนื่อง)
2.การฆ่าอย่างไม่จำแนก ที่ส่วนสำคัญมุ่งเน้นกระทำกับชุมชนไทยพุทธนั้น กำลังบ่งชี้ถึงการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวพุทธในพื้นที่ หรือส่งสัญญาณถึง “การไล่คนพุทธ” ออกจากพื้นที่ให้หมด
3.การฆ่าเช่นนี้ในอีกส่วน มุ่งไปสู่เป้าหมายที่เป็นเสมือน “ตัวแทนวัฒนธรรมไทย” ในพื้นที่ เช่น พระสงฆ์ สามเณร ครู และเจ้าหน้าที่รัฐในระดับท้องถิ่นที่เป็นคนไทย (เช่น กรณีการฆ่านายกเทศมนตรี ที่รือเสาะ)
4.การดำเนินการเช่นนี้ บ่งชี้ถึงความต้องการในการ “กวาดล้าง” วัฒนธรรมไทยให้หมดไปจากพื้นที่ และผลักดันให้คนไทยพุทธต้องออกไปด้วย เพื่อบริเวณนี้เป็นพื้นที่ “เอกวัฒนธรรม” หรือภาวะวัฒนธรรมเดี่ยว
5.การดำเนินการ “กวาดล้างทางวัฒนธรรม” ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้เช่นนี้ ยังกระทำพร้อมกับการกดดันให้เกิดการขายที่ดิน และสถานที่ทำกินของชาวพุทธในหลายพื้นที่ เพื่อไม่ให้มีที่ดินที่เป็นสมบัติของชาวพุทธหลงเหลืออยู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลควรต้องเข้ามารับรู้อย่างมาก และต้องหาทางแก้ไขด่วน
6.การกระทำเช่นนี้ชี้ชัดว่า กลุ่ม BRN ไม่สนับสนุนการมี “พหุวัฒนธรรม” ในพื้นที่แต่อย่างใด ขณะที่ฝ่ายแนวร่วมของ BRN ที่อยู่ในภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในเวทีการเมืองระดับชาติ มักจะชอบโจมตีว่ารัฐบาลไทยไม่ยอมรับความเป็นพหุวัฒนธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง รัฐบาลไทยให้ความสนับสนุนในเรื่องนี้อย่างมาก เช่น การให้เงินอุดหนุนโรงเรียนปอเนาะ ขณะที่โรงเรียนพุทธไม่ได้รับ เป็นต้น
7.หลายพื้นที่ไม่ใช่มีเฉพาะคนไทยพุทธ และมุสลิม หากยังมีพี่น้องชาวคริสต์อาศัยอยู่ด้วย เช่น ที่จังหวัดปัตตานี อันเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่เดิมในประวัติศาสตร์ ดินแดนส่วนนี้มิใช่เป็นพื้นที่แบบเอกวัฒนธรรมตามที่ BRN และบรรดาแนวร่วมบางส่วนต้องการสร้างให้เกิดแต่อย่างใด
8.การคิดเรื่องการสร้างระบบป้องกันชุมชนไทยพุทธ อาจต้องถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และต้องคิดด้วยความจริงจังเพื่อที่จะสามารถป้องกันและรักษาชีวิตของพี่น้องไทยพุทธในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เพราะทุกวันนี้นอกจากจะต้องรักษาชีวิตตนเองแล้ว คนพุทธต่างหากที่เป็น “พลเมืองชั้น 2” ที่ถูกรัฐทิ้งอย่างไม่สนใจเท่าที่ควร
9.รัฐบาลควรจะต้องให้ความสนใจและดูแลในเรื่องของขวัญกำลังใจ และการป้องกันรักษาชีวิตของเจ้าหน้าที่ในสนามที่ตกเป็นเป้าหมายของมือสังหาร BRN ในการฆ่าไม่หยุด เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยกับศาสนิกทุกความเชื่อ เพราะความปลอดภัยเป็นเรื่องของคนทุกศาสนา เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตได้ตามปกติ และมีเสรีภาพในการประกอบศาสนกิจตามความเชื่อของตนได้ตามปกติด้วย
10.รัฐบาลควรต้องให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น และฝ่ายการเมืองที่รับผิดชอบงานความมั่นคง ควรต้องแสดงบทบาทให้มากขึ้น (แอ็คทีฟมากขึ้น) อย่างน้อยเพื่อเป็นหลักประกันว่า รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งไทยพุทธในพื้นที่
11.การกล่าวเน้นถึงความสูญเสียของชุมชนชาวพุทธเช่นนี้ มิได้มีนัยถึงความต้องการให้เกิดความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ (ethnic conflict) เพราะความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งที่กลุ่ม BRN ต้องการ เพื่อที่จะให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมีภาพของความขัดแย้งเช่นนั้น อันจะเป็นปัจจัยในการดึงตัวแสดงระหว่างประเทศเข้ามาในการ “รักษาสันติภาพ” ของพื้นที่ความขัดแย้ง อันจะเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การตั้งรัฐเอกราชใหม่ (หรืออาจเรียกว่าเป็น “ติมอร์โมเดล” ที่จบลงด้วยการตั้งประเทศติมอร์ตะวันออก)
12.ในการฆ่าชาวพุทธแต่ละครั้ง จะมีการสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่า มีชาวมุสลิมเสียชีวิต พวกเขาจึง “อ้างสิทธิ์” ในการสังหารชาวพุทธ จากการเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งมีคำถามทั้งในทางกฎหมาย ศาสนา และศีลธรรมว่า “สิทธิในการฆ่า” เช่นนี้ ใครเป็นผู้มอบให้ BRN และทำไม BRN จึงมีสิทธิที่จะกล่าวอ้างเช่นนี้โดยไม่มีพันธะหรือความรับผิดชอบใดๆ ในการทำลายชีวิตผู้อื่นที่ไม่ได้มีความโกรธแค้นกันมาก่อน แต่ฆ่าเพียงเพราะเป้าหมายเป็น “ชาวพุทธ” ที่ต้องขจัดออกไป
14.นอกจากความสูญเสียของชาวพุทธและเจ้าหน้าที่แล้ว การสังหารชาวมุสลิมที่เป็นพวกสายกลางที่ไม่ตอบรับกับ BRN หรือเป็นมุสลิมที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เป็นเหยื่ออีกส่วนของการฆ่าที่เกิดขึ้น แต่ BRN ก็มีข้ออ้างเสมอว่า พี่น้องมุสลิมเหล่านี้ทำงานให้ฝ่ายตรงข้าม คือ ทำงานให้ประเทศไทย ทั้งที่พวกเขาคือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นเจ้าหน้าที่ราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ จึงกลายเป็นเป้าหมายในการทำลายชีวิตด้วย
15.BRN ออกแถลงการณ์ในกรณีการฆ่าที่เกิดขึ้น ด้วยการแสดงความเสียใจ แต่ก็มิได้มีการกล่าวคำ “ขอโทษ” แต่อย่างใด หรือพวกเขายังยืนยัน “สิทธิในการฆ่า” คนพุทธว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งผิดที่ต้องขอโทษ
16.ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการก่อเหตุ และกระบวนการนี้กำลังสร้างให้สมาชิกรุ่นใหม่ของ BRN เป็นพวก “ลัทธิสุดโต่ง” (Extremism) มากขึ้น (ดังเช่นที่เห็นมาแล้วจากตัวแบบในตะวันออกกลาง) การยุติกระบวนการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน และเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดชุดหนึ่งในวิชาความมั่นคงศึกษาปัจจุบัน
@@ ท้ายบท @@
บทความนี้แม้จะเน้นถึงเรื่องราวของคนพุทธในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย แต่ก็มิได้เขียนขึ้นเพื่อก่อให้เกิดความแตกแยกแต่อย่างใด หากแต่ต้องการกระตุ้นเตือนให้รัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ ได้เห็นปัญหาอีกส่วนที่มักจะไม่ค่อยได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการพิจารณาปัญหาภาคใต้เท่าที่ควร ซึ่งหลายครั้ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกลายเป็น “ความตายที่ไร้เสียง” หรือบางสื่อมองว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเพียงการทำ “ไอโอ” ของหน่วยงานความมั่นคง หรือกลุ่มเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคมบางส่วนมองว่า ชาวพุทธไม่ใช่กลุ่มคนที่พวกเขาต้องให้ความสนใจ เพราะเป้าหมายการทำงานของพวกเขาไม่ได้มี “จุดเน้น” อยู่กับคนเหล่านี้
สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจและส่งแรงใจให้กับพี่น้องชาวพุทธ ชาวมุสลิม และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงอย่างไม่มีจุดจบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย … สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยยังต้องเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรมของศาสนิกต่างความเชื่อ ไม่ใช่พหุวัฒนธรรมแบบ “ไล่ฆ่าคนพุทธ” ตามคติความเชื่อของ BRN หรือตามแนวทางที่บรรดาแนวร่วม BRN พยายามประกอบสร้างขึ้นด้วยราคาชีวิตของเจ้าหน้าที่ และความตายของชาวพุทธ!