
การเปิดวงพูดคุยกับข้าราชการระดับสูงผู้รับผิดชอบปัญหาภาคใต้ของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร 2 วันติดๆ กัน คือ 8 และ 9 พ.ค.68 นั้น
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง มองว่าเป็นการสื่อสารทางการเมืองกับปัญหาภาคใต้รูปแบบหนึ่งของรัฐบาล
แม้จะยังดีที่สื่อสารออกมาบ้าง และหากต้องให้คะแนน อาจารย์ยังให้ “สอบตก”
เหตุปัจจัยมาจากทั้งความเชื่องช้า และไร้ยุทธศาสตร์ที่แน่ชัด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพี่น้องไทยพุทธ ซึ่งกลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหาที่คลี่คลายและปลดชนวนยากขึ้นทุกที
และความน่ากลัวของการมี “องค์กรสิทธิ BRN” จึงน่ากังวลว่าสถานการณ์ชายแดนใต้ของไทยจะเดินย่ำรอย “ติมอร์โมเดล” ของอินโดนีเซียหรือไม่
ขณะที่ในทางการเมือง เหตุปล้นปืนเมื่อปี 2547 คือจุดเริ่มต้นความถดถอยของรัฐบาลไทยรักไทย ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร ฉันใด เหตุรุนแรง ณ พ.ศ.2568 ก็กำลังทำให้เกิดสภาพเดียวกันกับรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ฉันนั้น
@@ การสื่อสารทางการเมืองกับปัญหาภาคใต้ @@
ภาพข่าวในวันที่ 8 พฤษภาคม ถูกเวียนออกมาเผยแพร่ในเวทีสื่อ เพื่อต้านกระแสวิจารณ์ความเป็น “รัฐอัมพาต” ของรัฐบาลนายกฯ แพรทองธาร ชินวัตร ต่อการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะภาพลักษณ์ที่เกิดในขณะที่ความรุนแรงในชายแดนภาคใต้ทวีมากขึ้น โดยมีชาวพุทธเป็นเหยื่อของการสังหารนั้น ท่าทีของรัฐบาลในการ “สื่อสารทางการเมือง” เพื่อที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดูจะมีความ “เชื่องช้า” ในการแถลงต่อสาธารณชนอย่างมาก
ความเชื่องช้าในการสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาล โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ทำให้ชุมชนไทยพุทธที่วันนี้ตกเป็นเหยื่อของการฆ่า มีความรู้สึกถึงความไม่มั่นใจในการปกป้องจากรัฐบาล เท่าๆ กับมีความหวั่นใจว่า รัฐบาลที่กรุงเทพฯ กำลังทอดทิ้งพวกเขาให้เผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยวกับการทำลายชีวิตของชาวพุทธจากบรรดาผู้สมาทานลัทธิสุดโต่งของกลุ่ม BRN
วันนี้ ถ้าบรรดาชาวพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเรียกร้องให้รัฐบาลกรุงเทพฯ ปกป้องและคุ้มครองชีวิตพวกเขาบ้าง ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
หรือหากชาวพุทธจะเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความสนใจต่อชีวิตและความปลอดภัยของพวกเขาบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะถูกตีความว่าเป็นเพียงการทำ “ไอโอ” ของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานความมั่นคง ดังเช่นสื่อที่ยืนเป็นแนวร่วม BRN มักชอบหยิบเรื่องนี้มาเป็นประเด็นโจมตี
ดังนั้น ในหลายครั้งหลายครา เรามักจะพบว่าประเด็นเรื่องของชาวพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นเพียงหัวข้อที่ตกหล่นไปจากการถกแถลง และในหลายเวลา ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องใต้พรมที่ไม่มีใครอยากหยิบยกขึ้นมาพูด
ในความเป็นจริงของสถานการณ์ เราคงต้องยอมรับความจริงว่า หัวใจของการถกแถลงปัญหาความมั่นคงภาคใต้ หนีไม่พ้นที่จะต้องรวมศูนย์อยู่กับเรื่องของพี่น้องมุสลิม ซึ่งในเชิงปริมาณนั้น เราก็อาจต้องยอมรับในข้อเท็จจริงว่า พวกเขาเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ด้วย
แต่ในอีกด้านของปัญหา มักมีเหตุการณ์หลายครั้งที่บรรดาชาวพุทธมีความรู้สึกว่า องค์กรสิทธิต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ หรืออยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตาม แทบไม่เคยสนใจต่อการตายและสิทธิมนุษยชนของชาวพุทธ จนมีคำอธิบายที่กล่าวกันในใจของบรรดาชาวพุทธที่ตกเป็นเป้าหมายในพื้นที่ว่า หน่วยงานเหล่านี้เป็น “องค์กรที่ไม่มีชาวพุทธอยู่ในหัวใจ” หรือบางทีก็เป็นดัง “องค์กรสิทธิ์ BRN” เพราะทำหน้าที่คุ้มครองสมาชิก BRN ที่เป็นผู้ก่อเหตุร้าย มากกว่าจะให้ความสำคัญกับชาวพุทธที่เป็นผู้ถูกกระทำ (ว่าที่จริงก็เพิ่งมีความสนใจขององค์กรเหล่านี้ในเหตุสูญเสียครั้งนี้เท่านั้น ทั้งที่องค์กรเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งขององคพยพรัฐไทยที่กรุงเทพฯ)
ผลที่ตามมาในหลายครั้ง การเสียชีวิตของชาวพุทธมีสภาพเป็น “การตายที่ไร้เสียง” จนเสมือนหนึ่ง ชีวิตชาวพุทธเป็น “ความไร้ค่า” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่มีการเปรียบเทียบอย่างเจ็บปวดว่า “มือสังหารของ BRN” ที่ก่อเหตุมาแล้วด้วยการฆ่า 38 ชีวิต กลับได้รับการยกย่องในรัฐสภาไทย โดยไม่มีเสียงท้วง เสียงคัดค้านเลยสักคำ จึงทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสภาต้องจดบันทึกการประชุมด้วยคำยกย่อง “นักฆ่า” คนนั้น ด้วยหรือไม่ …
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้ว จะมีใครขอแก้บันทึกการประชุมสภาในครั้งนั้นหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของรัฐในการแก้ปัญหาการก่อเหตุรุนแรงของ “ลัทธิสุดโต่ง BRN” จึงต้องหาทางที่จะทำให้พี่น้องมุสลิมในพื้นที่ยอมรับและมีความเข้าใจต่อฝ่ายรัฐ เงื่อนไขเช่นนี้จึงเป็นปัจจัยให้นโยบาย งบประมาณ และความสนใจของภาครัฐ ดูจะทุ่มไปทางพี่น้องมุสลิมเป็นสำคัญ จนหลายครั้งที่ชุมชนชาวพุทธมีความน้อยใจว่า พวกเขาต่างหากที่เป็น “พลเมืองชั้น 2” ในพื้นที่ แม้หลายคนอาจจะมองต่างมุมออกไปในประเด็นเรื่องสถานะเช่นนี้ก็ตาม
การนำเสนอเช่นที่กล่าวมาแล้วนั้น มิได้มีความประสงค์ที่จะทำให้เกิดความแตกแยกในมิติทางวัฒนธรรมที่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่น้องชาวพุทธและชาวมุสลิม บนพื้นฐานในเรื่องของ “ชาติพันธุ์-ชาตินิยม” เพราะหากเกิดสภาวะเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอนคือ ปัญหา “ความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์” (ethnic conflict) ที่จะช่วยเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้กับการก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบที่จะขยายตัวออกไป
แน่นอนว่า ภารกิจสำคัญของ BRN คือ จะต้องสร้างและขยายภาพของความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์ให้ออกไปในเวทีสากลให้ได้มากที่สุด เพราะภาพเช่นนี้จะถูกนำไปใช้เป็นข้อเรียกร้องให้รัฐและองค์กรระหว่างประเทศต้องเข้าแทรกแซง และการแทรกแซงจากต่างประเทศจะกลายเป็นความชอบธรรมในตัวเองทันทีจากภาพของความขัดแย้งในบริบทเช่นนั้น …
วันนี้ สิ่งที่ BRN ประสงค์ที่จะให้เกิดมากที่สุด พร้อมกับการประกอบสร้างและนำเสนอของบรรดาแนวร่วมทั้งที่อยู่ในพื้นที่ และอยู่ในองค์กรการเมืองที่กรุงเทพฯ ว่า คนในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวอยู่ภายใต้ “การปราบปราม” ของรัฐไทย จึงทำให้กลุ่ม BRN มีความชอบธรรมในการเรียกร้องรัฐเอกราช และอาจมีนัยรวมถึงมีความชอบธรรมในการทำลายชีวิตของคนพุทธในพื้นที่ด้วย
ความพยายามที่จะสร้างภาพเช่นนี้ให้เกิดเป็นปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จึงอาจเทียบเคียงได้กับ “ติมอร์โมเดล” ที่รัฐบาลอินโดนีเซียได้เคยเผชิญมาแล้ว จนพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด และนำไปสู่การตั้งรัฐเอกราชติมอร์ตะวันออก
ดังนั้น แม้รัฐบาลดูจะช้าอย่างมากกับการขยับตัว ที่เราเพิ่งจะได้เห็นภาพของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการพบกับผู้บัญชาการทหารบกที่แต่งกายด้วยชุดฝึกมาที่ทำเนียบรัฐบาล แน่นอนว่า ภาพนี้อาจจะพอช่วยคลายภาพความเป็น “รัฐอัมพาต” ในงานความมั่นคงลงได้บ้างสักหน่อย (ก็คงไม่ว่ากัน เพราะคงหวังอะไรไม่ได้มากกว่านี้!)
… ดีใจมากที่ ผบ.ทบ. ไม่แต่งชุดเขียวปกติมาทำเนียบฯ ในยามนี้ เท่าๆ กับดีใจมากที่นายกฯ และรองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ไม่แต่งชุด “soft power” แบบ “เว่อร์วังฟุ้งฟิ้ง” มาคุยกับ ผบ. ทบ. ในเรื่องของเหตุการณ์ความมั่นคงภาคใต้ เพราะถ้าแต่งเช่นนั้นแล้ว จะเป็นการสื่อสารทางการเมืองอย่างอ่อนด้อยในยามที่พี่น้องชาวพุทธกำลังเสียขวัญเช่นในปัจจุบัน
กระนั้น ก็มีเสียงวิจารณ์ถึงสาระที่ผู้นำรัฐบาลพยายามสื่อสารออกมาในการพบครั้งนี้ว่า เป็นเพียงการใช้คำปกติในทางราชการ เช่น บูรณาการ ทำงานเชิงรับและรุก ร่วมมือกับทุกภาคส่วน และอื่นๆ
แต่กลับไม่ปรากฏสิ่งที่รัฐบาลควรจะบอกกับผู้นำทหารที่ถูกเรียกให้มาพบแต่อย่างใด คือ “ยุทธศาสตร์ภาคใต้” เพราะถ้ามีสิ่งที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์” จริงๆ แล้ว คำสั่งจากรัฐบาลในการสื่อสารทางการเมืองกับหน่วยราชการที่มีภารกิจใน 3 จังหวัดทั้งหมด และกับสังคมที่ติดตามข่าวสาร จะเหลือเพียงประโยคเดียวเท่านั้น คือ ให้ทุกหน่วยราชการ “ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์อย่างเคร่งครัดให้สัมฤทธิ์ผล” เท่านั้น การสื่อสารเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ขออนุญาตกล่าวปิดท้ายสักนิดว่า ถ้าคิดในแง่ของการสื่อสารทางการเมืองกับการแก้ปัญหา “วิกฤตฆ่าไทยพุทธ” แล้ว ภาพนี้จะ “สวยงาม” ทางการเมืองอย่างมาก ถ้าภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่ศาลากลางจังหวัดปัตตานี หรืออย่างน้อยเป็นภาพที่อำเภอหาดใหญ่ที่ค่ายคอหงส์ เพื่อแสดงให้เห็นถึง “ความเอาจริงเอาจัง” ของรัฐบาลในการดูแลพี่น้องไทยพุทธ ที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดหวั่นใจในแต่ละวันว่า “ใครจะเป็นศพรายต่อไป” !
ปล: บทความนี้มิได้มุ่งประสงค์ที่จะวิจารณ์โจมตีรัฐบาล แต่อยากเห็นการปรับตัวของรัฐบาลในการทำงานความมั่นคงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอยากให้ตระหนักเสมอว่า ปัญหาความมั่นคงจากการปล้นปืนในคืนวันที่ 4 มกราคม 2547 คือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญของการถดถอยของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในครั้งนั้น !
