
กว่า 21 ปีที่รัฐไทยในเกือบทุกองคาพยพต้องเผชิญหน้ากับ BRN ในบริบทปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นการต่อสู้ระหว่าง “รัฐ” ซึ่งถึงพร้อมด้วยกำลังพล อาวุธ งบประมาณ กับกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบที่อ้างอุดมการณ์หรือเป้าหมายปลดปล่อย “ดินแดนปัตตานี” ที่เรียกกันว่า “ปาตานี” เพื่อสถาปนารัฐใหม่ พูดง่ายๆ คือต้องการ “แยกดินแดน” นั่นเอง
หากมองในมิติสงคราม ต้องบอกว่านี่คือ “สงครามอสมมาตร” ที่ไม่น่ายืดเยื้อยาวนานขนาดนี้ เพราะเปรียบเทียบกันทุกปัจจัย เงื่อนไขในทางกายภาพแล้ว ฝ่าย BRN ไม่มีทางสู้ได้เลย
แต่เชื่อหรือไม่ ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า BRN กำลังได้เปรียบรัฐไทยเกือบทุกประตู
และนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ BRN ปฏิบัติการความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างเสรี โดยเฉพาะการทำลายชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ นักบวชในศาสนา หรือแม้แต่ครู หมอ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข และเผาทำลายสถานที่สำคัญ ไม่เว้นแม้กระทั่งสถานีอนามัย สวนทางการต่อสู้และการทำสงครามทั่วโลกที่พึงงดเว้นเป้าหมายเหล่านี้
ทำไม และเพราะอะไร เป็นคำถามที่สมควรต้องเร่งหาคำตอบ...
ก่อนที่จุดมุ่งหมายสุดท้ายของ BRN จะบรรลุเป็นความจริง!
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง เขียนบทความเช็คลิสต์ความได้เปรียบของ BRN พร้อมเหตุผลประกอบเอาไว้อย่างน่าสนใจ และห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
@@ ความได้เปรียบของ BRN
ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย อาจมีการจัดตั้งผ่านองค์กรในหลายส่วน แต่ต้องยอมรับว่า ขบวนในปัจจุบันอยู่ภายใต้การนำของกลุ่ม BRN ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า กลุ่ม BRN สามารถเปิดปฏิบัติการทางทหารได้อย่างมาก ดังจะเห็นได้จากรายงานของสื่อในช่วงที่ผ่านมา ถึงการก่อเหตุร้ายของสมาชิก BRN ในพื้นที่ต่างๆ
ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติการของกลุ่ม มีความ “สุดโต่ง” อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากการใช้อาวุธฆ่าคนอย่างไม่มีความยับยั้งชั่งใจ และไม่จำเป็นที่ต้องคำนึงถึง “ความเสียหายเชิงภาพลักษณ์” ใดๆ ทั้งสิ้น
การเพิ่มความรุนแรงของกลุ่มเช่นนี้ อาจจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่า พวกเขามี “ความได้เปรียบ” ในด้านต่างๆ จึงสามารถก่อเหตุร้ายได้โดยไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญถึง “ความเสียหาย” ทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
// บทสำรวจ //
บทความนี้จึงจะทดลองสำรวจความได้เปรียบของกลุ่ม BRN อย่างสังเขป ดังต่อไปนี้
1.การใช้อาวุธฆ่าคนอย่างไม่มี “ความยับยั้งชั่งใจ” ในการโจมตี เกิดจากความเชื่อมั่นว่า “เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยจับพวกเขาได้ และไม่มีทางจับได้ด้วย”
ในทางทฤษฎี สิ่งนี้เป็นผลของ “ปัจจัยความได้เปรียบทางยุทธวิธี” เนื่องจากมีมวลชนส่วนหนึ่งในพื้นที่คอยให้ความสนับสนุน ทั้งสมาชิกของกลุ่มมีความคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศที่เอื้อให้เกิดการหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว (ไม่ว่าจะเป็นการหนีขึ้นเขา หรือหนีข้ามแดนก็ตาม)
2.สภาวะความได้เปรียบทางยุทธวิธีเช่นนี้ เป็นไปตามทฤษฎีของสงครามการก่อความไม่สงบที่เห็นได้จากหลายกรณีทั่วโลก หรือไม่ได้แตกต่างไปจากยุคสงครามคอมมิวนิสต์ที่สังคมไทยเคยเผชิญมาแล้ว คือ การสนับสนุนของมวลชนในท้องถิ่น และความคุ้นเคยภูมิประเทศ อันทำให้ขีดความสามารถของฝ่ายรัฐในการควบคุมพื้นที่ เป็นปัจจัยสำคัญในการลดทอนการก่อเหตุที่เกิดขึ้น
หรือในทางกลับกัน การขยายปริมาณความรุนแรง ก็คือภาพสะท้อนโดยตรงถึงประสิทธิภาพในการควบคุมพื้นที่ของฝ่ายรัฐ
3.ความได้เปรียบอีกส่วนมาจากการทำงานการเมืองในการสร้าง “ปัจจัยแนวร่วม” ที่มีองค์กรการเมืองในระดับชาติให้ความสนับสนุนทางการเมือง จนเป็นเสมือนการเปิด “สำนักงาน BRN” ในทางการเมืองที่กรุงเทพฯ
หรือมีหน่วยงานวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคมในระดับท้องถิ่นคอยช่วยปกป้อง จนหน่วยงานวิชาการบางหน่วยดูจะกลายเป็น “สำนักข่าว BRN” คือ ใครอยากทราบว่า BRN คิดอย่างไร ให้อ่านบทสัมภาษณ์นักวิชาการจากหน่วยงานนี้
อีกทั้ง บทบาทของงานแนวร่วมระดับชาติที่สำคัญในส่วนนี้ ยังสามารถสร้างบทบาทให้เกิดการสนับสนุนทางการเมืองแก่ BRN ในรัฐสภาไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การกล่าวเชิดชู “นักฆ่า” ของ BRN ในเวทีสภาไทยได้อย่างเปิดเผย และไม่ถูกคัดค้าน
4.งานแนวร่วมของ BRN ขยายตัวอย่างมากส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงื่อนไขการเมืองแบบเสรี ที่เปิดโอกาสให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆได้มากขึ้น เห็นชัดเจนว่าแนวร่วมในบริบทเช่นนี้ขยายงานการเมืองทั้งภายในพื้นที่ ภายในเวทีการเมืองระดับชาติ และภายนอกประเทศ จนสภาวะเช่นนี้กลายเป็น “สงครามการเมือง-สงครามแนวร่วม” ให้ฝ่ายรัฐต้องขบคิดในการแก้ปัญหาอย่างจริงจังมากขึ้นในอนาคต
5.งานแนวร่วมในเวทีสากลนั้น ต้องถือเป็น “ปัจจัยความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ” เพราะสามารถทำให้กลุ่มดังกล่าวเปิดการเคลื่อนไหวในเวทีสากล หรือการเปิดเวทีโจมตีรัฐไทยในเวทีภายนอก ที่อาจก่อให้เกิดผลสะเทือนในระดับสากลได้อย่างมาก
ความได้เปรียบนี้เป็นผลจากการเชื่อมต่อระหว่าง NGOs ของประเทศยุโรปบางประเทศกับสมาชิกของกลุ่ม BRN และ NGOs เหล่านี้ได้เข้ามามีบทบาทเป็น “ครูการเมือง” ให้กับสมาชิก BRN ในการต่อสู้กับฝ่ายรัฐไทยในเวทีทางการเมือง
6.น่าสนใจอย่างมากว่า NGOs จากตะวันตกบางประเทศนั้น ให้ความช่วยเหลือและความสนับสนุนอะไรบ้างแก่กลุ่ม BRN และ NGOs ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่เหล่านี้ได้ขออนุญาต และรายงานกิจกรรมของกลุ่มให้แก่รัฐบาล สมช. และกระทรวงการต่างประเทศไทยทราบเพียงใด
เราอาจตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมได้ว่า รัฐบาลตะวันตกในประเทศที่ NGOs เหล่านี้สังกัดอยู่ กลับมีท่าทีที่เข้มงวดกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มมุสลิมสุดโต่งในประเทศตน แต่กลับมีท่าทีที่สนับสนุนกลุ่มมุสลิมสุดโต่งในไทย
ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของ Berlin Initiative ที่ดำเนินการในเยอรมนี หรือ Jeneva Call ที่ดำเนินการในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไทยควรที่จะต้องแจ้งให้รัฐบาลเจ้าของสัญชาติขององค์กร/บุคคลเหล่านี้ได้รับทราบถึงพฤติกรรมดังกล่าว
และอาจรวมถึงกรณีคนเอเชียบางประเทศที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และทำหน้าที่เป็น “กระบอกเสียง BRN”
หรือบางองค์กรอย่าง The Center for Humanitarian Dialogue ที่เรียกชื่อย่อว่า “HD” ซึ่งเข้ามามีบทบาทในหน่วยงานความมั่นคงในระดับสูงของไทยต่อการแก้ปัญหาภาคใต้อย่างไม่น่าเชื่อ
(มีเจ้าหน้าที่ไทยแปลตัวย่อ HD แบบล้อกันเล่นด้วยความขมขื่นใจว่า “HD = human death” เพราะมีท่าทีในการสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ก่อเหตุมากกว่าที่จะช่วยเหลือประเทศไทยในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง)
หรือกลายเป็นคำถามอย่างสำคัญว่า NGOs เหล่านี้ สนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทยใช่หรือไม่ และกำลังสร้างเงื่อนไขให้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกยกระดับเป็น “ปัญหาระหว่างประเทศ” ด้วยความสนับสนุนจากองค์กรเหล่านี้ด้วยหรือไม่
7.บทบาทและประสิทธิภาพของภาครัฐยังเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนนับจากปล้นปืน 2547 เป็นต้นมา จนเข้าสู่ปีที่ 22 ของการแก้ปัญหานั้น ภาครัฐก็ยังไม่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหานี้ให้ได้อย่างจริงจัง จนเหตุร้ายต่างๆที่เกิดในปี 2568 กำลังเสมือนพาเรากลับไปสู่ทิศทางการแก้ปัญหาหลังปี2547
อาจสรุปด้วย 3 คำคือ “มั่ว มึน งง” … ปี 2547 เป็นเช่นไร ปี2568 ก็ดูจะเป็นเช่นนั้น หรือเราจะเรียกสภาวะเช่นนี้ว่าเป็น “ความหลับไหลทางยุทธศาสตร์” ของรัฐไทย ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงความอ่อนด้อยของฝ่ายการเมืองเท่านั้น หากยังบ่งชี้ถึงความไร้ประสิทธิภาพของ สมช. ในกระบวนการแก้ปัญหาในระดับทางยุทธศาสตร์อีกด้วย
หรือในบางกรณี สมช. ถูกมองว่ากระทำตนเป็นแนวร่วม BRN ไปเสียเองอย่างนึกไม่ถึง เช่น การผลักดันเอกสาร JCPP ที่ทั้ง BRN และบรรดาแนวร่วมล้วนแสดงท่าทีสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมทั้งการสนับสนุนของ NGOs ตะวันตกที่ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้แก่สมาชิกของ BRN ด้วยความหวังที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบต่อฝ่ายรัฐในกระบวนการทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งจนบัดนี้ฝ่ายรัฐยังไม่สามารถกำหนดกรอบความคิดในการแก้ปัญหานี้ได้แต่อย่างใด
8.ปริมาณของการก่อเหตุที่ทะยานสูงขึ้นในปี 2568 กำลังบ่งชี้ในเชิงปริมาณว่า เราอาจกำลังถอยกลับสู่ปัญหาเชิงปริมาณเช่นในปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่มีการก่อเหตุรุนแรงสูงที่สุด
ภาวะเช่นนี้ ควรต้องถือเป็นดัง “เสียงนาฬิกาปลุก” ให้นายกฯ และรองนายกฯ ที่รับผิดชอบ ได้ตื่นจากอาการหลับไหล และหันมาสนใจปัญหาความมั่นคงให้มากขึ้น มิใช่ปล่อยให้ BRN แสดงตนฝ่ายเดียวว่า เป็น “เจ้าของอำนาจรัฐ” ใน 3 จังหวัด …
เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงตนเป็น “เจ้าของอำนาจรัฐ” ด้วยการแสดงการปกป้องและคุ้มครองประชาชนและเจ้าหน้าที่ ที่ตกเป็นเหยื่อของ BRN ใน “การฆ่าต่อเนื่อง” (serial killings) อันเป็นผลจากความได้เปรียบเช่นที่กล่าวแล้วในข้างต้น
9.ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน ไม่ใช่ “ปัญหาเชิงเดี่ยว” แต่เป็น “ปัญหาเชิงซ้อน” ที่มีทั้งเรื่องยาเสพติด ความยากจนและความไร้โอกาสทางสังคมและการศึกษา ดังเช่นที่ปรากฏมาตั้งแต่ปี 2547 และในบางครั้ง การจำแนกปัญหาอาจจำแนกออกได้ยาก แต่ปัญหาหลักที่ต้องใส่ใจ ยังคงเป็นเรื่องการก่อเหตุความรุนแรงของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ขับเคลื่อนโดย BRN
10.ปัญหาเชิงซ้อนนี้ยังถูกประกอบสร้างผ่านวาทกรรมและเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ เช่น การประดิษฐ์คำว่า “ปาตานี” เพียงเพื่อแสดงอาการไม่ยอมรับต่อความเป็นรัฐของไทยที่เรียกว่า “ปัตตานี”
คำนี้จึงถูกประกอบขึ้นเพื่อใช้สำหรับคนในขบวน และบรรดาแนวร่วม และบ่งชี้ว่า ผู้ใช้คำนี้ยอมรับการแยกดินแดนและขบวน BRN ซึ่งในปัจจุบันมีความพยายามในการนำมาใช้ในการอภิปรายในรัฐสภา เพื่อจะเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการเมืองผ่าน “วาทกรรมเชิงภาษา”
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่รัฐและสังคมไทยอาจต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้น และไม่ควรให้มีการบันทึกคำนี้ในการประชุมของรัฐสภาไทย เพราะอาจมีการนำเอาการยอมรับคำๆ นี้ในเวทีรัฐสภาไทย ไปใช้เป็นประเด็นในการสร้างความได้เปรียบทางการเมืองในเวทีสากล
11.รัฐและสังคมไทยอาจต้องทำความเข้าใจว่า การเจรจาเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการแก้ปัญหา แต่การจะยุติความรุนแรงได้จริง จะต้องทำให้เกิดการ “ปลดอาวุธทางความคิด” จากขบวนการนิยมความรุนแรงนี้ให้ได้
เพราะในความเป็นจริง BRN ต้องการสร้างความได้เปรียบทางการเมืองผ่านกระบวนการเจรจา หรืออาศัยความได้เปรียบเพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลไทยในฐานะคู่เจรจาต้องยอมรับเงื่อนไขของพวกเขา ดังเช่นที่แนวร่วมที่แสดงบทบาทเป็น “สำนักข่าว BRN” ประกาศในทำนองว่า การฆ่าจะดำเนินต่อไป ตราบที่การเจรจายังไม่เกิดขึ้น อันทำให้สังคมเกิดการตีความในทางกลับกันจากคำพูดเช่นนี้ว่า ถ้าฝ่ายรัฐจำเป็นต้องเจรจา ก็เท่ากับเจรจาเพราะถูก BRN บังคับขู่เข็ญให้ทำ
หากฝ่ายรัฐยอมรับเงื่อนไขเช่นนี้ ก็จะกลายเป็นความอ่อนแอของรัฐไทยในตัวเอง และเป็นการสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองให้แก่ BRN ในอีกแบบด้วยอาศัยการฆ่าพี่น้องชาวพุทธในพื้นที่
12.การจะปลดอาวุธทางความคิดออกจากความเชื่อของบรรดานักรบ BRN ได้นั้น จะต้องทำให้ “กระบวนการบ่มเพาะความรุนแรง” (radicalization) ที่ถูกขับเคลื่อนในหมู่คนรุ่นใหม่ถูกลดระดับลงให้ได้มากที่สุด
ประเด็นนี้เป็นความได้เปรียบที่สำคัญของฝ่ายต่อต้านรัฐในภาวะปัจจุบัน เพราะไม่เพียงทำให้กลุ่ม BRN สามารถแสวงหาสมาชิกในหมู่คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ได้มากขึ้นเท่านั้น หากยังสามารถแปลงคนรุ่นใหม่ให้กลายเป็น “นักฆ่า” ที่ยืนอยู่บนหลักการประการเดียวคือ การสมาทาน “ลัทธิสุดโต่ง” (Extremism) และเชื่อว่าการฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นความชอบธรรมทั้งในทางการเมือง ศีลธรรม และจริยธรรม
และทั้งยังถูกสำทับจากแนวร่วม BRN ที่สร้างความชอบธรรมในการอธิบายการฆ่าเพิ่มเติมให้อีกว่า “ที่ฆ่า เพราะรัฐไม่เจรจา” ซึ่งคำอธิบายเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการ “ฟอกขาว” ให้แก่การฆ่าคนของสมาชิก BRN นั่นเอง
// ท้ายบท //
การนำเสนอของบทความนี้ ไม่ได้มุ่งประสงค์ให้เกิดความแตกแยกพี่น้องไทยพุทธและมุสลิมที่ล้วนต่างได้อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ร่วมกัน ภายใต้ความสวยงามของสภาวะ “พหุวัฒธรรม” ของพี่น้องศาสนิกต่างความเชื่อ เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกันตามปกติ แต่การสร้างและดำรงภาวะเช่นนี้ในอนาคต กำลังถูกท้าทายจากปฏิบัติการความรุนแรงของกลุ่ม BRN ในปัจจุบัน
การแก้ปัญหาการก่อเหตุร้ายของกลุ่ม BRN จึงมิใช่เป็นเพียงความพยายามในการดำรงภาวะพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ให้ดำรงอยู่เท่านั้น เนื่องจากยิ่งนานวัน ยิ่งปรากฏชัดถึงความพยายามในการกวาดล้างความแตกต่างทางวัฒนธรรมให้หมดไปจากพื้นที่ เพื่อทำให้เกิดความเป็น “วัฒนธรรมเชิงเดี่ยว” ของพื้นที่
อีกทั้ง การแก้ปัญหาในส่วนนี้ยังมีความหมายถึง การป้องกันไม่ให้พื้นที่เหล่านี้ ต้องกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะความรุนแรงของลัทธิสุดโต่งในอนาคตอีกด้วย!
